ตอนที่ 204 ใครคือคนที่ไร้มนุษยธรรม (1)
“ฉุ้ยเหลียน” ในเดือนพฤษภาคมตอนกลางวันก็เริ่มยาวนานขึ้นแล้ว จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังอุ้มเด็กน้อยคังคังอยู่ในอ้อมกอด ก็ได้หันหลังกลับไปมองตามเสียงเรียก และเธอก็ได้เจอกับเด็กสาวที่แต่งกายด้วยกระโปรงสั้น ถุงเท้ายาวขึ้นมาถึงเข่า และสวมเสื้อแจ็คเก็ตลายสก็อตคนหนึ่ง
หล่อนแตกต่างจากคนที่นี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า สไตล์การแต่งตัวของหล่อนให้ความรู้สึกเหมือนช่วงวัยรุ่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมอเมริกันอันเข้มข้นอย่างไรอย่างนั้น
หล่อนกางแขนทั้งสองข้างออกพร้อมกับวิ่งเข้ามาด้วยเสียงกรีดร้องอันแสบแก้วหู : “ว้าว ว้าว ว้าว ว้าว”
เหล่าบรรดาหญิงสาวที่พักอาศัยอยู่ในบ้านฝั่งทิศตะวันตก ต่างก็พากันเดินตามหลังของติงหลงหลงที่แต่งตัวแปลกประหลาดมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกหล่อนอยากจะรู้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นญาติของครอบครัวไหน
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางติงหลงหลงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ จนกระทั่งถูกหล่อนพุ่งตัวเข้าใส่อย่างเต็มแรง เมื่อเห็นดังนั้น ซูหยาซิ่วจึงรีบดึงตัวของคังคังออกมาจากอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ที่กำลังตกอยู่ในอาการตกใจอย่างรวดเร็วในทันที
ทุกคนมองไปทางหญิงสาวที่กระโดดกอดกันราวกับคนเสียสติทั้งสองคน ติงหลงหลงจุ๊บไปบนใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียนจนทั่วด้วยความตื่นเต้นดีใจ
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกขนลุกขนผองกับการจุ๊บของติงหลงหลงอยู่ไม่น้อย สุดท้ายก็ยังไม่วายตำหนิหล่อนออกไปว่า “เธอนี่จริง ๆ เลยนะ ทำไมถึงกลับมาจากต่างประเทศได้ล่ะ” ทันทีที่พูดจบ เธอก็ดึงมือของติงหลงหลงมากุมไว้ ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เธอดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะเลยนะ ”
ติงหลงหลงกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เธอก็ดูเป็นสาวชนบทขึ้นเยอะเลยนะ”
เมื่อคนที่อยู่ในบริเวณเหล่านั้นได้ยินแบบนั้น พวกหล่อนก็ถึงกับพากันปาดเหงื่อเลยทีเดียว ถ้าจางฉุ้ยเหลียนเป็นสาวชนบท แล้วพวกหล่อนไม่เป็นขี้ข้าไปเลยหรือ
จางฉุ้ยเหลียนมีเรื่องราวมากมายอยากจะเล่าให้ติงหลงหลงได้ฟัง แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้ว่าเธอจะเล่าเรื่องอะไรออกไปก่อนดี ก็เลยถามซ้ำออกไปว่า “เธอมาได้ยังไง ทำไมไม่บอกฉันสักคำ ฉันจะได้ไปรับเธอ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ติงหลงหลงจึงได้เงยหน้าหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นในทันที : “ฉันกลับมาที่บ้านสักพักใหญ่ ๆ แล้วล่ะ ก็เลยอยากมาเยี่ยมเธอสักหน่อย แค่ฉันมีที่อยู่ของเธอ ฉันก็ขับรถมาหาเธอได้แล้ว แต่ตอนที่ฉันกำลังจะขับรถเข้ามาในกรมทหาร ฉันก็ถูกทหารที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูดักเอาไว้ก่อน จากนั้นฉันก็เลยบอกกับพวกเขาไปว่าฉันรู้จักกับกู้จื้อเฉิง เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยไปรับฉันและพาฉันมาที่นี่ แต่รถของฉันก็ต้องจอดทิ้งไว้ด้านนอก เห้อ ! น่าเบื่อจริง ๆ เลย”
