ตอนที่ 209 คนขี้เกียจ
ทันทีที่พี่เฉินพูดแบบนี้ ฟ่านจินเฟิ่งก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที หล่อนส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ไอ้หยา เท่าที่ฟังจากที่เธอพูด เธอกำลังจะบอกว่าลูกสาวของเธอฉลาดจนได้เข้าเรียนก่อน ส่วนลูกบ้านอื่นกลับกลายเป็นเด็กโง่เพียงเพราะเข้าเรียนตามเกณฑ์งั้นสิ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าหล่อนไปอารมณ์เสียมาจากไหน จากนั้นเธอก็หันไปมองที่ซูหยาซิ่วด้วยแววตาสงสัย
ซูหยาซิ่วได้ให้กำเนิดลูกสาวในปี 1989 หลังจากที่ผ่านวันปีใหม่นี้ไป ลูกสาวของหล่อนก็จะมีอายุได้ 5 ขวบย่าง 6 ขวบแล้ว หล่อนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก หล่อนจึงได้หันไปขยิบตาให้กับจางฉุ้ยเหลียน ตามมาด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ยไม่น้อยว่า “จะว่าไปแล้ว ฉันก็อยากจะถามเธออยู่เหมือนกันนะ เธอสอนเจียวเจียวยังไงหรือ เพราะเสี่ยวเฉี่ยของฉันก็จะเข้าเรียนชั้นอนุบาลแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่กล้าให้หล่อนไปโรงเรียนก่อนเลย เจียวเจียวลูกสาวของพี่เฉินเฉลียวฉลาดไม่เบาเลยนะ อายุแค่ 5 ขวบก็เข้าเรียนได้แล้ว”
ป้าหยูนั้นปรับตัวไปตามสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ราวกับกิ้งก่าเปลี่ยนสี ลูกกำพร้าพ่อของผู้กำกับการชีต้องเป็นเด็กที่ไม่ได้เรื่องอย่างแน่นอน ปกติแล้วจางฉุ้ยเหลียนมักจะให้ของดี ๆ ที่ไม่ต้องการแล้วกับเจียวเจียวเสมอ ทุกคนต่างก็เกลียดท่าทางไร้ยางอายของหล่อนเป็นที่สุด ป้าหยูคลี่ยิ้มตาหยีและพูดออกไปว่า “จะบอกว่าเสี่ยวเฉินไม่เป็นห่วงเรื่องการเรียนของลูกก็คงจะไม่ได้ เพราะการเข้าเรียนชั้นอนุบาลนั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากการเรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 เท่าไหร่นักหรอก หลังจากที่เรียนไปแล้ว 2 ปี ถ้าผลการเรียนยังไม่ดีขึ้น ก็ยังสามารถซ้ำชั้นได้ ถึงจะซ้ำชั้น 2 ครั้งแต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบในช่วงอายุของการเข้ามหาวิทยาลัย”
พี่เฉินนึกไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพร้อมใจกันลุกขึ้นมารุมรังแกหล่อน พวกหล่อนต่างพากันหัวเราะให้กับคะแนนการสอบที่ติดอันดับแรกแต่นับจากอันดับสุดท้ายขึ้นมาของชีเจียวเจียว วินาทีต่อจากนั้นดวงตาของหล่อนก็แดงก่ำขึ้นมาทันที ไม่นานน้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นออกมา “เป็นเพราะพ่อของหล่อนนั่นแหละ ฉันเองก็นึกไม่ถึงเลยว่าการจากไปของเขาจะทำให้ผลการเรียนของลูกตกต่ำลงไปถึงขนาดนี้”
