ตอนที่ 208 ทบทวนบทเรียน
ชีเจียวเจียววิ่งมาที่บ้านของตระกูลกู้หน้าตาตื่น เพื่อที่จะมาขอร้องให้จางฉุ้ยเหลียนช่วยทบทวนบทเรียนให้กับตัวเองต่อหน้าของกู้จื้อเฉิง
“หนูรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ บ้านของคุณอาสะใภ้นั้นปลอดโปร่งดี น่าจะส่งผลดีต่อการเรียนของหนู สภาพจิตใจของหนูในตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็เลยอยากจะได้สถานที่ที่ทำให้หนูสบายใจขึ้น หนูจะตอบแทนคุณอาด้วยการช่วยคุณอาทำงานบ้านนะคะ”
กู้จื้อเฉิงไม่สามารถบ่ายเบี่ยงคำขอร้องของชีเจียวเจียวได้อีก เขามองไปทางจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็พยักหน้าอย่างจนปัญญา “ก็ได้ ฉันจะสอนเธอเอง”
วิชาแรกก็ไม่ได้ตึงเครียดเท่าไหร่นัก จางฉุ้ยเหลียนต้องเจียดเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในทุก ๆ วันมาทบทวนบทเรียน 1 วิชาให้กับหล่อน ระดับภาษาอังกฤษของชีเจียวเจียวนั้นย่ำแย่มาก พื้นฐานในการคิดคำนวณก็ไม่ดี เธอจึงเลือกที่จะให้ความสำคัญกับสองวิชานี้ก่อน ส่วนวิชาอื่น ๆ ยังใหม่ไปสำหรับหล่อน
การทบทวนบทเรียนในบ้านของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการหาสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการเรียนก็เท่านั้น หลังจากที่ชีเจียวเจียวกินข้าวเสร็จ หล่อนก็มักจะวิ่งมาทบทวนบทเรียนที่นี่ทุกวัน ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็ก้มหน้าก้มตาเขียนต้นฉบับอยู่ที่โต๊ะหนังสือ กู้จื้อเฉิงเลือกที่จะพาคังคังออกไปเล่นข้างนอก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นอัตราในการทำงานของจางฉุ้ยเหลียนก็ยังคงสูงมากอยู่เช่นเดิม
เพียงแต่ชีเจียวเจียวไม่ค่อยเพ่งสมาธิกับการทบทวนบทเรียนของตัวเองเท่าไหร่นัก เดี๋ยวก็ดื่มน้ำ เดี๋ยวก็กินขนม เดี๋ยวก็วิ่งไปหยอกล้อกับคังคังในห้องนอน และสุดท้ายก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเป็นว่าเล่น
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เด็กคนนี้หน้าบางเกินไป จนเธอถึงกับพูดไม่ออก การควบคุมและเร่งรัดหลาย ๆ ครั้งของจางฉุ้ยเหลียน ก็ทำให้ดวงตาของหล่อนนั้นแดงก่ำและเริ่มมีน้ำตาเอ่อล้นออกมาไม่น้อย เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นเข้มงวดกับหล่อนมากเกินไป เขาจึงได้เอ่ยปากพูดเตือนจางฉุ้ยเหลียนว่าไม่ควรปฏิบัติกับหล่อนแบบนี้ เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินเช่นนั้น เธอก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาได้ในทันทีเลยว่า ถ้าเธอให้กำเนิดลูกสาวในอนาคต ขืนปล่อยให้กู้จื้อเฉิงเป็นแบบนี้ต่อไป เธอก็คงจะกลัดกลุ้มใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน พี่เฉินก็ทำกางเกงผ้าฝ้ายอย่างหนามาให้กับคังคัง เพื่อเป็นการตอบแทนที่จางฉุ้ยเหลียนยอมทบทวนบทเรียนให้กับลูกสาวของตนเอง นอกจากนี้ก็ยังถักเสื้อกั๊กให้กับกู้จื้อเฉิง 1 ตัว และถักผ้าพันคอให้กับจางฉุ้ยเหลียนด้วยอีก 1 ผืน ทั้งสามคนต่างก็ได้รับของขวัญกันอย่างครบถ้วน
เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงปลายเทอม การเรียนของชีเจียวเจียวก็ยิ่งตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ในเมื่อจางฉุ้ยเหลียนตกปากรับคำแล้วว่า เธอจะช่วยทบทวนบทเรียนให้กับชีเจียวเจียว การสอบปลายภาคนี้เธอจึงไม่ยอมใจอ่อนให้ เธอสอนหล่อนอย่างเป็นระบบ เปิดหนังสือแบบฝึกหัดและให้หล่อนตอบคำถามที่อยู่ในหนังสืออย่างต่อเนื่อง
กู้จื้อเฉิงไม่ใช่คนที่ตระหนี่ถี่เหนียวแต่อย่างใด เขามักจะซื้ออุปกรณ์การเรียนจำพวกสมุด ดินสอ ยางลบมาเก็บไว้ที่บ้าน และยังบอกชีเจียวเจียวอีกว่าถ้าหล่อนสามารถสอบติด 10 อันดับแรกของโรงเรียนได้ เขาก็จะซื้อของขวัญที่หล่อนอยากได้ให้หล่อน
เมื่อมีคำสัญญาของกู้จื้อเฉิง ชีเจียวเจียวก็รีบเปลี่ยนตัวเองราวกับเครื่องจักรไขลานในทันที หล่อนเรียนหนักทุกวัน หลังจากที่กลับมาจากบ้านของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว ก็มักจะจุดเทียนไขและทบทวนบทเรียนจนถึงเที่ยงคืน วนลูบอยู่แบบนี้ทุกวัน
เมื่อได้เห็นภาพนั้น พี่เฉินก็อดที่จะรู้สึกดีใจขึ้นมาไม่ได้ หล่อนมักจะพูดชื่นชมประจบเอาใจว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่อยากให้ชีเจียวเจียวมาที่บ้านของเธออีก
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนวนมาเจอกับฤดูหนาวอีกครั้ง มีนายทหารกลุ่มใหม่ย้ายเข้ามาประจำการอยู่ในกรมทหารแห่งนี้ กู้จื้อเฉิงไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังให้ความสำคัญในการเข้าร่วมฝึกสอนนายทหารกลุ่มใหม่เหล่านี้ด้วย ก่อนที่เขาจะพาคนเหล่านี้ออกไปฝึกข้างนอก เขาได้พูดให้กำลังใจชีเจียวเจียวว่าจะต้องทำข้อสอบอย่างสุดความสามารถ และตอนที่เขากลับมา ก็อย่าทำให้เขาต้องผิดหวังเด็ดขาด
ทุกอย่างยังคงดำเนินการต่อไปอย่างเป็นปกติ แต่ไม่นานจางฉุ้ยเหลียนก็พบว่าหลังจากที่กู้จื้อเฉิงออกไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว ชีเจียวเจียวคนนี้ก็เริ่มมีพฤติกรรมที่แปลกไป หล่อนไม่เกรงกลัวและไม่ให้ความเคารพเธอเหมือนแต่ก่อน เวลาจางฉุ้ยเหลียนอธิบายบทเรียน ไม่เพียงแต่หล่อนจะชอบนั่งเหมอลอยไม่ให้ความร่วมมือในการตอบคำถามแล้วเท่านั้น หล่อนยังมักจะเถียงจางฉุ้ยเหลียนอีกด้วย
จางฉุ้ยเหลียนใช้ข้ออ้างในการยุติชนวนที่อาจจะเกิดภายในบ้านโดยการให้พี่เฉินมานั่งดูลูกสาวของตัวเองทบทวนบทเรียน เธอแค่อยากให้พี่เฉินได้เห็นว่าเด็กสาวที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นคนนี้มีการตอบสนองในเชิงต่อต้านมากน้อยแค่ไหน
บางทีอาจจะเป็นเพราะพี่เฉินมานั่งดูด้วย ชีเจียวเจียวจึงยิ่งไม่เกรงกลัวมากขึ้นไปอีก ชีเจียวเจียวมักจะแสดงอารมณ์หงุดหงิดทุกครั้งที่จางฉุ้ยเหลียนพูดคุยเสียงดังกับพี่เฉินในห้องนอน
บางวันคังคังก็วิ่งมาดึงชายเสื้อของหล่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เขากลับถูกชีเจียวเจียวตะคอกใส่จนร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับไปหาจางฉุ้ยเหลียน
