ตอนที่ 203 คนอ่อนแอ
เมื่อนำรายได้เฉลี่ยต่อปีในปีที่แล้ว มารวมกับเงินเดือนขั้นพื้นฐาน 40 เดือนก่อนหน้านั้นของผู้กำกับการชี พี่เฉินจะได้รับเงินบำนาญเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 31,270 หยวน บวกกับเงินเบี้ยเลี้ยงต่าง ๆ รวมทั้งเงินค่าจัดงานศพที่ทางกรมทหารคอยช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวของผู้สละชีพ จำนวนเงินทั้งหมดที่พี่เฉินจะได้ก็น่าจะสูงถึง 30,000-50,000 หยวนเลยทีเดียว
มิน่าล่ะครอบครัวของผู้กำกับการชีถึงอยากจะได้ส่วนแบ่งเงินตรงนี้นัก เพราะเงินจำนวนนี้เทียบเท่ากับเงินเดือน 15 ปีของผู้กำกับการชีเลยทีเดียว
ครอบครัวตระกูลชีก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ในตอนนี้กู้จื้อเฉิงก็มีความเสี่ยงที่จะถูกรายงานเบื้องบนว่า “กลั่นแกล้งครอบครัวของผู้เสียชีวิต” แต่โชคดีที่พี่เฉินรวมทั้งชีเจียวเจียวลูกสาวของผู้กำกับการชีช่วยออกหน้าให้ และยังให้เขาเป็นผู้แบ่งเงินให้กับทุกคนอีกด้วย
สุดท้ายพ่อแม่ของผู้กำกับการชีก็กลับไปอย่างไม่พอใจด้วยเงินจำนวน 5,000 หยวน เพราะทางกรมทหารได้นำเงินทั้งหมดของผู้กำกับการชีไปมอบให้กับพี่เฉินแต่เพียงผู้เดียว
พี่เฉินคุกเข่าลงเตรียมที่จะหมอบลงไปกับพื้นเพื่อที่จะแสดงความขอบคุณในน้ำใจของกู้จื้อเฉิง แต่หล่อนก็ถูกกู้จื้อเฉิงดึงตัวให้ลุกขึ้นมาเสียก่อน เขาบอกกับหล่อนว่า ถ้าไม่มีผู้กำกับการชีเขาก็คงจะตายไปนานแล้วเหมือนกัน และการที่ผู้กำกับการชีต้องจากไปอย่างกะทันหันแบบนี้ เขาก็ต้องเป็นฝ่ายดูแลภรรยาและลูกสาวของผู้กำกับการชีให้ดีที่สุด
หลังจากวันนั้นกู้จื้อเฉิงก็วิ่งวุ่นเข้าออกกรมทหารเป็นว่าเล่น จนในที่สุดเขาก็หางานให้พี่เฉินได้ และงานที่เขาหาให้พี่เฉินก็คือ งานทำความสะอาดบ้านของครอบครัวทหาร ถึงแม้ว่างานนี้จะได้รับเงินเดือนไม่สูงมากนัก แต่มันก็ยังดีกว่าเบี้ยยังชีพมากเลยทีเดียว
พี่เฉินวิ่งมาหาจางฉุ้ยเหลียน เพื่อแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง “เมื่อก่อนฉันไม่เคยทำงานอะไรเลย ได้แต่เลี้ยงไก่และทำกับข้าวอยู่แต่ในบ้าน จนกระทั่งพี่ชีจากฉันไป ตอนนี้ฉันก็คงจะอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว โชคดีที่มีพวกเธอคอยอยู่เป็นกำลังใจให้ฉันมาตลอด ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะไม่มีงานทำแบบนี้”
จางฉุ้ยเหลียนรดน้ำดอกไม้ที่เธอปลูกตรงลานบ้าน พร้อมกับพูดขึ้นว่า “กว่าที่จะได้งานนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เหล่ากู้ต้องวิ่งวุ่นเข้าออกกรมทหารเป็นว่าเล่น แถมสมาชิกในครอบครัวของทหารก็มีจำนวนมาก จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะมอบหมายงานแบบนี้ให้ ก็เหมือนดั่งคำที่ว่าพระมากแต่โจ๊กน้อย จำนวนงานไม่สอดคล้องกับจำนวนคน แต่เพราะสถานการณ์ของพี่เฉิงค่อนข้างที่จะพิเศษ เหล่ากู้ก็เลยยืนหยัดอดทนจนสามารถหางานนี้มาให้พี่ได้”