ถ้าหล่อนเผยธาตุแท้ออกมาก่อนหน้านี้สักสองสามเดือน เหล่าบรรดาภรรยาของนายทหารเหล่านี้ก็คงจะทนกันไม่ได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ยังไม่ทันที่พี่เฉินจะได้พูดอะไรออกมา น้ำตาเจ้ากรรมก็เอ่อล้นออกมาเสียแล้ว หล่อนหยิบยกเรื่องของผู้กำกับการชีที่เสียชีวิตไปแล้วขึ้นมาพูดอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้ใจความอะไร หล่อนก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาแล้ว แค่ช่วยนิดช่วยหน่อยก็ซาบซึ้งเป็นพระคุณราวกับไม่มีการทระนงในศักดิ์ศรี แต่ถ้าไม่ช่วยกลับต้องรู้สึกอยากขอโทษหล่อน หล่อนทำให้ทุกคนรู้สึกเอือมระอาไม่น้อยเลยทีเดียว
พี่เฉินเพิ่งจะตระหนักได้ว่า คำพูดของตัวเองนั้นทำให้คนอื่นรู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าทุกคนกำลังอิจฉาในการเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ของชีเจียวเจียว หล่อนก็รีบปาดน้ำตาและหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมาทันที “ไอ้หยา เหตุการณ์นี้ทำให้ฉันอดนึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาไม่ได้เลย” หล่อนสูดน้ำมูกเล็กน้อยและพูดต่อว่า “เธอดูสิ เวลาฉันสอนลูก ฉันก็มักจะสอนอย่างมีขั้นมีตอนเสมอเลยนะ” ในขณะที่พูดหล่อนก็หยิบเอาหนังสือที่จางฉุ้ยเหลียนช่วยทบทวนบทเรียนให้กับลูกสาวของตัวเองออกมา จากนั้นก็พูดเรื่องที่ตัวเองอาสาจะช่วยสอนคังคังให้กับจางฉุ้ยเหลียนขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะได้เอ่ยปากพูดอะไรออกไป ซูหยาซิ่วที่นั่งฟังหล่อนพล่ามมานานก็ไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป หล่อนจึงรีบชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ไม่ดีหรอกมั้งคะ พี่เฉิน ฉุ้ยเหลียนยุ่งทั้งวันอยู่แล้ว กลางวันก็ต้องไปช่วยงานที่ร้าน พอตกกลางคืนก็ต้องกลับบ้านมาทำอาหาร ทำความสะอาด และซักผ้า หนูรู้สึกว่าหลังจากที่ฉุ้ยเหลียนช่วยทบทวนบทเรียนให้กับเจียวเจียวในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ เธอก็ดูซูบผอมน้ำหนักลดลงไปตั้งเยอะ การที่จะช่วยคนอื่นก็ต้องไม่ลำบากตัวเองด้วยสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็เกือบจะหลุดขำออกมาเลยทีเดียว ซูหยาซิ่วคนนี้ช่างเป็นคนที่โกหกได้หน้าตายเลยจริง ๆ แต่ถึงกระนั้นน้ำหนักตัวของเธอก็ลดลงไปเยอะจริง ๆ นั่นแหละ ตอนนี้ขนาดกางเกงที่เคยใส่ก่อนแต่งงานตัวนั้น เธอก็ใส่ไม่ได้แล้ว เนื้อบริเวณท่อนแขนที่เคยมีไขมันเกาะกลุ่มกันเป็นก้อนในตอนที่เธอท้องก็เริ่มลดลงไปแล้วเช่นกัน
พี่เฉินอ้าปากค้างในทันที หล่อนค้างท่านั้นอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “จริงสินะ ครอบครัวของเราสร้างความลำบากให้กับสะใภ้กู้ไม่น้อยเลย แต่จะให้ฉันทำยังไงได้ล่ะ ก็ฉันสอนบทเรียนในระดับชั้นมัธยมต้นไม่ได้นี่นา”