จางฉุ้ยเหลียนแสดงสีหน้าไม่พอใจใส่หล่อน จากนั้นก็อุ้มคังคังเข้าไปปลอบใจอยู่ภายในห้องนอน เมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น พี่เฉินก็ส่งเสียงดุด่าชีเจียวเจียวเสียงดัง แทนที่ลูกสาวของหล่อนจะเชื่อฟัง แต่พี่เฉินกลับถูกลูกสาวของตัวเองโต้เถียงกลับคอเป็นเอ็นอย่างไม่ลดละ พี่เฉินหมดปัญญา จึงกลับมาพูดไกล่เกลี่ยกับจางฉุ้ยเหลียนให้เข้าใจว่า ลูกสาวของหล่อนคงจะได้รับความกดดันมากเกินไป
ถึงอย่างไรก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันที่จะสอบปลายภาคแล้ว จางฉุ้ยเหลียนไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เด็กกำพร้าพ่อและหญิงหม้ายภายใต้การควบคุมดูแลของกู้จื้อเฉิง มักจะไม่ค่อยไว้หน้าจางฉุ้ยเหลียนเท่าไหร่นัก เธอถูกกระทำเช่นนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว หลังจากนี้ก็คงจะไม่ต่างกัน
ไม่ว่าชีเจียวเจียวจะสอบได้หรือไม่ก็ตาม เธอจะไม่มีวันทบทวนบทเรียนให้กับเด็กที่ไม่รู้จักเคารพครูคนนี้อีก ป้อนน้ำป้อนอาหารให้ถึงที่แล้ว แต่ตัวเองกับสร้างปัญหาไม่ยอมรับมันเอง เด็กแบบนี้คงไม่มีจิตสำนึกบุญคุณหรอก ยิ่งทำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไร้ค่ามากขึ้นเท่านั้น
การสอบปลายภาพได้สิ้นสุดลง และมันก็ใกล้วันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทิน คะแนนสอบที่ประกาศออกมา ชีเจียวเจียวสอบได้อันดับที่ 19 นับจากอันดับที่ 1 ของชั้นเรียน ถึงแม้ว่าจะยังไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่อย่างน้อยถึงจะเทียบอันดับบนไม่ได้ แต่ถ้าเทียบกับอันดับล่าง ๆ หล่อนก็ถือว่าดี และการที่หล่อนสอบได้อับดับที่ 19 ก็ยังไม่ถือว่าแย่เกินไป
ทันทีที่พี่เฉินได้เห็นคะแนนสอบของลูกสาว หล่อนก็ร้องตะโกนดังลั่นออกมาด้วยความดีใจ หล่อนนำหมวกทรงสูงใบหนึ่งไปมอบให้กับจางฉุ้ยเหลียนเพื่อเป็นของขวัญแทนความขอบคุณ แต่จางฉุ้ยเหลียนไม่ค่อยนิยมชมชอบกับของเหล่านี้เท่าไหร่นัก เพราะตอนนี้เธอกำลังยุ่งอยู่กับการเขียนต้นฉบับของตัวเองมากเลยทีเดียว
เมื่อกู้จื้อเฉิงกลับมาถึงบ้าน เขาก็ออกปากชมชีเจียวเจียวในทันที และยังซื้อเสื้อผ้า 1 ชุดมาให้หล่อนเป็นรางวัลอีกด้วย ชีเจียวเจียวยังประจบสอพลอเอาใจอย่างไม่ลดละ หล่อนเอ่ยปากพูดออกไปว่า ตัวเองนั้นจะทบทวนบทเรียนของเทอมถัดไปก่อนที่จะเปิดเรียน เมื่อกู้จื้อเฉิงได้ยินเช่นนั้น เขาก็รู้สึกดีใจไม่น้อยที่อย่างน้อยเขาก็ทำสิ่งหนึ่งเป็นการตอบแทนผู้กำกับการชีได้สำเร็จ
แต่แล้วจางฉุ้ยเหลียนกลับขุดหลุมใหญ่ฝังเขาทั้งเป็น เพราะเธอยืนกรานว่าจะไม่ทบทวนบทเรียนให้กับชีเจียวเจียวที่บ้านอีก
“ครูข้างนอกก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ฉันจะไปเก่งเทียบเท่าพวกเขาได้ยังไง ? ปิดเทอมตั้ง 2 เดือน เพราะอย่างนั้นหล่อนก็ไปทบทวนบทเรียนกับครูคนอื่นในช่วงกลางวันได้ ทำไมจะต้องมายุ่งวุ่นวายกับฉันในเวลากลางคืนด้วยล่ะ ? ให้หล่อนไปหาครูคนอื่นเถอะ ฉันยังมีต้นฉบับที่ยังเขียนไม่เสร็จ แล้วอีกอย่าง ฉันจะเอาเวลาว่างของฉันไปให้ความรู้คังคังด้วย” คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนทำให้กู้จื้อเฉิงรู้สึกละอายใจไม่น้อย เขาคงจะกดดันภรรยาของตัวเองโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวมากเกินไปจริง ๆ