เมื่อพูดจบหล่อนก็หันไปมองคังคัง จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนว่า : “เขาโตขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย ฉันยังมีรูปตอนที่เขาอายุได้หนึ่งเดือนเก็บไว้อยู่เลย” หล่อนยื่นมือออกไปหาเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของซูหยาซิ่ว และพูดว่า “มา มาหาป้าหน่อย”
ความจริงแล้วคังคังไม่ใช่เด็กที่เข้ากับคนแปลกหน้าได้ง่าย ๆ หรอก แต่เขาเคยได้รับการสั่งสอนมาจากจางฉุ้ยเหลียนครั้งหนึ่งในร้านค้าให้กลายเป็นคนกล้าหาญและเข้มแข็ง เพราะอย่างนั้นเขาเลยปล่อยให้ติงหลงหลงดึงตัวของเขาออกมาจากอ้อมแขนของซูหยาซิ่ว ซึ่งตอนนี้ติงหลงหลงก็ทั้งนวดทั้งหยิกแก้มของเขาเบา ๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว
และในตอนนั้นเอง กู้จื้อเฉิงก็ได้พูดเตือนจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “รีบพาหล่อนเข้าไปนั่งในบ้านเถอะ ฉันมีธุระที่จะต้องไปทำต่อ”
จางฉุ้ยเหลียนปรบมือพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง “เธอมาหาฉันโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้ ฉันก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลย”
ทั้งสองคนเดินกลับเข้ามาในบ้าน จากนั้นพวกเธอก็ปิดประตูลง ทิ้งปริศนาไว้มากมายให้กับเหล่าบรรดาผู้คนที่ยืมอยู่ด้านนอก จนกระทั่งผู้ชายของแต่ละบ้านเลิกงานกลับมา พวกหล่อนจึงทยอยกันเข้าไปถามสามีของตัวเองว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
“หล่อนเป็นเพื่อนสมัยเรียนของภรรยาผู้บัญชาการกู้ ว่ากันว่าหล่อนเป็นนักเรียนนอกด้วยนะ หล่อนขับรถยนต์คันหนึ่งมาจากเมือง Q แต่ถูกทหารเฝ้ายามดักตรวจ ทหารเฝ้ายามพวกนั้นเห็นว่าหล่อนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนกับคนดีเท่าไหร่ จึงไม่อนุญาตให้หล่อนเข้ามา หลังจากนั้นพอรู้สถานะของหล่อนชัดเจนแล้ว พวกเขาจึงได้ปล่อยให้หล่อนเข้ามา”
เพราะมีเพื่อนสมัยเรียนเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน จางฉุ้ยเหลียนจึงถูกเหล่าบรรดาหญิงสาวที่อยู่ในกรมทหารเหล่านี้ต่างก็พากันจับจ้องเป็นพิเศษโดยไม่รู้ตัว
ติงหลงหลงได้ค้างคืนที่นี่เป็นเวลา 2 คืน จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าครั้งนี้หล่อนไม่สามารถมาอยู่ที่บ้านของเธอนาน ๆ ได้ เธออยากจะอุ้มเด็กน้อยกลับไปพร้อมกับหล่อนด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ธุรกิจร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของเธอก็กำลังไปได้สวย บวกกับติงหลงหลงจะต้องเดินทางลงใต้ด้วย เธอจึงทำได้เพียงแค่ข่มความเสียใจนั้นเอาไว้ เพราะอย่างนั้นติงหลงหลงจึงได้ขับรถกลับไปที่เมือง Q คนเดียว