ฟ่านจินเฟิ่งจึงได้หัวเราะเยาะออกมา จากนั้นก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าให้ฉันพูด ผลการเรียนของเด็กคนนี้ยังพอทำให้สำนึกรู้ตัวได้บ้าง เธอสั่งให้คนอื่นมาช่วยทบทวนบทเรียนให้กับหล่อนไม่ได้ตลอดหรอกนะ ไห่เหยียนลูกสาวของฉันบอกว่า จริง ๆ แล้วเจียวเจียวแค่อยากจะมาทำการบ้านที่นี่ก็เท่านั้น เพราะหล่อนบอกว่าสิ่งแวดล้อมภายในบ้านของอาสะใภ้กู้นั้นค่อนข้างดีและโปร่งโล่งสบาย ทำให้หล่อนมีกำลังใจในการเรียนเพิ่มขึ้น พวกเธอลองคิดดูเอาเองแล้วกันนะว่า หล่อนมีกระจิตกระใจเรียนขึ้นไหม นี่แหละนะที่เขาเรียกกันว่า จะทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง”
เมื่อพี่เฉินได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าที่แดงระเรื่อก่อนหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดลงในทันที หล่อนอยากจะแทรกตัวหนีลงไปในดินให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยจริง ๆ จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าเรื่องทุกอย่างมันควรจะจบลงได้แล้ว เธอวางแป้งที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็พูดกับหล่อนว่า “ไม่ใช่เพราะหนูไม่อยากช่วยครอบครัวของพี่หรอกนะคะ แต่ตัวหนูเองก็ยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาจะกินข้าวอยู่แล้ว อีกอย่าง หนูก็สอนเทคนิควิธีการเรียนให้กับเจียวเจียวไปแล้วด้วย เพราะฉะนั้นตอนนี้หล่อนก็สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้แล้ว”
เมื่อพูดจบ เธอก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดสั่งสอนพี่เฉินออกไปอย่างอดไม่ได้ว่า “ที่นี่ก็ไม่ได้มีคนนอก เพราะอย่างนั้นหนูก็เลยมีเรื่องที่อยากจะพูดกับพี่เฉินอยู่ 2 เรื่อง”
พี่เฉินเงยหน้าขึ้นไปมองจางฉุ้ยเหลียนด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยคราบน้ำตา ท่าทางเช่นนั้นทำให้จางฉุ้ยเหลียนอยากจะกระโดดเตะหล่อนมากจริง ๆ
“เจียวเจียวโตเป็นสาวแล้ว มันก็มีเรื่องบางเรื่องที่พี่จะต้องสอนหล่อน ถึงแม้จะบอกว่าหล่อนน่าสงสารที่กำพร้าพ่อ แต่ก็อย่าให้ใครมาต่อว่าเอาได้ว่า หล่อนเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอนจนกลายเป็นเด็กก้าวร้าว เพราะได้รับผลกระทบจากการจากไปของผู้กำกับการชีเลยนะคะ” คำพูดเพียงสั้น ๆ ของจางฉุ้ยเหลียนได้ทิ่มแทงลงไปในหัวใจของพี่เฉินเข้าอย่างจัง
จากนั้นพี่เฉินก็โพล่งออกไปอย่างอดไม่ได้ว่า “เจียวเจียวของฉันมันเป็นยังไง เธอพูดออกมาแบบนี้ได้ยังไง”
