ตอนที่ 197 ทำหน้าที่ของตัวเอง
การหาเงินก็เหมือนกับเป็นสารเสพติดอย่างหนึ่ง ไม่มีใครอยากหยุดหลังจากได้เงินมาก้อนโต แต่มันก็กลายเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง และการที่ได้เริ่มจากศูนย์ก็เป็นอะไรที่ตอบโจทย์ผู้คนมากที่สุด
จางฉุ้ยเหลียนยื่นมือออกไปรับสมุดบัญชีเงินฝากมาด้วยรอยยิ้ม ด้านในมีเงินอยู่ทั้งหมด 10,000 หยวน ในยุคสมัยนี้เงิน 10,000 หยวนก็ไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลย การที่จะนำเงินก้อนนี้ไปใช้ทำธุรกิจก็ถือว่าเป็นเงินที่เหลือเฟือแล้ว
อยากทำธุรกิจก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลังยุค 80 เป็นต้นไป เด็ก ๆ ที่เริ่มเติบโตกันแล้ว พ่อแม่ของพวกเขาก็มักจะทำงานอย่างยากลำบากตลอดชีวิต บวกกับแผนครอบครัวชุดแรกของรัฐ ทำให้พวกเขาเห็นว่าการศึกษาและการอบรมสั่งสอนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับลูก ๆ ดังนั้นสถาบันกวดวิชาต่าง ๆ จึงผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด
จางฉุ้ยเหลียนนำเงินที่ได้จากอันหลงและตงลี่หวามารวมกันเป็นเงินทั้งหมด 50,000 หยวน แล้วจากนั้นเธอก็ออกไปเดินรอบ ๆ โรงเรียนประถมชื่อดังสองสามแห่ง และโรงเรียนประถมที่จะมีชื่อเสียงในอนาคต
ทุก ๆ เที่ยงเธอจะคอยเฝ้ามองสังเกตดูเด็กนักเรียนที่แขวนกุญแจไว้ตรงคอกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ในเวลานี้เด็กส่วนใหญ่ก็มักจะเดินกลับบ้าน ข้างทางมีร้านค้าเล็ก ๆ อยู่ไม่มาก แต่กลับขายดีเป็นอย่างมาก ร้านขายของชำแถว ๆ โรงเรียนก็มีอยู่ไม่น้อย เด็ก ๆ ต่างก็มีเงินค่าขนมอยู่ในมือ พวกเขาอยากซื้อขนมอะไรก็ซื้อได้
ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะลำบากมากขนาดไหน แต่ก็จะทำให้เด็ก ๆ ลำบากไปด้วยไม่ได้ ถึงจะจนขนาดไหนก็ด้อยการศึกษาไม่ได้ นี่คือสโลแกนของคนรุ่นหลังยุค 80 ความรับผิดชอบเองก็ได้รับการส่งเสริมในยุคสมัยนั้นเช่นกัน จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าการหาเงินจากเด็กนักเรียนเป็นสิ่งที่ทำเงินได้ดีที่สุด และยังทำได้ยาวนานอีกด้วย
เธอเลือกโรงเรียน 2 แห่ง แห่งแรกคือโรงเรียนประถมซิ่งอันที่มีชื่อเสียงในตัวเมือง แห่งที่สองคือโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ติดกับวิทยาลัยครู โรงเรียนทั้งสองแห่งนี้เป็นโรงเรียนที่โด่งดังทั้งคู่ เมื่อผ่านไปถึงปี 2010 เธอได้ยินว่าต้องจับฉลากเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าโรงเรียนพวกนี้ได้
จางฉุ้ยเหลียนเดินรอบโรงเรียนประถมซิ่งอันรอบหนึ่ง จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปถามคนแถวนั้นว่า แถวนี้มีบ้านหลังเล็ก ๆ บ้างไหม หรือแถวนี้มีบ้านอยู่เยอะมากรึเปล่า หากเธอคิดจะซื้อราคาของมันก็ไม่แพงมากนัด แต่ประเด็นหลักก็คือมันไม่ได้อยู่ติดกลับถนนใหญ่