ทันทีที่หล่อนจากไป ก็ย่อมมีพวกอยากรู้อยากเห็นเข้ามาเซ้าซี้ถามจางฉุ้ยเหลียนกันไม่หยุดไม่หย่อน พวกหล่อนอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงได้ไปเรียนที่อเมริกา และคนอเมริกันทางนั้นเขาใช้ชีวิตกันยังไง
ตอนแรกจางฉุ้ยเหลียนก็ได้อธิบายด้วยความอดทน แต่ต่อมาเธอก็พบว่าของในบ้านเริ่มหายไปทีละชิ้นสองชิ้น เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในทันที แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ ได้แต่ปิดประตู และไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาในบ้านได้อีก
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอาไปพูด คน ๆ นั้นบอกว่าของใช้ทุกอย่างภายในบ้านของจางฉุ้ยเหลียนนั้นเป็นของที่ซื้อมาจากอเมริกาทั้งสิ้น สองสามีภรรยาตระกูลกู้ก็แค่ทำธุรกิจบังหน้า แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาแอบทำธุรกิจลับ ๆ อยู่เบื้องหลังต่างหาก จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาให้กับข่าวโคมลอยไม่มูลเหล่านั้น แต่หลังจากที่กู้จื้อเฉิงได้ยินข่าว เขากลับนิ่งสงบจนน่ากลัวราวกับพายุฝนที่กำลังจะซัดสาดเข้ามา
เขาถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “เธอได้ไปพูดอะไรกับคนอื่นรึเปล่า ? ”
จางฉุ้ยเหลียนจึงตอบกลับไปด้วยความไม่พอใจว่า “ฉันไม่ได้ไปพูดอะไรกับใครเลยนะ แม้แต่นักศึกษาแลกเปลี่ยนก็เจอไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ ? ”
กู้จื้อเฉิงเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและพูดออกไปว่า “ข่าวลือข้างนอกพวกนั้นมันก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าไหร่หรอก แต่ปัญหาก็คือมีคนไปรายงานว่า เธอชื่นชอบในวัฒนธรรมของชาวต่างชาติ ไม่เพียงแต่บอกว่าเธอไม่ชอบสิ่งแวดล้อมที่แสนลำบากเหล่านี้แล้วเท่านั้น คนที่ไปแจ้งยังบอกอีกว่าเธอปลุกระดมทุกคนให้ออกไปทำธุรกิจ และยังบอกว่าเธอย้อนกระแสสังคมอีกด้วย”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินเช่นนั้น เธอก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที “ฉันไปปลุกระดมให้พวกหล่อนออกไปทำธุรกิจตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แล้วฉันไปทำตัวย้อนกระแสสังคมตอนไหน ? ใครเป็นคนเอาไปพูด พี่ไปหาตัวคน ๆ นั้นมาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”
กู้จื้อเฉิงคลี่ยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา “มันก็แค่ข่าวลือเท่านั้นแหละ เธอจะโกรธอะไรขนาดนั้น แต่ฉันก็อยากจะเตือนเธอเอาไว้นะว่า ดูท่าทางจะมีผู้ไม่หวังดีอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ซะแล้วล่ะ”
จางฉุ้ยเหลียนเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที “หรือว่าจะเป็นป้าหยู หรือฟ่านจินเฟิ่ง ป้าหยูก็ปากพล่อยไม่ใช่เล่น ฟ้านจินเฟิ่งก็เคยทะเลาะกับฉันมาก่อน คนอื่นก็ไม่น่าจะมีใครแล้ว ติงเหมยก็ไปแล้ว ที่เหลือก็มีแค่ซูหยาซิ่วและหลี่หยูหวาเท่านั้นแหละ”