จางฉุ้ยเหลียนเบะปาก และพูดต่อว่า “หนูไม่ได้พูดจามั่ว ๆ ไม่มีมูลหรอกนะคะ พี่ลองถามพวกพี่สะใภ้ที่นั่งอยู่ตรงนี้ดูเลยก็ได้ว่า มีใครบ้างที่ไม่เคยเห็นนิสัยก้าวร้าวของหล่อน เจียวเจียวไม่ให้ความเคารพหนูเลยแม้แต่น้อย แต่หนูจะไม่พูดถึงเรื่องที่หล่อนบอกว่า วันนี้จะกินอย่างนี้ พรุ่งนี้จะกินอย่างนั้น เพราะเรื่องนี้หนูก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเหล่ากู้ก็ได้ลั่นวาจาต่อหน้าหลุมศพของผู้กำกับการชีไปแล้ว เขามักจะซื้อดินสอ ยางลบ และสมุดต่าง ๆ มาให้หล่อนเสมอ และตอนที่หล่อนมาทบทวนบทเรียนที่บ้านของเรา หนูก็จะเตรียมขนมผลไม้แห้ง และช็อกโกแลตเอาไว้ให้ตลอด แต่พี่รู้รึเปล่าว่าหล่อนไปพูดกับข้างนอกว่ายังไง หล่อนบอกว่าหนูปฏิบัติกับหล่อนไม่ดี บอกว่าหนูดุด่าหล่อน อีกทั้งยังรังแกหล่อนสารพัด และยังบอกอีกว่าถ้าไม่ใช่เพราะกู้จื้อเฉิงมาขวางเอาไว้แล้วจะก็ หนูคงจะไล่ตะเพิดหล่อนให้ออกไปแล้ว”
ทุกคนต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นฟ่านจินเฟิ่งก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน โดยที่ไม่ปล่อยให้พี่เฉินมีโอกาสได้โต้แย้งแต่อย่างใด “ใช่ ๆ หล่อนก็พูดกับไห่เหยียนของฉันแบบนี้เหมือนกัน ไห่เหยียนเล่าให้ฟังว่า จางฉุ้ยเหลียนไม่เคยสอนอะไรหล่อนเลยสักนิด วัน ๆ ก็ให้หล่อนทำแต่แบบฝึกหัด จากนั้นก็ปิดประตูห้องไปเล่นกับคังคัง และยังบอกอีกว่าฉุ้ยเหลียนเอาของกินอร่อย ๆ ให้แต่คังคัง และไม่แบ่งให้หล่อนเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พี่เฉินก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน “เป็นไปไม่ได้ เจียวเจียวของฉันไม่ใช่เด็กแบบนั้น”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมา พร้อมกับพูดออกไปว่า “เพราะหนูทำให้หล่อนรู้สึกแย่ไม่ได้ หนูก็เลยต้องเปลี่ยนวิธีในการกลั่นแกล้งเด็กสาวคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ”
พี่เฉินก้มหน้าลง พร้อมกับเอ่ยปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “ฉันจะกลับไปพูดกับหล่อนดี ๆ ว่าทำไมหล่อนถึงไม่มีมโนธรรมสำนึกแบบนี้”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็พูดขึ้นมาอีกว่า “แต่จะว่าไป ที่หล่อนทำแบบนี้ มันก็อาจจะเป็นเพราะหนูไม่ยอมทบทวนบทเรียนให้หล่อนต่อก็ได้นะ เพราะอย่างนั้นหล่อนก็เลยไม่พอใจ ถึงแม้ว่าหนูจะเคยเรียนวิทยาลัยครูมาก่อน แต่สิ่งที่หนูได้เรียนรู้ก็มีเพียงแค่การศึกษาในระดับชั้นประถมวัยเพียงเท่านั้น และสาขาที่หนูเรียนก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะฉะนั้นการที่หนูจะสอนหล่อนที่อยู่ในระดับชั้นมัธยม มันก็เลยไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก”