ไม่ติดถนนก็ไม่เป็นไร เพราะสถานที่เรียนพิเศษก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ติดกลับถนนใหญ่ จางฉุ้ยเหลียนซื้อบ้านสองหลังในราคา 25,000 หยวน ถึงแม้ว่าตรงกลางจะขั้นกลางด้วยถนนเส้นเล็ก ๆ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ หลังจากโอนบ้านเสร็จ จางฉุ้ยเหลียนก็จ้างคนมาเก็บกวาดบ้านอย่างง่าย ๆ เธอไม่รู้ว่าที่นี่จะถูกรื้อถอนเมื่อไหร่ การควักเงินก้อนใหญ่ออกมารีโนเวทใหม่จึงเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น
จางฉุ้ยเหลียนเชื่อมบ้านทั้งสองหลังเข้าด้วยกัน บ้านหลังหนึ่งแบ่งเป็นห้องได้ทั้งหมด 3 ห้อง สามารถรองรับนักเรียนได้หลายสิบคน และยังมีห้องใหญ่ที่สามารถจุคนได้ 20 กว่าคน ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสอนนักเรียนในห้องเรียนทั้งสามห้องได้ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน 7 – 8 คน หรือ 10 คนก็ไม่มีปัญหา
จางฉุ้ยเหลียนยังปรับเปลี่ยนบ้านอีกหลังด้วยเช่นกัน เธอทำเป็นร้านขายไอศกรีม ขนม อาหาร และเครื่องดื่มต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีพวกสมุดปากกาดินสออีกด้วย หลังจากที่จัดการบ้านเสร็จแล้ว เธอก็ไปทำใบปลิวเอาไว้ ที่เหลือก็แค่รอให้ถึงเดือนกันยายน รอให้เปิดภาคเรียนแล้วเธอก็จะเอาใบปลิวออกไปแจก
ตงลี่หวาคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง เพราะหล่อนไม่ใช่ครูและหล่อนก็สอนเด็กพวกนั้นไม่ได้ด้วย แต่จางฉุ้ยเหลียนคิดว่านี่คือตลาดขนาดใหญ่ ถึงตอนนี้จะไม่มีครูมาช่วยสอน แต่เธอก็ไปจ้างครูสองสามคนมาสอนพิเศษได้
เพื่อค้นหาว่าครูโรงเรียนไหนสอนคณิตได้ดี หรือครูสอนภาษาที่ไหนเขียนบทความได้ดี มันก็เป็นเรื่องที่เธอคุ้นเคยดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ?
เพื่อนร่วมชั้นของเธอก็เป็นครูกันหมด การที่จะตามหาเพื่อนที่ทำงานอยู่ในเมืองสักสองสามคนมาช่วยสอนพิเศษ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ดังนั้นแผนที่จะกลับบ้านที่สุ่ยหยวนในเดือนสิงหาคม จึงถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ทางฝั่งของกู้จื้อเฉิง เขาก็มีความรู้สึกบางอย่างแต่เขาก็รู้ว่าภรรยาของเขากำลังทำงานอยู่ เขาอยากจะบอกเธอมากว่า ตอนนี้คิดถึงลูกคิดถึงภรรยาจะแย่แล้ว แต่เขาก็คิดว่ามันงี่เง่าเกินไป เลยได้แต่อารมณ์เสียอยู่คนเดียว
ทางฝั่งของอันหลงก็ไม่ได้ว่าง หล่อนเองก็คิดที่จะทำธุรกิจกับนักเรียนเช่นกัน จางฉุ้ยเหลียนเช่าร้านแห่งหนึ่งที่หน้าโรงเรียนมัธยมต้นไว้ให้หล่อน ราคาค่าเช่าของมันก็ไม่ได้ถูกมากนัก แต่เธอก็ยอมจ่ายค่าเช่าเป็นเวลา 1 ปีและเซ็นสัญญาระยะยาวอีก 3 ปี
เดิมทีร้านนั้นเคยเป็นร้านอาหารมาก่อน เพราะรอบ ๆ มีโรงเรียนมัธยม 3 แห่ง โรงเรียนเทคนิค 1 แห่ง โรงพยาบาล 1 แห่ง และยังมีโรงเรียนประถมศึกษาที่เป็นที่นิยมอีก 1 แห่ง แต่เป็นเพราะการทำธุรกิจกับนักเรียนมีเวลาที่จำกัด ใน 1 ปีต้องหยุดพักถึง 4 เดือน ถึงแม้ว่าจะขายของได้แต่พอถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็จะไม่มีคน และก็สามารถขายของได้แค่ช่วงพักเที่ยงเท่านั้น ร้านเล็ก ๆ ยังพออยู่รอด แต่ร้านอาหารใหญ่ ๆ ไม่มีทางอยู่ได้แน่นอน