จางฉุ้ยเหลียนตบมือลงไปบนเก้าอี้หินที่อยู่ข้าง ๆ เพื่อบอกให้หล่อนมานั่งคุยกันแบบสบาย ๆ พี่เฉินวางไม้กวาดไว้ด้านข้าง และส่งยิ้มตาหยีไปให้กับจางฉุ้ยเหลียน “เธอดูมีความสุขจังเลยนะ ลานกว้างขนาดนี้ เธอยังเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสวนดอกไม้ แต่มันก็สิ้นเปลืองไม่น้อยเลยนะ”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมาและพูดว่า “สมาชิกในครอบครัวของหนูก็มีแค่ไม่กี่คน อีกอย่างพวกเราก็กินกันไม่เยอะหรอกค่ะ หนูก็เลยปลูกผักสวนครัวไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของบ้าน ด้านหน้ามีผักหลายชนิดเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นผักกาดขาว มันฝรั่ง แตงกวา พริก ฟัก ฟักทอง และก็ผักใบเขียวอีกเยอะแยะเลย”
พี่เฉินเริ่มแสดงสีหน้าอิจฉาออกมา “ก็บ้านฝั่งตะวันตกที่พวกเธออาศัยอยู่นี้มันเอื้ออำนวยต่อการปลูกผักนี่ แต่บ้านฝั่งตะวันออกมีเนื้อที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่เลย แถมยังแคบจนเกือบจะหายใจไม่ออกอีกต่างหาก เนื้อที่ปลูกผักก็เทียบเท่ากับเนื้อที่บ้านของเธอสักครึ่งหนึ่งได้ล่ะมั้ง เราสามคนพ่อแม่ลูกไม่เคยได้กินอาหารได้อย่างอิ่มท้องเลยสักครั้ง เมื่อถึงฤดูหนาวก็พึ่งพาได้แต่พวกแตงกวากับมันฝรั่งก็เท่านั้น”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินแบบนั้น เธอก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “ไว้ถ้าผักพวกนี้โตเต็มที่เมื่อไหร่ พี่ก็มาเด็ดเอาได้เลยนะคะ เอาไปตากแดดให้แห้งเก็บไว้กินในช่วงฤดูหนาว เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง หนูก็จะให้พี่ยืมพื้นที่ปลูกผักของหนูไปปลูก พี่จะได้มีผักกินตลอดทั้งปี”
สีหน้าตื่นตกใจของพี่เฉิน มันแฝงไปด้วยความรู้สึกเกรงใจและกลัวไม่น้อย หล่อนเอาแต่กล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ จางฉุ้ยเหลียนกลัวท่าทางเช่นนี้ของหล่อนที่สุด และมักจะรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้ง ทุกคนเปรียบเสมือนเทพเจ้าผู้ช่วยชีวิตสำหรับหล่อน ส่วนหล่อนก็เหมือนกับคนที่ต้องรับโทษจากเบื้องบนอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันเห็นลานบ้านของครูฝึกโจวว่างอยู่ ไม่มีใครย้ายเข้ามาอยู่หรือ” พี่เฉินกวาดสายตามองไปที่บ้านข้าง ๆ พร้อมกับถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นเธอก็พูดอย่างไม่คิดอะไรออกไปว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้านยังไม่อยากย้ายเข้ามาอยู่น่ะค่ะ และตอนนี้เขาก็ยังอยู่ในหอพักทหาร”
ปมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นเริ่มคลายตัวออก พี่เฉินถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “แล้วแปลงผักของพวกเขาล่ะ ฉันเห็นว่ามีคนมาปลูกผักอยู่นะ”
จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นไปมอง : “พี่อยากปลูกหรือ”