พี่เฉินรู้สึกเกลียดแค้นอยู่ในใจ คำพูดของเธอก็บ่งบอกเป็นนัย ๆ แล้วว่า เธอไม่อยากสอนลูกสาวของหล่อนต่อ แล้วเธอจะมาพูดให้ไพเราะดุจพระแม่มารีมาโปรดทำไมกันล่ะ แล้วการที่เธอพูดอีกอย่าง แต่ทำอีกอย่างมันหมายความว่ายังไง อีกทั้งเพื่อนบ้านที่เธอพามาด้วยก็ดันมาหัวเราะเยาะเจียวเจียวอีก ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อนและลูกสาวกลายเป็นลูกกำพร้าพ่อและแม่หม้ายแล้วล่ะก็ หล่อนก็คงจะเอาคืนอย่างสาสมไปนานแล้ว
แต่ในตอนนี้หล่อนก็ไม่ได้มีอารมณ์ที่จะโต้ตอบกลับไปแต่อย่างใด จึงทำได้เพียงแค่เดินจากไปด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมเพียงเท่านั้น อีกทั้งหล่อนก็ไม่กล่าวลาใครอีกด้วย
ฟ่านจินเฟิ่งเดินตามออกไป หล่อนหัวเราะเยาะเย้ยพร้อมกับเดินตามหลังพี่เฉินไปด้วย หลังจากที่พี่เฉินเดินพ้นประตูออกไปแล้ว ฟ่านจินเฟิ่งก็ทำการล็อคประตูหน้าบ้านทันที และเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยอารมณ์โกรธเคือง
ที่แท้ไห่เหยียนลูกสาวคนโตของฟ่านจินเฟิ่งก็อายุมากกว่าชีเจียวเจียว 2 ปี หล่อนให้กำเนิดลูกสาวในปี 1980 จากนั้นลูกสาวของหล่อนก็เข้าเรียนตามเกณฑ์ในปี 1988 ถึงจะได้เข้าเรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 แต่พี่เฉินกลับส่งชีเจียวเจียวให้ไปเข้าเรียน ตั้งแต่ที่หล่อนอายุได้เพียงแค่ 1 ขวบ ดั่งสุภาษิตที่ว่านกโง่เรียนก่อน ถึงแม้ว่าหล่อนจะเรียนไม่เก่ง แต่หล่อนก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของใคร ในตอนนั้นผู้กำกับการชีก็ยุ่งจนไม่มีเวลาจะมาสนใจคนในครอบครัว เด็กน้อยที่ยังไร้เดียงสาจึงได้ถูกส่งเข้าไปเรียนในระดับเด็กเล็กในโรงเรียนอนุบาล
“ฉันก็แปลกใจมาตลอดว่า ทำไมเจียวเจียวถึงได้เข้าเรียนชั้นมัธยมได้ตั้งแต่ยังเด็กแบบนี้ ที่แท้หล่อนก็เข้าเรียนก่อนเกณฑ์ 2 ปีนี่เอง แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะในตอนนี้เด็กจำนวนมากต่างก็มีอายุน้อยกว่าเด็กที่เรียนอยู่ในระดับชั้นเดียวกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าเรียนตั้งแต่ 5 ขวบมันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร” จางฉุ้ยเหลียนยังคงไม่วางใจ เธอเองก็อยากให้คังคังเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ด้วยเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูที่ตัวบุคคลด้วย ถ้าคังคังไม่พร้อมก็คงต้องปล่อยผ่านไปก่อน
