ตอนที่ 199 ร้านใหม่เจริญรุ่งเรือง
โทรทัศน์จอขาวดำหนึ่งเครื่องต้องใช้เงินซื้อประมาณ 700 – 800 หยวน ส่วนโทรทัศน์จอสีขนาด 20 นิ้วหนึ่งเครื่องต้องใช้เงินประมาณ 3,000 หยวน ตู้เย็นหนึ่งเครื่องต้องใช้เงินอย่างต่ำ 4,000 หยวน การที่บ้านของพวกเขาเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า มันต้องใช้เงินทุนมากขนาดไหนกันล่ะ ถึงจะไม่ได้ขาย แต่ดูแค่สินค้าก็นับว่าเป็นเงินไม่น้อยแล้ว
เพื่อนบ้านบางคนแบกความเชื่อมั่นเดินเข้าไปถาม พวกเขาเห็นจางฉุ้ยเหลียนกำลังอุ้มลูกและขายเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ในห้างสรรพสินค้าในเมืองสุ่ยหยวนจริง ๆ เมื่อเห็นคนคุ้นหน้า ก็ชวนคุยกันสองสามประโยค ทำตัวเหมือนป้าโค้วไม่มีผิด ท่าทางไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการทำมาหากินเลยสักนิด
“พี่สาว ฉันได้ยินว่าพี่จ้างพนักงานคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ ? พี่ลองคิดดูว่าพี่จะไล่พนักงานคนนั้นออกได้ไหม แล้วพี่ก็มาจ้างฉันแทน ? ” ติงเหมยอุ้มลูกมาหาจางฉุ้ยเหลียน หล่อนพยายามหลีกเลี่ยงกู้จื้อเฉิงแล้วถามเธอออกไปอย่างระมัดระวัง
“จ้างเธองั้นหรือ ? แล้วเธอไม่ต้องดูแลลูกหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกแปลกใจกับข้อเสนอของติงเหมยเป็นอย่างมาก “ถ้าเธอมาดูแลลูกให้ฉัน แล้วลูกของเธอล่ะจะทำยังไง ? ”
ติงเหมยคลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ “คนเดียวก็ดูได้ สองคนก็ดูได้เหมือนกัน แน่นอนว่าฉันต้องอุ้มเชิงหนานลูกสาวของฉันมาด้วยอยู่แล้ว แล้วเชิงหนานกับคังคังก็จะได้เป็นเพื่อนเล่นด้วยกันไง”
แบบนั้นมันไม่ฟังดูเหมือนว่า หาเงินคนเดียวแต่ทำงานสองคนหรือ จางฉุ้ยเหลียนเลยรู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบขึ้นมาทันที
“ไม่ ไม่ ไม่ ติงเหมย นี่มันเป็นการทำงาน ฉันไม่สามารถให้เธออุ้มลูกของเธอแล้วมาดูแลลูกของฉันที่นี่ได้หรอกนะ ฉันต้องการคนที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจดูแลลูกของฉันแค่คนเดียว และตอนที่ฉันทำงานก็ช่วยแบ่งเบาภาระของฉันได้”
ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะพูดจบ ติงเหมยก็พูดแทรกทันที “ไอ้หยา พี่ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ พวกเราสองคนก็คุยกันแล้ว พี่ก็แค่เขียน ๆ อ่าน ๆ หนังสืออยู่ตรงนั้น คังคังก็โยนให้คนอื่นดูแล พี่ให้คนอื่นมาดูแลเขาแบบนี้ สู้ให้ฉันมาดูแลแทนไม่ดีกว่าหรือ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา สีหน้าบูดบึ้ง “แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ได้จริงจังกับงาน ถึงฉันจะไม่มีอะไรให้ทำ แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิ์จ้างคนมาดูแลลูกของฉันรึไง ? ”