จางฉุ้ยเหลียนรับช่วงต่อจากเถ้าแก่ร้านอาหาร เธอรู้สึกดีใจสุด ๆ เพราะโต๊ะในร้านอาหารของเถ้าแก่เป็นโต๊ะยาว และยังมีเก้าอี้ที่มีพนักพิงอีกด้วย
จนถึงตอนนี้ทางด้านห้องเรียนกวดวิชาของตงลี่หวาก็ยังหาซื้อโต๊ะและเก้าอี้มือสองไม่ได้ เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนเลยจ้างคนมาทาสีโต๊ะและเก้าอี้ที่ได้จากร้านอาหารพวกนี้ใหม่ทั้งหมดแล้วย้ายพวกมันไปที่ห้องเรียน ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็ดูเข้าทาง บวกกับตัวอักษรให้กำลังใจที่เพิ่งซื้อมาติดไว้บนผนังสีดำ ก็ทำให้มันดูเหมือนโรงเรียนเอกชนขึ้นมาทันที
จางฉุ้ยเหลียนคิดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า อันหลงเป็นคนที่ฉลาดและพูดเก่งกว่าตงลี่หวา เพราะฉะนั้นการที่ให้หล่อนเปิดร้านหนังสือก็จะดูเหมาะสมกว่า และหากหนังสือได้รับความเสียหายหรือขายไม่ออก พวกมันก็จะถูกส่งกลับไปที่สำนักพิมพ์เพื่อนำกลับไปรีไซเคิลใหม่อีกครั้ง
หนังสือเล่มไหนที่ขายดีก็จะมีคนมาจองไว้ล่วงหน้า และเมื่อถึงวันที่กำหนดทางสำนักพิมพ์ก็จะนำมันมาส่ง ทำให้พวกหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยขายดีเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าในยุคสมัยนี้จะยังมีหนังสือเตรียมสอบไม่มาก แต่หนังสือแบบฝึกหัดต่าง ๆ ก็โผล่ออกมาอย่างไม่ขาดสาย
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องมีหนังสือนอกหลักสูตรเยอะ ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นหนังสือสี่ยอดวรรณกรรมของจีน นักเรียนทุกคนต่างก็ต้องอ่าน และเธอยังจะขายพวกนิตยสารชิงชุนที่พวกเด็กสาวชอบอ่านมาก ๆ อีกด้วย ในยุคสมัยนี้หนังสือที่ทำจากกระดาษยังสามารถทำกำไรได้มากมาย ก่อนที่จะมีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เข้ามา
จางฉุ้ยเหลียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ร้านหนังสือต้องการแค่ชั้นวางหนังสือและโต๊ะเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เธอปรึกษากับอันหลง พวกเธอจะติดป้ายส่วนลด 20 เปอร์เซ็นต์ ที่หลังปกหนังสือ
ส่วนคุณครูที่มาซื้อหนังสือที่ร้านของพวกเธอก็ลดให้ 30 เปอร์เซ็นต์ หนังสือขายปลีกหนึ่งเล่มมีราคา 18 หยวน หากซื้อในราคาส่งจะมีราคาไม่ถึง 6 หยวน และจะขายออกไปในราคาไม่เกิน 15 หยวน ราคานี้ถูกกว่าร้านหนังสือซินฮัวมาก หากผู้ปกครองยอมมาซื้อหนังสือที่ร้านของอันหลง หล่อนก็จะทำเงินได้มากมายมหาศาล
แต่สิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนคิดไม่ถึงเลยก็คือ การเปิดร้านหนังสือต้องใช้เงินทุนเยอะมาก เพียงแค่หนังสือก็ต้องใช้เงินก้อนใหญ่แล้ว แต่เงินหมุนที่ได้กลับมาในวันข้างหน้าก็ไม่น้อยเลยเช่นกัน