“อะไรกัน เธอคิดจริง ๆ หรือว่าลูกของหล่อนฉลาดจริง ๆ เหอะ! ตอนที่ลูกของหล่อนอายุได้ 2 ขวบ นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้วล่ะว่า หล่อนจะสามารถสอนการบ้านให้ลูกได้ แต่พอลูกของหล่อนอายุได้ 4 – 5 ขวบ ระดับการเรียนย่อมแตกต่างกันออกไป ส่งผลให้ชีเจียวเจียวล้าหลังตามเพื่อนไม่ทัน จนกระทั่งหล่อนอายุได้ 6 ขวบ หล่อนก็เปรียบเสมือนกับหลงเข้าไปในฝูงแกะ คุณครูของหล่อนเสนอให้หล่อนเรียนซ้ำชั้นอีก 1 ปี แต่พี่เฉินไม่ยอม หล่อนก็เลยวิ่งไปร้องห่มร้องไห้กับผู้อำนวยการโรงเรียน” ที่แท้ทักษะการบีบน้ำตาของพี่เฉินก็เก่งกาจมากขนาดนี้นี่เอง ในชาติที่แล้วจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับผู้กำกับการชีมาก่อน จางฉุ้ยเหลียนแอบชื่นชมทักษะการบีบน้ำตาของหล่อนเงียบ ๆ แต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหล่อนถึงอยากให้ลูกไปทรมานแบบนั้น
“การที่ส่งลูกไปโรงเรียนก็จะได้ไม่ต้องดูแลน่ะสิ ถ้าหล่อนให้ลูกเข้าเรียนเร็ว หล่อนก็จะได้ไม่ต้องดูแลลูก” ฟ่านจินเฟิ่งแบะปากพร้อมกับแสดงสีหน้าดูถูกดูแคลนออกมาอย่างปิดไม่มิด จางฉุ้ยเหลียนหันไปมองซูหยาซิ่วที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ที่แท้ตอนที่พี่เฉินส่งลูกไปเรียน ซูหยาซิ่วก็ยังไม่ได้แต่งงานและย้ายมาอยู่ที่นี่นี่เอง เพราะอย่างนั้นหล่อนก็เลยไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพี่เฉินเลย
แต่พี่เฉินก็ไม่ได้ทำงาน ทำไมหล่อนต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วยล่ะ ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจ แต่ป้าหยูกลับรู้ความจริงอะไรบางอย่าง “หล่อนขี้เกียจจะตายไป หล่อนไม่ชอบทำงานบ้าน อ่อนแอปวกเปียกอยู่แต่ในบ้าน แต่มันก็เป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงจะทำงานบ้านพร้อมกับดูแลลูก ๆ ไปด้วย แค่ปลูกผักเอาไว้กินได้เพียงพอตลอดทั้งปีก็พอแล้ว ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีครอบครัวนายทหารย้ายมาประจำการอยู่ที่นี่เยอะมากขนาดนี้ เพราะอย่างนั้นจึงสามารถปลูกพืชผักตรงไหนก็ได้ หล่อนปลูกผักได้ตามใจชอบ หล่อนปลูกข้าวโพดสีเหลืองทองเอาไว้เป็นจำนวนมาก และหล่อนก็ได้กินแป้งทอดทุกวัน และทุก ๆ วันปีใหม่ทางกรมทหารก็มักจะแจกข้าวสารให้เป็นของขวัญอยู่เสมอ เพราะอย่างนั้นหล่อนก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ทั้งปีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย”
ยิ่งนับวันครอบครัวของทหารก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ต้องแบ่งแปลงผักให้กับครอบครัวทหารแต่ละระดับยศแล้ว ทุกคนต่างก็เริ่มลงมือปลูกผักจากต้นเล็ก ๆ และกินของสดใหม่ในช่วงฤดูร้อน แต่เมืองสุ่ยหยวนเป็นพื้นที่ที่มีฤดูหนาวที่ค่อนข้างยาวนานมาก ในช่วงฤดูร้อนจึงต้องซื้อผักที่หาซื้อได้ง่าย มาตากแดดเพื่อทำเป็นผักแห้ง หรือไม่ก็เอาไปหมักเป็นผักดอง