ติงเหมยหน้าแดง พูดจาอ้ำอึ้ง “ฉะ….ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันจะบอกว่า พี่ก็ดูสิว่าฉันไม่มีงานทำ แล้วอีกอย่างที่บ้านก็ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น ฉันเลยคิดจะหางานทำเพิ่มเงินให้ที่บ้านหน่อย ยังไงพี่ก็ช่วยฉันหน่อยเถอะนะ”
จางฉุ้ยเหลียนถอนหายใจออกมา “ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้เธอทำงาน แต่งานนี้มันไม่เหมาะกับเธอจริง ๆ ถ้าพูดเรื่องค่าเดินทาง ไปกลับหนึ่งวันต้องใช้เงิน 2 หยวน หนึ่งเดือนเท่ากับ 60 หยวน ฉันให้เงินเดือนเธอแค่ 90 หยวน เธอจะเหลือเงินเก็บไม่เท่าไหร่เองนะ ! ”
ติงเหมยตกตะลึงขึ้นมาทันที “เดือนหนึ่งได้แค่ 90 หยวนเองหรือ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างตอบรับ “ใช่สิ เดือนแรกได้ 90 หยวน ถ้าทำได้ไม่เลว เดือนที่สองก็จะได้เพิ่มเป็น 120 หยวน ฉันยังให้สวัสดิการอาหารกลางวันด้วย งานก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น เธอก็รู้ดีว่าคังคังดูแลง่าย ขอแค่มีคนอยู่ข้าง ๆ เขาก็พอแล้ว”
เดิมทีติงเหมยก็คิดเอาไว้ง่ายมากว่า หล่อนก็มีลูกแล้ว เพราะอย่างนั้นหล่อนก็ไม่กลัวที่จะได้เลี้ยงเด็กเพิ่มอีกคน ส่วนเรื่องอาหารก็ไม่ได้ลำบากอะไร แต่หล่อนกลับคิดไม่ถึงเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนจะให้เงินเดือนน้อยขนาดนี้และยังต้องเสียค่าเดินทางมากขนาดนั้นอีก ไม่ว่าจะคำนวณยังไงมันก็ไม่คุ้ม หล่อนเลยได้แต่ยกเลิกความคิดนี้ไป
จางฉุ้ยเหลียนเล่าเรื่องนี้ให้กู้จื้อเฉิงฟัง เธอพูดเหมือนว่ามันเป็นแค่เรื่องตลก “พี่คิดดูสิว่า การที่คนเราเป็นแม่คนแล้ว เราก็ต้องมีความคิดต่างออกไป ทุกคนล้วนแล้วแต่คิดที่จะหาเงินเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัวกันทั้งนั้น น่าเสียดายที่หล่อนไม่ได้อยู่ในเมืองสุ่ยหยวน ไม่งั้นฉันก็คงจะจ้างหล่อนไปแล้ว”
กู้จื้อเฉิงหัวเราะออกมาเบา ๆ “ถึงหล่อนจะอยู่ในเมืองสุ่ยหยวน เธอก็จะหาเหตุผลอื่นมาปฏิเสธหล่อนได้อยู่ดี ดูจากคำพูดของหล่อนแล้ว เหมือนการที่เธอไม่อยากจะจ้างหล่อน มันก็ดูจะเป็นเรื่องที่ผิดมากอย่างไรอย่างนั้น พวกเราเปิดร้านขายของ ไม่ได้เปิดบ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าสักหน่อย”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นเธอก็เอื้อมมือไปโอบไหล่ของกู้จื้อเฉิง แล้วแกล้งพูดหยอกล้อเขาออกไปว่า “คิดไม่ถึงเลยนะว่า ผ่านไปแค่ไม่กี่วันพี่ก็เปลี่ยนไปเป็นเถ้าแก่เงินถังกับเขาแล้วอย่างนั้นหรือ ? นี่มันไม่ถูกต้องเลยนะเนี่ย ! ”