เขามองไปยังท่าทางที่เฉลียวฉลาดที่สะท้อนออกมาจากดวงตากลมโตของลูกชาย เสียงท่องจำเจื้อยแจ้ว : เอ้อ….. เอ้อ….. เอ้อ….. ดังออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งนั่นมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าลูกชายของตัวเองนั้นฉลาดกว่าลูกของครอบครัวอื่นหลายร้อยเท่าเลยทีเดียว
หลังจากที่พี่เฉินได้ฟังเหตุผลที่จางฉุ้ยเหลียนปฏิเสธที่จะทบทวนบทเรียนให้กับลูกสาวของหล่อนต่อจากปากของกู้จื้อเฉิง หล่อนก็เข้าใจได้ในทันทีว่าจางฉุ้ยเหลียนจะต้องไม่ชอบนิสัยแย่ ๆ ที่ชีเจียวเจียวได้แสดงออกมาอย่างแน่นอน ซึ่งแน่นอนว่าลูกสาวของหล่อนไม่เคยแสดงนิสัยแย่ ๆ ด้านนี้ออกมาให้กู้จื้อเฉิงได้เห็น และดูจากท่าทางของกู้จื้อเฉิงแล้ว หล่อนก็มั่นใจว่าจางฉุ้ยเหลียนยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขาอย่างแน่นอน
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นหล่อนก็ยังหน้าด้านหน้าทนไปบ้านของตระกูลกู้ และเอ่ยปากบอกว่าจะเป็นคนสอนคังคังนับเลขเอง หล่อนจะมาช่วยสอนคังคังเป็นเวลา 1 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อให้จางฉุ้ยเหลียนได้มีเวลามาทบทวนบทเรียนให้กับชีเจียวเจียว
เพราะหล่อนกลัวว่าจางฉุ้ยเหลียนจะปฏิเสธ หล่อนจึงได้ถือโอกาสนัดแนะกับหญิงสาวที่อาศัยอยู่บ้านฝั่งตะวันตกเพื่อไปช่วยพูดกับจางฉุ้ยเหลียนในวันที่ทำซาลาเปาด้วยกัน
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนรู้แล้วว่า มือมืดที่คอยแทงข้างหลังของเธอคือหลี่หยู่หวา เธอจึงตระหนักได้ว่าการพาตัวเองไปวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวหล่อนย่อมไม่เป็นผลดี และด้วยความที่วิสัยทัศน์ของเธอนั้นแย่มาก และอีคิวของเธอก็ต่ำเกินจนไม่สามารถแยกแยะนิสัยใจคอของคนได้ เพราะอย่างนั้นเธอเลยพูดออกไปอย่างชัดเจนว่า เธอไม่อยากคบค้าสมาคมกับหลี่หยู่หวาอีก ซึ่งนั่นมันก็สร้างความเข้าใจผิดให้กับคนอื่น ๆ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เพราะจางฉุ้ยเหลียนช่วยทบทวนบทเรียนให้กับชีเจียวเจียว ฟ่านจินเซิ่งจึงเริ่มกลัดกลุ้มใจกับลูกสาวคนโตของตัวเองไม่น้อย หล่อนไม่สามารถทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อไปขอร้องให้จางฉุ้ยเหลียนมาช่วยทบทวนบทเรียนให้กับลูกสาวของหล่อนได้ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน หล่อนจึงเลือกที่จะไปถามวิธีที่จะทำให้การเรียนของลูกสาวดีขึ้นจากจางฉุ้ยเหลียนแทน
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าไห่เหยียนลูกสาวของหล่อนนั้นเป็นเด็กดีไม่น้อย เธอจึงได้ขอดูหนังสือคณิตศาสตร์และหนังสือภาษาอังกฤษของไห่เหยียนจากฟ่านจินเซิ่ง เธอใช้เวลาเพียงแค่ 2 วัน เธอก็เอาแผนการทบทวนบทเรียนที่เธอเขียนขึ้นมาเองอย่างละเอียดไปให้กับหล่อน
แถมเธอยังบอกไห่เหยียนอีกว่า ถ้ามีบทเรียนไหนที่หล่อนไม่เข้าใจ ก็ให้รีบมาถามเธอได้ทันที ถึงอย่างไรจางฉุ้ยเหลียนก็เคยมีสถานะเป็นครูสอนเด็กนักเรียนประถมมาก่อน เธอย่อมคุ้นเคยกับแผนการเรียนนี้เป็นอย่างดี