หลังจากเลือกหนังสือนอกหลักสูตรจำนวนมากแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ได้ยินมาว่า พ่อค้าขายส่งหนังสือยังส่งแบบฝึกหัดทบทวนบทเรียนมาให้จำนวนมากอีกด้วย ในตอนนี้อันหลง จางฉุ้ยเหลียน และเพื่อนที่เคยฝึกสอนโรงเรียนเดียวกับจางฉุ้ยเหลียนอีกสองสามคน ก็ใช้เวลาถึงสามวันเพื่อช่วยกันแยกประเภทของหนังสือออกมา
พวกเธอจัดการร้านหนังสือเสร็จในเดือนสิงหาคม เหลืออีกเพียงแค่ไม่กี่อึดใจโรงเรียนก็จะเปิดเทอมแล้ว ตอนนี้ในร้านก็เงียบมาก หนังสือที่อยู่บนผนังล้วนเป็นหนังสือนอกหลักสูตรทั้งนั้น หนังสือชื่อดังในประเทศและต่างประเทศถูกแยกออกจากกัน ผลงานประพันธ์ บทกวี วรรณกรรม และนิยายก็ถูกแยกออกเป็นหมวดหมู่
ตงลี่หวามองหนังสือที่อยู่ด้านบนชั้น ส่วนอันหลงก็ถามออกมาด้วยความไม่แน่ใจว่า “เธอคิดว่าหนังสือพวกนี้จะขายออกไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนจำได้อย่างชัดเจนเลยว่า ในชาติที่แล้วคุณครูประจำชั้นของเชี่ยวเชี่ยวได้จัดประชุมผู้ปกครองขึ้น และเขาก็ระบุหนังสือชื่อดังสองสามเล่มที่นักเรียนมัธยมต้นต้องอ่าน ก็มีเรื่อง(ไซอิ๋ว) (วีรบุรุษเขาเหลียงซาน) (บุปผาบานในยามรุ่งอรุณและโดนเด็ดในยามพลบค่ำ) (หนุ่มรถลาก) (ดวงดาวและน้ำฤดูใบไม้ผลิ) (โรบินสัน ครูโซ) (การเดินทางของกัลลิเวอร์) (วัยเด็ก) ของแมกซิม กอร์กี (วีรชนบนเส้นทางปฏิวัติ) ของนีโคไล ออร์ตรอฟสกี และยังมีหนังสือ (ชีวประวัติ) ของโลแมนโลแลน
พ่อแม่บางคนคิดว่ามันเยอะเกินไป เลยบอกให้เพื่อนร่วมชั้นซื้อหนังสือที่ต่างกันออกไปจะได้นำมาแลกกันอ่านได้ แต่จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าควรซื้อหนังสือทั้งหมดนั้นให้เชี่ยวเชี่ยว และในเวลานั้นเธอก็เริ่มอ่านหนังสือพวกนั้นด้วยเหมือนกัน
เมื่อลูกสาวของเธอเข้าเรียนชั้นมัธยม เธอก็ไม่รอให้ครูประจำชั้นต้องบอก เธอซื้อหนังสือ (ความฝันในหอแดง) (สามก๊ก) (ปกิณกคดี) (คนแก่กับทะเล) (แฮมเลต) (พ่อกอริโยต์) (เออเฌนี กร็องเด้ด์) และยังมี (คืนที่ฝนฟ้าคะนอง) (บ้าน) (ตะโกนสู้และละล้าละลัง) เธอก็ซื้อพวกมันกลับมาทุกเล่ม
ในเวลานั้นเธอเสียเงินไปจำนวนมาก ส่วนตัวเชี่ยวเชี่ยวกลับอ่านพวกมันแค่ไม่กี่เล่ม แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับเห็นมันเป็นสมบัติล้ำค่า ตอนนั้นเธอคิดว่าหากสักวันตัวเองมีบ้านหลังใหญ่ เธอจะไม่ซื้อโทรทัศน์ แต่เธอจะตั้งชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ไว้ที่ห้องรับแขกแทน ซึ่งบนนั้นจะเป็นหนังสือที่ตัวเองชอบทั้งหมด
ในช่วงฤดูหนาวแสงแดดสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ตัวเองก็จะนั่งอยู่บนพรมสีขาวบริสุทธิ์ เอนหลังพิงโซฟา ในมือถือหนังสือหนึ่งเล่ม ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำหมึกอ่อน ๆ เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงประมาณ 16.00 น. – 17.00 น. ดวงอาทิตย์ก็จะเอนเอียงทิ้งเงาจาง ๆ ไว้บนชั้นหนังสือ
เธอมักจะฝันถึงมันบ่อย ๆ เหตุการณ์แบบนั้นเป็นชีวิตที่เปี่ยมสุขอย่างแท้จริง !