สีหน้ากู้จื้อเฉิงเปลี่ยนไปทันที เขาผลักแขนของจางฉุ้ยเหลียนออก “พูดอะไรน่ะ ? ใครเป็นเถ้าแก่เงินถังกัน ! ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เขาก็โมโหขึ้นมา เธอเลยทำตัวไม่ถูก รีบอธิบายทันที “ฉันก็แค่หยอกเล่นเอง ฉันพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ ? ฉันขอโทษนะ”
กู้จื้อเฉิงส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่หรอก ฉันไม่ได้โกรธ ฉันก็แค่คิดว่าการที่เราทำธุรกิจมันก็ต้องมีขีดจำกัดเหมือนกัน จะยอมให้ความรู้สึกหรือศักดิ์ศรีมาทำให้ตัวเองลำบากไม่ได้ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้พอเพื่อน ๆ เจอหน้าฉัน พวกเขาก็มักจะถามว่าฉันช่วยลดราคาให้พวกเขาหน่อยได้ไหม อยากให้พวกเราขายของในราคาทุนให้พวกเขา แล้วพวกเขายังบอกอีกว่าพวกเขาก็ไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น แต่เธอลองคิดดูสิว่าสินค้าที่พวกเราเอาขาย ราคาของมันก็แพงมากอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างเราก็หมดเงินกับร้านนี้ไปตั้งเท่าไหร่ ? เงินเก็บของพวกเราตอนนี้มันก็ไม่มีเหลือแล้ว แต่จะมีใครที่ไหนเชื่อเราบ้างล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนดูออกว่ากู้จื้อเฉิงโมโหเพราะเรื่องนี้ โชคดีที่เธอเคยเจอกับประสบการณ์พวกนี้มาก่อนแล้ว เธอเลยยิ้มปลอบใจเขา “ตอนที่ฉันเพิ่งจะเปิดร้านใหม่ ๆ ญาติของพวกเราหลายคนก็รีบเข้ามาดูเหมือนกัน แต่พี่ยังบอกกับพวกเขาได้ว่าจะขายราคาทุนให้พวกเขา แต่ญาติของพวกเรากลับบอกว่าจะผ่อนจ่าย แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่ยอม ตอนนี้ฉันก็เป็นที่โด่งดังในบ้านญาติของพี่แล้วนะ พวกเขาบอกว่าฉันปากร้ายไม่ยอมพูดด้วยเหตุผล วางมาดใส่คนอื่น และมีคำพูดอะไรไม่น่าฟังฉันก็พูดออกไปหมด”
ทั้งสองคนเข้าใจเรื่องนี้ดี หากพวกเขาจะเป็นคนดีแล้ว พวกเขาก็ต้องเป็นคนดีไปตลอด ดังนั้นพวกเขาเลยตัดสินใจว่าจะไม่เป็นคนดี ไม่อย่างนั้นในอนาคตจะลำบากได้
ในตอนแรกทุกคนต่างก็ไม่ได้มีสติกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก มันเป็นเรื่องที่ทุกคนก็คาดไม่ถึงจริง ๆ และยังทำให้พวกเขาหัวเราะจนท้องแข็งอีกด้วย
มีร้านค้าเล็ก ๆ แห่งหนึ่งอยู่นอกค่าย มันเป็นร้านค้าขนาดเล็กที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดและมีของแทบจะครบทุกอย่าง พวกเขาจัดโปรโมชั่นขายน้ำมันถั่วเหลือง บอกว่ามีการพิมพ์ตราสัญลักษณ์รางวัลไว้ใต้ฝาขวด รางวัลที่สามคือน้ำมันถั่วเหลือง 1 ขวด รางวัลที่สองคือน้ำมันถั่วเหลือง 1 แกลลอน และรางวัลที่หนึ่งคือน้ำมันถั่วเหลืองแบบแกลลอน 6 ขวดหรือเท่ากับ 1 ลัง และยังมีของรางวัลพิเศษนั่นก็คือ โทรทัศน์จอขาวดำมูลค่า 700 หยวนอีกด้วย