พี่เฉินได้แต่ก้มหน้ายอมรับลูกเดียว “ฉันก็แค่คิดว่าถ้าไม่มีเจ้าของ ฉันก็อยากเป็นเจ้าของบ้าง ถ้าปลูกผักได้ฉันก็จะเก็บเอาไปขาย เผื่อมันจะพอเป็นค่าสมุดของเจียวเจียวได้สักเล่มสองเล่ม ไอ้หยา แต่ฉันก็เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้มีความสามารถอะไร พ่อของหล่อนก็เสียชีวิตไปซะก่อน ฉันไม่อยากให้หล่อนรู้สึกขาด อยากให้หล่อนมีอนาคตที่ดีเหมือนกับเพื่อนคนอื่น ๆ ”
จางฉุ้ยเหลียนจนปัญญา เธอจึงทำได้เพียงแค่พูดออกไปว่า “พื้นที่ปลูกผักของบ้านหนู หนูก็เอาให้ซูหยาซิ่วยืมไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งหนูก็เอาไปให้ป้าหยูยืม ถ้าพี่อยากได้พี่ก็รีบบอกหนูนะคะ หนูจะได้ไปบอกพวกหล่อนก่อน ตอนนี้พวกหล่อนก็ลงผักไปทุกแปลงแล้ว คงไม่ทันแล้วล่ะค่ะ”
พี่เฉินรีบลุกขึ้นยืนในทันที ราวกับตื่นตกใจอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าของหล่อนก็ซีดเผือดราวกับกระต่ายขาวที่กำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูก “ไอ้หยา ไม่ต้องไปพูดหรอก ฉันก็พูดไปงั้นแหละ จะยุ่งยากไปพูดให้ฉันอีกทำไม แค่นี้ฉันก็รบกวนพวกเธอมากพอแล้ว พอแล้วล่ะ”
เมื่อพูดจบหล่อนก็รีบหยิบไม้กวาดของหล่อน แล้วเดินหนีออกไปราวกับว่ามีสุนัขกำลังไล่กัดหล่อนตามอย่างไรอย่างนั้นทันที
ป้าหยูที่กำลังทำซอสพริกอยู่ในบ้านก็ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนอย่างชัดเจน เมื่อหล่อนเห็นพี่เฉินเดินจากไปแล้ว หล่อนก็ถือวิสาวะเปิดประตูเข้ามาในบ้านของตระกูลกู้ จากนั้นก็หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อน และพูดดด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดาบนความทุกข์ของคนอื่นว่า “ทีนี้เห็นรึยังล่ะ”
จางฉุ้ยเหลียนนิ่งอึ้งไปในทันที เพราะเธอไม่รู้ว่าหล่อนกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของจางฉุ้ยเหลียน ป้าหยูก็รีบพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “เธอไม่เข้าใจจริง ๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจกันแน่เนี่ย”
เมื่อเห็นท่าทางของจางฉุ้ยเหลียนไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริง ๆ ป้าหยูก็หัวเราะออกมาทันที “ไอ้หยา พวกเธอสองคนนี่เป็นคนดีซะจริงนะ เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดแล้ว ต่อไปฉันจะคอยดูอย่างเดียว เสี่ยวจาง จะคอยดูวันที่เธอต้องมานั่งปาดน้ำตานะ”
ป้าหยูพูดเพียงประโยคสองประโยคแล้วก็จากไป นี่มันอะไรกันเนี่ย จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานแต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ เธอคิดว่าป้าหยูมักจะชอบเข้ามาก่อกวนอยู่เสมอ ถ้าเกิดมีเรื่องขึ้นมาจริง ๆ หล่อนก็คงจะพูดไปนานแล้ว
เมื่อกู้จื้อเฉิงเลิกงานกลับมาถึงบ้าน หัวคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน พร้อมกับส่งเสียงเรียกจางฉุ้ยเหลียนออกไปทันที “เธอได้ไปคุยกับพี่เฉินมารึเปล่าว่า จะให้หล่อนย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังที่หกหรือ ? ”