ตอนนี้ตัวเธอได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว ตัวเธอเองไม่เพียงแต่จะสามารถมีชีวิตแบบนั้นได้แล้วเท่านั้น แต่เธอยังเปิดร้านหนังสืออีกด้วย ถ้าเธออยากอ่านหนังสือเล่มไหน เธอก็แค่หยิบมันมาอ่าน และเธอก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาว่า
จางฉุ้ยเหลียนบอกอันหลงว่า “พอเปิดเทอมแล้วแม่ก็ให้นามบัตรกับครูพวกนั้น และแจกใบปลิวให้กับผู้ปกครอง แล้วเดี๋ยวก็จะมีครูเข้ามาดูหนังสือเองแหละค่ะ แม่ลองคุยกับครูและผู้ปกครอง เดี๋ยวแม่ก็จะรู้เอง แม่สามารถบอกพวกคุณครูได้ว่า ถ้าหากพวกนักเรียนมาซื้อหนังสือที่นี่กันทั้งห้อง แม่ก็สามารถให้ส่วนลดกับเขาได้ ส่วนเงินที่เหลือพวกนั้น ไม่ว่าเขาจะรับคืนหรือเอาไปเป็นค่าใช้จ่ายในชั้นเรียน แม่ก็ไม่ต้องไปสนใจ”
พอได้ยินลูกสะใภ้พูดแบบนั้น อันหลงก็รู้สึกเชื่อมั่นขึ้นมาทันที อย่าว่าแต่จางฉุ้ยเหลียนจะมีเงินอยู่ในมือเลย ดูจากมันสมองของเธอแล้ว ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นคนฉลาดและมีความสามารถ ถึงว่าล่ะว่าทำไมฟู่ซินถึงบอกว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นตัวโชคลาภสำหรับเขา เพราะด้วยมันสมองนี้ จะมีใครที่ไหนไม่ร่ำรวยไปกับเธอบ้างล่ะ
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าแม่สามีกำลังคิดอะไรอยู่ แต่งานด่วนในตอนนี้ก็คือการหาครูมาสอนพิเศษ
เธอลองสอบถามกับยามหน้าประตูว่ามีครูคนไหนในโรงเรียนประถมซิ่งอันที่โด่งดังบ้าง จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ไปหาคุณครูคนนั้นถึงที่ เธอคิดจะจ้างครูมาช่วยสอนพิเศษให้กับนักเรียนในเวลาช่วงวันหยุด เธอเชื่อมั่นว่าหากครูเต็มใจที่จะสอน ถึงอย่างไรเขาก็ต้องยอมมาร่วมงานกับเธอแน่นอน และค่าจ้างอยากจะแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ก็แบ่ง หรืออยากจะได้เป็นเงินเดือน เธอก็จะให้เป็นเงินเดือน
มีครูบางคนไม่ชอบใจ จางฉุ้ยเหลียนเลยแนะนำด้วยเหตุผลที่เหมาะสม เธอเห็นว่ามีนักเรียนบางคนมีผลการเรียนไม่ดีเท่าไหร่นัก ครูชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก็สามารถสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ได้ อีกอย่างในยุคสมัยนี้เงินเดือนของครูก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หากไม่หาเงินเพิ่มข้างนอก แล้ววันใดวันหนึ่งเกิดต้องใช้เงินขึ้นมาล่ะจะทำยังไง ?