ผู้คนจำนวนมากต่างก็ไม่ไปซื้อน้ำมันถั่วเหลืองที่หน่วยบริการอีกต่อไป เพราะเคยมีคนถูกรางวัลที่สามแล้ว ผ่านไปสองเดือนกว่า ๆ แล้ว แม้จะมีแค่คนถูกรางวัลที่สาม แต่ก็ยังหยุดความกระตือรือร้นในการซื้อน้ำมันถั่วเหลืองของผู้คนไม่ได้
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่านี่เป็นการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง มีผู้ถูกรางวัลมีจำนวนน้อย แต่มันกลับเพิ่มยอดขายให้กับร้านได้เป็นจำนวนมาก
แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่าบ้านฝั่งตะวันออกจะมีคนถูกรางวัล ทำให้เป็นข่าวฮือฮาขึ้นมาทันที ใครหลายคนต่างก็รอดูว่าหล่อนจะได้โทรทัศน์จอขาวดำมาจริงไหม
และคน ๆ นั้นก็คือคนที่เคยมายืมหนังสือเด็กจากจางฉุ้ยเหลียนไปและเอาหนังสือของเธอไปให้คนอื่นยืมต่อ บ้านของหล่อนมีโทรทัศน์อยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยไม่อยากได้โทรทัศน์จอขาวดำอีก หล่อนจึงบอกว่าในเมื่อมันมีราคา 700 หยวน งั้นร้านค้าก็เอาเงินมาให้หล่อนก็พอแล้ว ส่วนโทรทัศน์หล่อนไม่ต้องการ
เถ้าแก่เจ้าของร้านขายของหมดคำพูดในทันที บอกว่าทางร้านคงทำตามที่ลูกค้าท่านนี้ต้องการไม่ได้ และเดิมทีมันก็มีค่าภาษี ต้องให้ลูกค้าเสียค่าภาษีแล้วถึงจะเอาโทรทัศน์ไปได้ แต่พอเห็นผู้หญิงคนนี้ทำท่าทางวางอำนาจ พนักงานร้านขายของก็บอกว่า ให้หล่อนจ่ายเงินภาษีแค่ร้อยกว่าหยวนไม่ได้เลยหรือ จากนั้นก็เอาโทรทัศน์กลับบ้านไปก็สิ้นเรื่องแล้ว !
ผู้หญิงคนนั้นยังคงไม่ยอมเหมือนเดิม บอกว่าถ้าไม่ให้เงินก็ถือว่าเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค จากนั้นหล่อนก็เอะอะโวยวายจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต เถ้าแก่เจ้าของร้านค้าเล็ก ๆ แห่งนี้ก็ร้ายกาจมาก เขามาหาผู้นำกองทัพทันทีและได้เล่าเหตุการณ์ให้ผู้นำฟังอย่างละเอียด บอกว่าครอบครัวของนายทหารคนหนึ่งทำไมถึงได้ไม่มีจิตสำนึกแบบนี้ แถมยังบอกว่าถ้าผู้นำคิดว่าพวกเรารังแกหล่อนจริง ๆ งั้นเขาก็จะควักเงิน 700 หยวนจ่ายให้หล่อน แต่เดิมทีก็ไม่มีใครเขาทำแบบนี้กันอยู่แล้ว เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าเขากำลังถูกผู้หญิงคนนั้นข่มขู่ แถมเขายังถามผู้นำอีกว่าผู้นำหักเงินเบี้ยเลี้ยงทหารอย่างนั้นหรือ ถึงทำให้ครอบครัวทหารต้องอดอยากจนไร้ยางอายเช่นนี้ !