จางฉุ้ยเหลียนยังหาเวลาไปเลือกแบบฝึกหัดมา 2 เล่มจากในห้องสมุดให้กับไห่เหยียนอีกด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เรียกร้องเงินจากฟ่านจินเฟิ่ง แต่ฟ่านจินเฟิ่งก็ยังส่งปลาตัวเล็กตากแห้งและขนมซานตงที่หล่อนทำเองกับมือมาให้กับจางฉุ้ยเหลียนเป็นการตอบแทน
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงได้กลายมาเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันในที่สุด และเมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่พวกเธอทั้งสองคนทะเลาะเบาะแว้งกันในตอนที่จางฉุ้ยเหลียนเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ พวกเธอทั้งสองคนก็พากันหัวเราะออกมาให้กับความเปิ่นของตัวเอง และไม่ได้ใส่ใจกับมันอีก
เพราะทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ป้าหยูที่มักจะชอบก่อปัญหาก็มาร่วมวงด้วย และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำซาลาเปาไส้ถั่วแดงและเกี๊ยวแช่แข็ง พวกเธอทั้งสามคนก็มักจะมาปรึกษาหารือถึงวิธีการทำด้วยกัน วันนี้มาช่วยตระกูลนี้ พรุ่งนี้ก็ค่อยไปช่วยตระกูลนั้น ถ้ามีคนช่วยดูลูก พวกหล่อนก็มักจะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนลืมเวลาไปเลยทีเดียว
ถ้าเป็นเมื่อสองปีก่อน จางฉุ้ยเหลียนจะต้องไม่มีความสุขอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้คังคังก็กำลังน่ารักน่าชัง ในตอนที่เขาวิ่งซุกซนไปตรงโน้นทีตรงนี้ทีพร้อมกับส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เป็นห่วงว่าลูกน้อยจะไปชนเข้ากับสิ่งของจนได้รับบาดเจ็บโดยไม่ทันระวัง สุดท้ายจึงต้องจำใจยอมตกลง
วันนี้พี่เฉินมีงานทำความสะอาดบ้านสองหลัง และหล่อนก็รู้ว่าวันนี้ทุกคนจะต้องมาช่วยจางฉุ้ยเหลียนทำซาลาเปาไส้ถั่วแดงที่บ้านอย่างแน่นอน หลังจากที่ทำความสะอาดเสร็จแล้ว หล่อนก็รีบตรงไปที่บ้านตระกูลกู้ทันที เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไป หล่อนก็ได้ยินเสียงของเหล่าบรรดาหญิงสาวที่อาศัยอยู่บ้านฝั่งตะวันตกกำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ทุกคนนั่งทำซาลาเปาอบู่บนโต๊ะของจางฉุ้ยเหลียน ส่วนเสี่ยวเฉี่ยก็พาคังคังไปนั่งเล่นของเล่นอยู่บนโซฟา
พี่เฉินได้แต่นั่งพิงอยู่ตรงขอบประตู มือทั้งสองข้างสอดเข้าไปในแขนเสื้อพร้อมกับหัวเราะออกมา และพูดว่า “ฉันก็แค่เข้ามาขออาศัยความอุ่นหน่อยน่ะ พวกเธอหัวเราะอะไรกันหรือ ? ”
ป้าหยูส่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฉุ้ยเหลียนเล่าว่าตอนที่เธอยังเป็นเด็ก เธอได้ไปเที่ยวในเมือง ตอนที่เดินเล่นกันอยู่นั้นแม่ของเธอก็หันไปเจอกับคนต่างชาติผิวดำเข้า หล่อนก็เลยตกใจยกใหญ่เลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตลกจริง ๆ ให้ตายเถอะ! ”
ซูหยาซิ่วปิดปากกลั้นหัวเราะพลางถามขึ้นว่า : “พี่สะใภ้ คนผิวดำคนนั้นจะดำได้ถึงขนาดนั้นเลยหรือ ? แล้วเขาพูดภาษาจีนเก่งรึเปล่า ? ”
เมื่อพี่เฉินได้ยินดังนั้น หล่อนก็แสดงท่าทางสนใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็รีบเอ่ยปากถามขึ้นว่า : “พูดเรื่องอะไรกัน หมายความว่ายังไง บอกฉันมาหน่อยสิ!”