ต้องขอบคุณความมุมานะของจางฉุ้ยเหลียนที่ไปคุยกับครูทีละคน ๆ ครูสอนคณิตศาสตร์ก็มีหน้าที่สอนวิชาคณิต ครูสอนภาษาก็มีหน้าที่สอนภาษา ส่วนครูสอนภาษาอังกฤษที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอ หล่อนก็สอนเด็กนักเรียนในระดับชั้นประถมโดยเฉพาะ
มีเรื่องบางเรื่องที่ไม่ใช่ว่าคุณเตรียมพร้อมแล้ว มันจะเรียกว่าถึงขั้นตอนของการตัดสินใจขายแล้ว แต่มันเป็นช่วงเวลาที่คุณผ่านขั้นตอนการคิดคำนวณที่ยากที่สุดมาได้แล้วต่างหาก
ช่วงกลางเดือนกันยายน คลาสเรียนพิเศษของตงลี่หวาก็ได้เริ่มต้นขึ้น ปกติเวลาประมาณ 16.00 น. กว่า ๆ พวกเด็กนักเรียนก็จะเลิกเรียน การที่พวกครูจะใช้โอกาสนี้สอนพิเศษก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และยังมีผู้ปกครองที่ส่งลูกไปเรียนพิเศษพูดว่า “ไม่ได้จะให้ลูกมาเรียนหรอก แต่อยากจะหาที่ให้ลูกอยู่ตอนเย็น แถมที่นี่ก็ปลอดภัยดี ลูกของพวกเขาจะได้ไม่ต้องออกไปทำเรื่องอะไรแย่ ๆ ด้วย”
ส่วนร้านหนังสือของอันหลงก็เริ่มรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ ตอนกลางวันก็มีเด็กออกมาดูหนังสือนอกหลักสูตรกันเป็นจำนวนมาก แม้แต่วันหยุดก็มีนักเรียนถือขนมปังมาอ่านหนังสือที่นี่ด้วย อันหลงเองก็ไม่ได้ว่าอะไรที่พวกเด็ก ๆ ต้องอ่านหนังสือบนพื้นอย่างน่าสงสาร ขอแค่ไม่ทำหนังสือเปื้อนก็พอ หล่อนปล่อยให้เด็กพวกนี้อ่านหนังสือจนพอใจ
ช่วงปลายเดือนกันยายน จางฉุ้ยเหลียนอุ้มลูกขึ้นรถไฟ ทิ้งกิจการที่เธอเพิ่งเปิดใหม่ เพื่อกลับไปยังบ้านที่ตัวเองไม่ได้กลับมานานมากกว่าครึ่งปี
ทางด้านของตงลี่หวาก็ยังปกติดี ช่วงเวลา 15.00 น. ของทุก ๆ วัน หล่อนก็จะเข้าไปทำความสะอาดห้องเรียน หลังจากนั้นก็เปิดร้านขายของเล็ก ๆ ของตัวเอง พอเลิกเรียนก็รอให้เด็กออกไปจนหมดแล้วปิดประตูเดินทางกลับบ้านก็เท่านั้น อย่างมากที่สุดในช่วงวันหยุดก็ต้องอยู่เฝ้าที่สถาบันสอนพิเศษแห่งนี้ 1 วันเต็ม ๆ ถึงแม้รายได้จะไม่มากแต่ก็เป็นรายรับระยะยาว
ส่วนทางด้านของอันหลง หล่อนกลับยุ่งจนหัวหมุน พอไม่มีจางฉุ้ยเหลียนอยู่ด้วยแล้ว หล่อนก็ดูแลร้านหนังสือเองคนเดียวไม่ไหว หล่อนบ่นพึมพำออกไปว่า จางฉุ้ยเหลียนทำเงินได้แต่ก็ไม่ยอมอยู่ช่วยเก็บเงิน แต่ตอนนี้ลูกสะใภ้ของหล่อนก็ไปหาลูกชายของหล่อน เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยทำอะไรไม่ได้ ได้แต่จ้างคนมาช่วยอีก 1 คน ใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์พูนสุขทุกวันจนไม่คิดถึงการที่หล่อนถูกญาติทางฝ่ายแม่ทอดทิ้งอีกต่อไป……
MANGA DISCUSSION