ทันทีที่จางฉุ้ยเหลียนได้ยินคำถามที่ไม่ทันตั้งตัวของกู้จื้อเฉิง เธอก็รีบยืนกรานปฏิเสธในทันที “ไม่นะ” เมื่อพูดจบเธอก็นึกย้อนกลับไปเมื่อตอนกลางวันที่เธอได้พูดคุยกับพี่เฉิง พร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กู้จื้อเฉิงฟัง
“ทำไมหรือ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าสีหน้าของกู้จื้อเฉิงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เธอเลยถามออกไปด้วยความสงสัย
กู้จื้อเฉิงยกมือขึ้นมานวดขมับของตัวเองเล็กน้อย และพูดออกไปว่า “พี่เฉินมาดักรอฉันระหว่างทางกลับบ้าน หล่อนบอกว่าพื้นที่ปลูกบริเวณบ้านของหล่อนมันเล็กเกินไป ไม่พอกิน แล้วหล่อนก็บอกว่า เธอบอกหล่อนว่าบ้านหลังที่หกว่างอยู่พอดี เธอเลยชวนหล่อนให้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ก่อน รอให้เจ้าของบ้านอยากย้ายเข้ามาอยู่เมื่อไหร่ หล่อนก็ค่อยย้ายกลับไป ”
เขามองไปที่จางฉุ้ยเหลียนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เธอเป็นคนพูด เธอเป็นคนเสนอความคิดบ้า ๆ นี่ให้หล่อน”
“ฉันมันโง่เอง” จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปด้วยความขุ่นเคือง “ฉันไม่รู้นี่นา ก็เลยพูดออกไปโดยที่ไม่ทันคิด นี่เป็นบ้านพักของทหารระดับหัวหน้านะ ทำไมหล่อนถึงจะย้ายเข้ามาอยู่ได้ตามใจชอบ เพียงเพราะมันว่างด้วยล่ะ”
จางฉุ้ยเหลียนเมินหน้าไปทางอื่น พร้อมกับบ่นกระปอดกระแปดด้วยความไม่พอใจ “พี่เฉินคนนี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าสมองเกิดสนิมไปแล้วรึไง ถึงคิดเองไม่ได้ หล่อนชอบแปลงผักของบ้านทหารหลังที่หก อยากจะมาปลูกผักสร้างรายได้ แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ลงผักปลูกกันไปหมดแล้ว หล่อนอยากจะให้ฉันไปช่วยออกหน้าให้ ฉันไม่ทำหรอกนะ” ก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยถูกคนอื่นมาเอาเปรียบเพราะพื้นที่ปลูกผักของตัวเอง ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรออกไป เธอก็โดนคนพวกนั้นเล่นงานซะแล้ว เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่เข้าไปสอดเรื่องนี้ สุดท้ายความยุ่งไม่เข้าเรื่องของเธอก็ได้ล่วงเกินทั้งสองตระกูลจนไม่พอใจ จนได้ไม่คุ้มเสีย
“ผักในบ้านของพวกหล่อนมีน้อย ไม่พอกินอย่างนั้นหรือ” กู้จื้อเฉิงขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็หันไปมองจางฉุ้ยเหลียนและพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอก็แบ่งแปลงผักของบ้านเราให้หล่อนสิ ถึงอย่างไรเราก็กินผักพวกนี้กันไม่หมดอยู่แล้ว”
จางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “ทำไมเราจะกินไม่หมดล่ะ ข้าวโพดพวกนั้นก็เอามาต้มซุปให้พี่ได้ ส่วนผักแห้งพวกนั้นก็เอามาตุ๋นกับเนื้อได้ แล้วอีกอย่าง แปลงผักที่พี่บอกให้ฉันยกให้หล่อน คือแปลงผักไหนล่ะ ด้านหน้าหรือว่าด้านหลัง”