พี่เฉินเอาแต่นั่งว่าง ๆ อยู่ในบ้านทั้งวัน กินข้าวมื้อเที่ยง 1 มื้อ มื้อค่ำ 1 มื้อ ก็จบไปหนึ่งวันแล้ว ในตอนนั้นผู้กำกับการชีก็ให้หล่อนทำงานบ้าน โดยการล้างผักอยู่ในครัว แต่หล่อนก็เมินเฉยไม่สนใจ บอกว่ามันลำบากเกินไปก็เลยไม่อยากทำ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หล่อนก็ไม่ทำงานบ้านอีกเลย ได้แต่นั่งชี้นิ้วสั่งสามีอยู่แต่ในบ้าน
ถึงแม้ว่าป้าหยูจะอายุอานามมากขนาดนี้แล้วก็ตาม แต่หล่อนก็เลี้ยงห่านขายได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกปี ส่วนพี่เฉินกลับไม่ทำ ขนาดปล่อยห่านให้ออกไปหาหญ้ากินเองก็ยังขี้เกียจ แล้วนับประสาอะไรกับการเดินหาบเร่ขายปลาแห้งแบบฟ่านจินเซิ่งล่ะ
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าพี่เฉินจะเป็นคนขี้เกียจมากขนาดนี้ แต่ตัวเธอเองก็เห็นว่าหล่อนเอาแต่นั่งเฉย ๆ มาตลอดสามปีที่อยู่ที่นี่จริง ๆ
“กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ เรื่องที่พวกผู้หญิงอย่างพวกหล่อนชอบมากที่สุดก็คือ การเล่นไพ่กระจอก พี่จางมักจะไปเรียกหล่อนให้กลับบ้านอยู่เป็นประจำ แต่เพราะยังสูบเอาเงินมาไม่ได้ หล่อนจึงไม่ยอมกลับ จริงสิ นอกจากพวกเราแล้ว ก็ยังมีพี่สามเกออีกคนด้วยนะที่ชอบไปเล่นไพ่นกกระจอก” พี่สามเกอเป็นคนที่นิสัยแย่มากคนหนึ่งเลยทีเดียว หล่อนยืมหนังสือไปแล้วก็ไม่ยอมเอากลับไปคืน แถมสมาชิกในครอบครัวของหล่อนก็ยังชอบแถเป็นที่หนึ่งอีกต่างหาก ซูหยาซิ่วเคยเตือนจางฉุ้ยเหลียนแล้วครั้งหนึ่ง จางฉุ้ยเหลียนเก็บเอาไว้ในใจเงียบ ๆ มาโดยตลอด ที่แท้พี่เฉินกับพี่สามเกอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนี่เอง เพียงแต่เธอไม่รู้ว่า หลี่หยู่หวาและพวกหล่อนจะเล่นไพ่นกกระจอกด้วยเหมือนกันรึเปล่า
“ถ้าไม่ลงเงินเดิมพัน ก็จะลงเดิมพันด้วยอะไรล่ะ ถ้าไม่ลงเงินเดิมพัน พวกหล่อนก็จะเอาสิ่งของมาลงเดิมพัน ถ้าไม่มีเงิน พวกหล่อนก็จะเดิมพันด้วยซาลาเปาไส้ถั่วแดง และนั่นมันก็เป็นการพนันเหมือนกันไม่ใช่หรือ” ป้าหยูแบะปาก หล่อนไม่สนใจพวกลูก ๆ ที่ชอบล้างผลาญเงินของพ่อแม่แบบนี้หรอก มีเวลาว่างไม่สู้เท่าเอาไปเลี้ยงห่านไม่ดีกว่าหรือ
จางฉุ้ยเหลียนได้แต่ถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ ชะตาชีวิตของเธอและกู้จื้อเฉิงมีเทพเจ้าไท่ซุยเป็นผู้กุมชะตาเอาไว้ พวกเธอจะได้เจอกับคนนิสัยแบบไหน หรือจะได้พบเจอกับคนยังไง ยิ่งนิสัยของคนอย่างกู้จื้อเฉิงแล้ว เขาก็ยิ่งต้องตอบแทนผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตของเขาเอาไว้
และหญิงสาวที่เป็นหัวข้อสนทนานี้ก็คือ หญิงสาวที่แต่งงานแล้ว นิสัยที่ขี้เกียจและชอบเอารัดเอาเปรียบของหล่อนก็ตรงกับสุภาษิตที่ว่า การเชิญเทพเจ้าเข้ามาในบ้านเป็นเรื่องง่าย แต่การจะส่งเทพเจ้ากลับไปนั้นย่อมเป็นเรื่องยาก หมายความว่า เมื่อเข้าไปอยู่ในบ้านคนอื่นย่อมยากที่จะออกมา
MANGA DISCUSSION