การแทรกแซงของท่านผู้นำก็ยังไม่สามารถหยุดครอบครัวนั้นได้ หล่อนบอกว่าเถ้าแก่เจ้าของร้านเป็นพวก 18 มงกุฎ และหล่อนก็ยังต้องการที่จะเปิดโปงเรื่องราวต่าง ๆ นานาให้ได้ จนสุดท้ายท่านผู้นำก็หมดคำพูด จากนั้นผู้นำก็พูดออกไปว่า นี่เป็นสิ่งที่ร้านค้าของเขากำหนดไว้หล่อนแค่ทำตามก็พอแล้ว การที่หล่อนไปรังแกพ่อค้าคนหนึ่งแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา เถ้าแก่เจ้าของร้านเขาก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี
ข้าง ๆ ก็มีคนคอยแนะนำด้วยเช่นกัน บอกว่านี่เป็นโทรทัศน์ที่เขาซื้อเตรียมเอาไว้แล้ว ฝ่ายการเงินของเขาก็ทุ่มเงินลงทุนไปแล้ว จะทำให้เรื่องมันยุ่งยากเพราะหล่อนแค่คนเดียวได้ยังไง
ต่อมาก็มีคนออกมาแสดงความคิดเห็น บอกว่าหล่อนก็ได้มาฟรี ๆ แค่หล่อนเอาไปขายต่อก็ได้แล้วนี่ หรือไม่ก็เอาไปให้บ้านแม่ใช้ แบบนั้นมันก็เป็นหน้าเป็นตาจะตายไป
สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็ทนฟังคำแนะนำของทุกคนไม่ไหว แบกโทรทัศน์เครื่องนั้นกลับมาที่บ้านด้วยความไม่พอใจ พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหล่อนยังรู้สึกโมโหอยู่เลย ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าร้านค้าเล็ก ๆ แห่งนั้นรังแกผู้บริโภค น้ำมันถั่วเหลืองนั่นก็เป็นแค่วิธีการหลอกลวง
พอได้ยินเรื่องนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็คิดว่าเรื่องของครอบครัวที่เคยมายืมหนังสือเด็กจากเธอไปก็เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ มีบางสิ่งบางอย่างแม้จะคิดทั้งชีวิตก็ยังคิดไม่ตก ดังนั้นมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปคุยกับหล่อนด้วยเหตุผลดี ๆ
แต่มันก็ได้ให้บทเรียนกับจางฉุ้ยเหลียนและสามี การทำธุรกิจก็คือการทำงานที่ไม่ควรยึดถือความรู้สึก
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เมื่อเพื่อนของกู้จื้อเฉิงมาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ร้าน พวกเขาก็ยังลดราคาให้อีกฝ่ายนิดหน่อย และแน่นอนว่ามันต้องถูกกว่าร้านอื่นในเมืองสุ่ยหยวนอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าตัวเองจะบอกว่าไม่ได้กำไรก็คงไม่มีใครเชื่อ
การค้าของจางฉุ้ยเหลียนถึงแม้ว่ามันจะไม่ดีแต่มันก็ไม่ได้เลวร้าย เนื่องจากเงินเดือนเฉลี่ยของคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้รับเงินเดือนแค่ 150 – 160 หยวนเพียงเท่านั้น ดังนั้นคนฝั่งนี้เลยอยากแต่งงานกับนายทหาร เพราะพวกเขามีเงินเดือนสูงกว่าคนอื่น ๆ และมีชีวิตที่มั่นคง