กู้จื้อเฉิงรู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่ใช่คนขี้งกตระหนี่ถี่เหนียวแต่อย่างใด และเธอก็ไม่ใช่คนที่ชอบโมโหใส่ใครง่าย ๆ ด้วย “เราไม่มีเวลาดูแปลงผักมากขนาดนั้นหรอก เธอก็ต้องวิ่งไปกลับสุ่ยหยวนทุกวัน ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะลดลงมาบ้างแล้วก็เถอะ ฉันก็ยังทำงานหาเงินให้พวกเธอสองคนแม่ลูกได้ แต่พี่เฉินตัวคนเดียว กว่าจะหาเงินมาเลี้ยงลูกของตัวเองได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าเราช่วยเขาได้ก็ช่วย”
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงช่วยเหลือเรื่องเงินบำนาญของพี่เฉินแล้ว ดูเหมือนว่าครอบครัวของพวกเขาทั้งสองคนจะเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเปลี่ยนหลอดไฟในบ้าน หรือว่าเรื่องนั้นมันจะสำคัญหรือไม่ หล่อนก็มักจะวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือจากบ้านของเธออยู่เสมอ
ดูจากส่วนที่กู้จื้อเฉิงต้องตอบแทนพระคุณของผู้กำกับการชีแล้ว ถ้าจางฉุ้ยเหลียนมีเงินก็ต้องออกเงิน ถ้ามีแรงก็ต้องออกแรง แต่พี่เฉินคนนี้ก็อ่อนแอเกินไป แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หล่อนก็ยังต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เรื่องที่จะช่วยมันก็ช่วยได้อยู่หรอก แต่หล่อนก็ควรที่จะพูดจาดี ๆ บอกกล่าวดี ๆ ว่าอยากให้ช่วยตรงไหน ไม่ใช่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้มาขอความช่วยเหลือจากคนอื่น จากนั้นก็ทำมาเป็นพูดจาไพเราะเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณแบบนี้
นานวันข้าก็ยิ่งจนปัญญามากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีใครทำอะไรได้
สุดท้ายจางฉุ้ยเหลียนก็ต้องแบ่งแปลงผักที่อยู่ด้านหลังบ้านให้กับพี่เฉินเอาไว้ปลูกผัก อีกทั้งยังบอกหล่อนอีกว่า ถ้าหล่อนไม่ชอบปลูกข้าวโพดหรือว่าถั่ว หล่อนก็ไถเป็นนาก็ได้ แต่พี่เฉินกลับไม่สนใจ แบกไม้คานไปยังแปลงผักทุกวันด้วยความฮึกเหิม
เมื่อซูหยาซิ่วเห็นแบบนั้น หล่อนก็อดที่จะเอ่ยปากเตือนจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ว่า “ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะว่า ตอนนี้หล่อนเป็นแม่หม้าย เพราอย่างนั้นเธอก็อย่าให้ผู้บัญชาการกู้ไปช่วยอะไรหล่อนมากนักล่ะ มันจะดูไม่ดี”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางซูหยาซิ่วด้วยแววตาขุ่นเคืองใจ เธอกำลังจะอ้าปากพูด แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดมันออกมา ซูหยาซิ่วมองพิจารณาเธอเงียบ ๆ ก่อนจะโต้แย้งกลับไปว่า “ทำไม ? เธอไม่เชื่อฉันหรือ”
“ถ้าอย่างนั้นกู้จื้อเฉิงก็คงต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะอยากนอกใจฉัน แต่เขาก็ควรที่จะหาผู้หญิงที่ดีกว่านี้หน่อยนะ อย่าว่าแต่ความสวยเลย อย่างน้อยก็ต้องหาผู้หญิงที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดมากกว่านี้หน่อยสิ” จางฉุ้ยเหลียนพูดเสียงต่ำ ๆ ว่า “นี่พี่สาว เธออย่ามาพูดแบบนี้เลย ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะว่า แม่สามีของฉันยังดูสะอาดสะอ้านกว่าหล่อนเสียอีก การที่เธอพูดออกมาแบบนี้ เธอกำลังดูถูกกู้จื้อเฉิงอยู่นะ และเธอก็กำลังดูถูกฉันด้วย”