กู้จื้อเฉิงขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาทันที “ทำไมถึงไม่ใช่พวกหล่อนสองคนล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนโบกมือไปมา “พอเลย ซูหยาซิ่วเป็นคนตรง ๆ ส่วนหลี่หยู่หวาก็เป็นคนไม่ชอบพูดมาก” เธอหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา และพูดออกไปว่า “ถ้าพี่ไม่พูดฉันก็คงจะลืมไปแล้ว พี่จำเรื่องที่มีคนไม่ประสงค์ที่จะออกนามไปรายงานเรื่องที่พี่เอารถหลวงมาใช้ส่วนตัวได้ไหม สุดท้ายเราก็สืบหาไม่ได้ว่ามันเป็นฝีมือของใครกันแน่ พี่ว่ามันจะเป็นฝีมือติงเหมยรึเปล่า”
ไม่มีหลักฐานยังไงก็คาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนจำได้ว่าพวกเขาก็ทำการสืบหาเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ ไม่ได้เอิกเกริกแต่อย่างใด แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าคลื่นลมที่เงียบสงบนั้นจะแฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเรื่องตลกก่อนหน้านั้นเลย
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าเรื่องทุกเรื่องไม่มีทางจบลงง่าย ๆ อย่างแน่นอน มีบางคนที่ถึงแม้ว่าเธอจะเห็นนิสัยใจคอของพวกเขา แต่สุดท้ายแล้วคน ๆ นั้นก็ไม่ได้ทำอะไรให้เธอแต่อย่างใด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นทุกคนก็ยังคงปฏิสัมพันธ์กับเธอได้ทุกวัน และเธอก็คิดว่านั่นมันก็เป็นเพราะผลประโยชน์ และพวกเขาก็กลัวว่าเธอจะเปลี่ยนจากเพื่อนกลายเป็นศัตรูนั่นเอง
“คิดอะไรได้บ้างไหม ? ” เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีของจางฉุ้ยเหลียน เขาก็คิดว่าเธอคงจะนึกอะไรขึ้นมาได้บ้าง
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ จากนั้นก็พูดออกไปว่า “ไม่รู้ว่าทำไม จู่ ๆ ฉันก็คิดถึงละครโทรทัศน์ออกมาได้ 2 เรื่อง”
กู้จื้อเฉิงยกมือขึ้นมานวดขมับทั้งสองข้างเล็กน้อย ราวกับกำลังทบทวนความจำอย่างไรอย่างนั้น “ละครโทรทัศน์อย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ตั้งแต่ที่พี่พูดว่ามีบุคคลไม่หวังดี ฉันก็นึกถึงละครโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับนางสนมในวังขึ้นมาได้ เหล่าบรรดาหญิงสาวต่างก็คิดที่จะแย่งชิงอำนาจกัน ฉันคิดว่าถึงแม้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเราในตอนนี้ มันจะเทียบเท่าเรื่องนั้นไม่ได้ ต่อมาพวกผู้หญิงเหล่านั้นก็มีจำนวนเยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ ของใหม่ก็มาแทนของเก่า พวกหล่อนต่างถูกวิพากวิจารณ์สาดเสียเทเสียอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งฉันก็ไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจแต่อย่างใด”