ไม่เหมือนกับเงินเดือนของผู้คนในเมือง Q ที่อยู่ที่ 200 – 300 หยวน หากดีกว่าหน่อยก็ประมาณ 300 – 400 หยวน การจะซื้อโทรทัศน์หรือตู้เย็นราคาสามพันสี่พัน แค่เก็บเงินครึ่งปีหรือปีหนึ่งก็ซื้อได้แล้ว แต่คนที่นี่ทำไม่ได้ ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญค่าแรงก็ยิ่งต่ำลง อีกทั้งมันก็ไม่ได้อุดมสมบูรณ์เหมือนอย่างเมือง Q
มีคนมาดูมากกว่าคนซื้อ จางฉุ้ยเหลียนลองคำนวณแล้วหากภายในหนึ่งเดือนมีคนมาซื้อไปแค่ 2 เครื่อง เธอก็จะขาดทุน แต่เธอสามารถเปลี่ยนเงินเดือนเป็นค่าเช่าได้ สำหรับค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าผลไม้จะไม่อยู่ในแผนอีก ส่วนค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของครอบครัว ยังไม่รวมกับค่าดำเนินงาน
โชคดีที่ช่องทางการซื้อสินค้าของจางฉุ้ยเหลียนเป็นช่องทางปกติมันเลยถูกกว่าหน่อย ของที่รับมาจากฟู่ซินล้วนเป็นราคาจากตัวแทนจำหน่ายทั้งนั้น ผ่านไปไม่นานเธอก็สามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าของสุ่ยหยวนได้ จากนั้นเธอก็คิดได้ว่าตัวเองไม่มีเวลาจดจ่ออยู่กับการเขียนนิยายเลย
และตอนที่เซ็นสัญญา ก็มีข้อที่ระบุเอาไว้ว่าต้องชำระค่าเสียหายด้วย จางฉุ้ยเหลียนเลยตัดสินใจจ้างพนักงานขายที่พูดเก่งคนหนึ่ง เงินเดือนก็เชื่อมกับโบนัส ขอแค่หล่อนขายได้สักเครื่อง ตัวเองก็จะให้โบนัสหล่อนเพิ่ม
เมื่อมีแรงกระตุ้นจากโบนัส พนักงานใหม่ก็อธิบายให้ลูกค้าฟังสุดความสามารถ หล่อนเป็นคนพูดเก่ง หล่อนไม่ได้พูดจากนิสัยของตัวเอง แต่พูดจากความต้องการของอีกฝ่าย
เครื่องใช้ไฟฟ้าพวกนี้ไม่ใช่ของที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน การที่คนหนุ่มสาวมาซื้อก็เพื่อสร้างหน้าตาให้กับตัวเองเท่านั้น หากไม่ใช่เป็นเพราะย้ายบ้านก็เป็นเพราะแต่งงาน ปกติคนแก่จะซื้อโทรทัศน์เพราะต้องการเปลี่ยนจากจอภาพขาวดำเป็นภาพสี คนวัยกลางคนย่อมมีเงินอยู่ในมือ เพราะอย่างนั้นพวกเขาเลยชอบซื้อของพวกนี้ไป เพราะอยากจะเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ตู้เย็นที่ดีที่สุดในร้านของจางฉุ้ยเหลียนโดนคนที่คุ้นเคยซื้อไป และคน ๆ นั้นก็คือฟ่านจินเฟิ่งเพื่อนบ้านของเธอนั่นเอง ตู้เย็นที่แพงที่สุดมีราคาอยู่ที่ 7,000 หยวน มันมีสีขาวและสูงประมาณ 1.8 เมตร และยังดูดีกว่าตู้เย็นขนาด 16 คิวที่บ้านของจางฉุ้ยเหลียนใช้อยู่
เมื่อรถบรรทุกขนของกลับมา ผู้หญิงที่อาศัยอยู่ที่บ้านทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกต่างก็พากันอิจฉาตาร้อนกันเป็นแถวทันที โดยเฉพาะคนที่ได้ยินเรื่องราคา พวกหล่อนก็ฉุนขาดกันทั้งนั้น
ป้าหยูจับมือของติงเหมยแล้วบุ้ยปาก “กินอยู่สุขสบาย ใส่เสื้อผ้าดูดีหน่อย ท่าทางมีเงิน แต่คิดจะซื้ออะไรก็ซื้ออย่างนั้นหรือ วันนี้ไม่คิดแล้ววันหน้าจะใช้ชีวิตยังไง สุรุ่ยสุร่ายจริง ๆ !”
MANGA DISCUSSION