ซูหยาซิ่วแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็หยิกแขนจางฉุ้ยเหลียนไปหนึ่งที มันเจ็บจนเธอต้องร้อง “ไอ้หยา” ออกมาเลยทีเดียว เธอยกมือขึ้นไปนวดบริเวณที่โดนหยิกเบา ๆ และพูดขึ้นมาว่า “พี่สาว ฉันขอร้องให้เธอเปลี่ยนนิสัยแบบนี้ได้แล้วนะ ชอบหยิกคนอื่นแบบี้ มันไม่ดีนะรู้ไหม”
ฝีปากของซูหยาซิ่วช้ากว่ามือ ปกติแล้วเวลาหล่อนพูด หล่อนก็มักจะชอบยื่นมือออกไปหยิกอีกฝ่ายเสมอ และสามีของหล่อนก็มักจะโดนหล่อนหยิกจนเกิดเป็นรอยฟกช้ำดำเขียวไปเกือบทั้งตัว แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับทนการกระทำแบบนี้ของหล่อนไม่ได้
“เอาล่ะ ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะว่า ข้าวหนึ่งถังเลี้ยงตอบแทนผู้มีพระคุณ ข้าวหนึ่งหยิบเลี้ยงดูศัตรู เธอไม่ต้องมากลอกตาใส่ฉันเลย ถึงตอนนั้นถ้ามันเกิดเรื่องขึ้นมาจริง ๆ ฉันจะหัวเราะให้ฟันร่วงหมดปากเลยคอยดู” ซูหยาซิ่วถอนหายใจออกมา ด้วยท่าทางเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้ยินแบบนี้ ก่อนหน้านั้นป้าหยูก็เคยพูดเป็นนัย ๆ ซึ่งเธอกับกู้จื้อเฉิงก็ไม่ได้สังเกตเรื่องนี้แต่อย่างใด
“เธอรู้อะไรบางอย่างมาแล้วใช่ไหม” จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางซูหยาซิ่วด้วยสายตาเคร่งขรึม ซูหยาซิ่วถอนใจออกมา จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “ฉันก็พูดไปแล้วเมื่อกี้นี้ ในใจของฉันก็แค่รู้สึกอึดอัดเท่านั้นเอง หล่อนเอาแต่น้อมรับความช่วยเหลือจากทุกคนอย่างสบายอกสบายใจ และรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่สมควร เธอลองดูแล้วกันนะว่า ปกติแล้วหล่อนมีความสัมพันธ์อะไรกับใครรึเปล่า ทางที่ดีควรอยู่ให้ห่างไว้เป็นดีที่สุด”
จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจความหมายที่หล่อนต้องการจะสื่อ หล่อนต้องการที่จะบอกเธอว่า เหล่าบรรดาพวกผู้หญิงที่อาศัยอยู่ที่บ้านทางฝั่งตะวันออกมักจะชอบพูดจาไร้สาระเป็นที่สุด นอกจากนี้ก็ยังมีครอบครัวที่หวังอยากจะได้เงินทองไม่ใช่สิ่งของ ซึ่งพี่เฉินก็เป็นคนในกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน
พวกเดียวกัน กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ ยังไง ๆ ก็เข้าข้างกันอยู่แล้ว การที่มีคนมาคอยเตือนจางฉุ้ยเหลียนแบบนี้ เธอก็รู้สึกดีใจไม่น้อย
“ไม่เป็นไร ก็แค่แปลงผักแปลงเดียว ถ้าหล่อนอยากได้ฉันก็จะให้หล่อน บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนข้าวโพดและมันฝรั่งหรอก” จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่ในใจของเธอกลับวูบไหวขึ้นมาไม่น้อย
MANGA DISCUSSION