จางฉุ้ยเหลียนได้แต่ทอดถอนใจหายออกมา “แต่ที่พี่พูดมามันก็ถูกนะ ตอนนี้ข่าวลือพวกนั้นมันก็ได้กลายมาเป็นแบบนี้แล้ว แม้แต่เรื่องโจรขายชาติก็ยังกล้าพูดออกมา ทั้ง ๆ ที่พี่ก็กำลังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอยู่ ฉันรู้สึกว่ามันจะต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ และเสียงส่วนมากที่ลงความเห็นว่าใครจะได้ย้ายไปประจำการอยู่ที่กรมทหาร y ก็คือพี่ หัวหน้าเองก็รู้สึกว่าหน่วยก้านของพี่ก็ไม่เลวเลยเหมือนกัน แต่ทำไมหลังจากนั้นกลับกลายเป็นว่ามีคนอื่นได้ย้ายไปแทนล่ะ เรื่องของติงหลงหลงก็เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญก็เท่านั้น แต่กลับใส่สีตีไข่ซะจนยืดยาวแบบนี้ได้”
ดวงตาของกู้จื้อเฉิงเกิดความวูบไหวเล็กน้อย “เธอพูดเหมือนกับจิ้นเหวินไม่มีผิดเลย ตอนแรกฉันได้รับการคัดเลือกให้ย้ายไปประจำการอยู่ที่กรมทหาร y ตอนที่ได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบน ฉันเองก็ตกใจไม่น้อยเลยเหมือนกัน แต่ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นพวกเขาไปได้ ฉันกับสวี๋ต้าหยง ไม่มีใครได้ไปเลยสักคน น่าเสียดายจริง ๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด “ถึงแม้ว่าสวี๋ต้าหยงจะไม่ได้ไป แต่เขาก็ได้เลื่อนขั้นนะ และถึงแม้ว่าเขาจะถูกย้ายไปตำแหน่งครูฝึก แต่ก็ถือว่าได้รับการเลื่อนขั้นแล้ว ในบรรดาผู้สมัครที่โดดเด่น พี่ไม่ได้ตกอันดับแต่อย่างใด ตอนนี้ดันมีข่าวลือหนาหูออกมา ซึ่งในข่าวลือเหล่านั้นมันก็ได้พุ่งประเด็นมาที่ฉันอย่างชัดเจนว่าเป็นคนสร้างความลำบากให้กับพี่”
กู้จื้อเฉิงพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย “ใช่ ๆ จิ้นเหวินเองก็พูดแบบนี้เหมือนกัน ตอนแรกฉันบอกเขาว่าฉันไม่ได้ถูกคัดเลือก เขาก็เลยถามฉันว่าแล้วคนอื่น ๆ ล่ะ ฉันก็เลยบอกเขาไปว่า ฉันไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก จิ้นเหวินก็เลยเตือนฉันให้ระวังว่าจะเกิดเรื่องขึ้นภายใน ตอนนั้นฉันไม่ได้เก็บเอามันมาใส่ใจ และฉันก็ยุ่ง ๆ เรื่องของผู้กำกับการชีด้วย เรื่องนี้ก็เลยเงียบไป”
“จิ้นเหวิน เสนาธิการหัวหมาที่ชอบออกความคิดเห็นให้พี่คนนั้น เขาเป็นคนที่ฉลาดและมีไหวพริบมากจริง ๆ ”
กู้จื้อเฉิงเกาศีรษะพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ ออกไป ก่อนจะพูดว่า “ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวทหาร แต่เขาก็เติบโตมาในสนามรบ พ่อของเขาก็เป็นทหาร แต่คุณปู่ของเขาดำรงตำแหน่งในการบริการองค์กร เขามักจะเห็นอะไรเหล่านี้มาตั้งแต่เด็กจนโต เพราะอย่างนั้นเขาเลยสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ได้ดีกว่าคนอื่น ๆ เมื่อก่อนฉันมักจะต่อว่าเขาว่าเป็นคนที่ไร้หัวใจ แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ฉันคงคิดง่ายเกินไป”
กู้จื้อเฉิงไม่ได้เสียใจที่ถูกมือมืดมาช่วงชิง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแบบนี้ปะปนอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ด้วย เขาคิดว่าอาชีพทหารเป็นอาชีพที่ต้องมีความซื่อสัตย์มากอาชีพหนึ่ง เพียงแค่ใช้กลยุทธิ์ง่าย ๆ ก็เหยียดหยามทหารในยุคปัจจุบันนี้ได้แล้ว