จางฉุ้ยเหลียนหยุดหัวเราะไปชั่วขณะ จากนั้นก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า “ไอ้หยา แม่ของฉันตกใจที่ได้เจอกับคนดำ หล่อนก็เลยโพล่งพูดกับฉันว่า “ไอ้หยา เขาดำมากจริง ๆ เลยนะเนี่ย ! ”
ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะพูดจบ ป้าหยูก็ชิงหัวเราะออกมาก่อน จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็พูดต่อไปอีกว่า “หลังจากนั้นคนดำคนนั้นก็ตอบกลับแม่ของฉันเป็นภาษาจีนว่า “ไอ้หยา เธอก็น่าเกลียดมากจริง ๆ เลยนะเนี่ย!”
ทุกคนจึงหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้ เสี่ยวเฉี่ยก็เลียนแบบท่าทางของผู้ใหญ่ ด้วยการเงยหน้าและอ้าปากหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ออกมา เสียงหัวเราะภายในบ้านทำให้บ้านหลังนี้ดูคึกคักขึ้นมาทันที
พี่เฉินกระตุกยิ้มมุมปากและหัวเราะแห้ง ๆ ออกมาสองสามครั้ง “อื้อ ดีจริง ๆ คนต่างชาติพูดภาษาจีนได้ด้วย น่าสนใจจริง ๆ น่าสนใจจริง ๆ! ”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับมองไปทางพี่เฉินที่แสดงท่าทางไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะกล่าวทักทายออกไปว่า “พี่หิวน้ำไหมคะ? ถ้าหิวก็รินน้ำดื่มเองได้เลยนะคะ เพราะพี่ก็น่าจะคุ้นเคยกับบ้านของเรามากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว! ”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ พี่เฉินก็เลิกคิ้วสูงและยกยิ้มขึ้นมาทันที จากนั้นก็ร้องเพลงสรรเสริญในความดีของสองสามีภรรยาตระกูลกู้ด้วยใบหน้าที่ซาบซึ้งในบุญคุณ “ก็คงจะอย่างงั้นแหละ ตั้งแต่เราสูญเสียเหล่าชีไป เราก็ได้รับความช่วยเหลือจากพวกเธอทั้งสองคน แถมพวกเธอยังช่วยทบทวนบทเรียนให้กับชีเจียวเจียวอีก ไอ้หยา เจียวเจียวยังบอกอีกว่า ถ้าได้ดิบได้ดีในอนาคต หล่อนจะไม่มีวันลืมบุญคุณของคุณอาสะใภ้กู้เลย! ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เธอก้มหน้าก้มตาทำงานที่อยู่ในมือของตัวเองต่อไป : “พี่สะใภ้ ถ้าไม่หนักหนาอะไร พี่ก็อย่าไปพูดเรื่องนี้ต่อหน้าลูกสาวของพี่เลยนะ แค่นี้หล่อนก็กดดันมากพออยู่แล้ว หล่อนอยากเรียนเก่งก็ไม่ใช่เพื่อตอบแทนใคร แต่เพื่ออนาคตของตัวเอง”
พี่เฉินหน้าซีดเผือดในทันที จากนั้นก็พยักหน้าและพูดต่อว่า “ใช่ ๆ ” เมื่อเห็นเจ้าตัวยังไม่ยอมพูด บรรยากาศภายในบ้านก็อึดอัดขึ้นมาในทันที
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ หล่อนก็พูดถึงเจตนาที่ตัวเองมาที่นี่ในครั้งนี้ออกไป และทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่ตอนที่เจียวเจียวยังเด็ก ฉันก็มักจะสอนการบ้านให้หล่อนอยู่เสมอเลยนะ เธอดูสิ เจียวเจียวของเราก็ได้ขึ้นมัธยมต้นแล้ว และนั่นมันก็เป็นเพราะความฉลาดตอนเด็ก ๆ ของหล่อนไม่ใช่หรือ เด็ก ๆ บ้านอื่น ไม่มีใครฉลาดเหมือนเจียวเจียวของเราหรอก!”
MANGA DISCUSSION