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมจางฉุ้ยเหลียนจึงรู้สึกว่ากู้จื้อเฉิงไม่เหมาะสมที่จะเลื่อนขั้น เขาได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมของทหารมาตั้งแต่เด็ก ๆ ภาพที่เขาเห็น เสียงที่เขาได้ยิน ต่างก็เป็นเรื่องราวของวีรบุรุษรุ่นเก่าเหล่านั้นทั้งสิ้น
“เธอรู้ไหมว่า ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก คุณลุงของฉันได้เป็นวีรบุรุษด้วยนะ เขาเคยเข้าร่วมสงครามเกาหลี และคุณลุงของฉันก็ถูกยิงเสียชีวิตในสนามรบ คุณป้าของฉันไม่รู้หนังสือ แต่ก็เป็นสตรีที่ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าบุรุษแต่อย่างใด อ้อ ! ฉันลืมบอกเธออีกอย่างว่า หล่อนเป็นประธานโครงการสตรีแห่งชาติด้วย หล่อนมีชื่อเสียงมากในสมัยนั้นเลย” กู้จื้อเฉิงพูดเรื่องนี้ต่อหน้าจางฉุ้ยเหลียนเป็นครั้งแรก ในห้วงความทรงจำของผู้อาวุโสทั้งสองคนที่เขาเอ่ยถึง เขาก็แทบจะไม่ได้ชื่นชอบอะไรในครอบครัวของพวกเขาเลย
“เธอรู้ไหมว่าหลังจากที่แม่ของฉันเกิดมา หล่อนก็ถูกคุณย่าและบรรดาพี่น้องคนอื่น ๆ ทอดทิ้ง หลังจากที่แม่ของฉันคลอดฉันออกมา หล่อนก็ถูกขับไล่ คุณป้าใหญ่บอกว่าหล่อนจะไม่มีวันปล่อยให้แม่ของฉัน เลี้ยงดูฉันให้เกิดความลำเอียงอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจพาฉันไปอยู่กับคุณย่า และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับญาติพี่น้องเหล่านั้น” จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วแน่นพร้อมทั้งยกมือขึ้นมาปิดปาก เธอเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้ในที่สุด
และในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมสองพี่น้องคู่นี้ถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้ กู้จื้อเฉิงหยาบคายเหมือนกับชาวบ้านที่ไม่มีการศึกษา แต่กู้จื้อชิวกลับเป็นคนที่ชอบออดอ้อนเหมือนกับคุณหนู สองพี่น้องมีอายุห่างกัน 10 ปี แต่กลับแตกต่างกันราวกับอยู่กันคนละยุคสมัย
กู้จื้อเฉิงลืมตาขึ้นมาดูโลกในปี 1963 หลังจากนั้น 2 ปี ก็เริ่มเข้าสู่การปฏิวัติทางวัฒนธรรมตั้งแต่ปี 1965 และสิ้นสุดลงในปี 1976 ตามความรู้ความเข้าใจในวัยเด็กของเขา เขาไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนหนังสือ ไม่ต้องเชื่อฟังอาจารย์ และไม่ต้องมีการบ้าน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนแต่อย่างใด ภาพที่เขามักจะเห็นในทุก ๆ วันก็คือสงครามความรุนแรง และการวิจารณ์ต่าง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เมินเฉยต่อแม่ของเขาแต่อย่างใด
ความคิดของเขาหยุดชะงัก พฤติกรรมที่หยาบคาย ไม่รู้จักปรับตัวนั้นยังพอสามารถอธิบายได้ นี่คือนิสัยสันดานที่ได้รับการหล่อหลอมมาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากสำหรับคนแถวนั้น
“พี่….พี่กำลังวิจารณ์แม่ของพี่อยู่งั้นหรือ ? ” ผ่านไปเนิ่นนาน จางฉุ้ยเหลียนจึงได้โพล่งถามออกไป เพราะเธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง คนสองชาติอย่างเธอไม่เคยสัมผัสกับเรื่องแบบนี้มาก่อน บางทีมันก็อาจจะอธิบายได้ว่าทำไมวันนั้นกู้จื้อเฉิงถึงได้รู้สึกผิดหวัง……………
MANGA DISCUSSION