ตอนที่ 192 เข้าใจผิด
ในค่ำคืนนี้ไม่มีใครในตระกูลเฉียนได้นอนหลับฝันดีกันสักคน ส่วนฟู่ซินกับภรรยามือใหม่ผู้ที่มีน้ำตานองหน้าก็นอนแยกเตียงกัน
หล่อนไม่เข้าใจเลยว่า แค่หล่อนจะถามอะไรเขาหน่อยก็ไม่ได้เลยหรือ ตอนนี้หล่อนกับเขาก็แต่งงานกันแล้ว อีกทั้งในท้องของหล่อนก็ยังมีลูกของเขาด้วย จะมีใครที่ได้ใกล้ชิดกับเขาไปมากกว่าหล่อนอีกล่ะ พวกเขาทั้งสองไม่ควรมีความลับต่อกันสิถึงจะถูก
ฟู่ซินที่อยู่ในห้องนั่งเล่นก็นอนไม่หลับเช่นกัน เขาคิดไม่ตกเลยว่าในหัวของภรรยาของเขาคนนี้ยังมีสมองหลงเหลืออยู่รึเปล่า หล่อนไม่มีสมองขนาดนั้นเลยหรือ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรหล่อนก็เชื่อเขาไปซะหมด
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้เลยว่าหลี่เหยากับบ้านสามีของหล่อนก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา และเธอก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าในวันข้างหน้าเธอยังจะต้องมามีเรื่องกับครอบครัวนี้ด้วย
การมาเมือง Q ในครั้งนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้มาเพื่อร่วมงานแต่งงานของฟู่ซินอย่างเดียวเท่านั้น เธอมีแผนเป็นของตัวเอง ตอนนี้เธอมีเงินหลักแสนอยู่ในมือ เธอจะเอาแต่ฝากมันไว้ในธนาคารและคอยมองดูดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเฉย ๆ มันก็ไม่ได้
ฟู่ซินดูร้านค้าต่าง ๆ ในเมืองไว้เรียบร้อยแล้ว และครั้งนี้ที่จางฉุ้ยเหลียนมาที่นี่ ก็เพื่อที่จะมาร่วมหุ้นเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้ากับเขา ในความคิดของฟู่ซินเขาคิดว่าทางที่ดีที่สุดก็คือ ขายของแค่สองสามอย่างก็พอ ดูว่าอันไหนน่าจะขายได้ดีที่สุดก็ซื้ออันนั้นมาขาย
แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับไม่คิดแบบนั้น เธอคิดจะใช้เรื่องคุณภาพของสินค้ามาคุยกับเขา เธอรู้ดีว่าท้ายที่สุดแล้วเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศจีนจะเหลือยี่ห้อไหนบ้าง และมันก็เป็นของที่ผ่านคัดสรรจากผู้คนมานานหลายปีแล้ว
สุดท้ายทั้งสองคนก็เลือกที่จะเช่า 2 ร้าน คนหนึ่งเช่าร้านชั้นแรกร่วมกับบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนอีกคนก็เช่าโซนขายของบนห้างสรรพสินค้า และก็โชคดีที่ค่าเช่าร้านทั้งสองแห่งนี้ไม่แพงจนเกินไป ถึงขนาดทำให้ทั้งสองคนรับไม่ไหว เพราะอย่างนั้นทั้งสองคนเลยพอรับได้
“ฉันว่าเราทำเป็นตัวแทนจำหน่ายดีกว่านะ และเราก็รับเป็นตัวแทนจำหน่ายทั่วไป ลูกค้าจะได้มาซื้อของจากพวกเรา อีกทั้งถ้าของที่ซื้อไปพังหรือว่าเสียหาย พวกเขาก็เอากลับมาซ่อมที่ร้านของเราได้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ได้กำไรอะไร” คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนทำให้ฟู่ซินรู้สึกเคารพในตัวของเธอเป็นอย่างมาก ในใจของเขามีความรู้สึกบางอย่างแต่ก็พูดออกไปไม่ได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จู่ ๆ เขาก็ถอนหายใจออกมา “ฉุ้ยเหลียน เธอบอกฉันหน่อยสิว่า ทำไมเธอถึงต้องรีบแต่งงานมีลูกอย่างนี้ ถ้าเธอแต่งงานช้ากว่านี้อีกหน่อย ผ่านไปไม่ถึง 3 ปี เธอก็คงจะได้เป็นคุณนายที่ร่ำรวยเงินทองไปแล้ว ! ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปด้วยรอยยิ้ม “ฉันแต่งงานแล้วก็เป็นคุณนายที่ร่ำรวยเงินทองได้เหมือนกันนั่นแหละ”
ฟู่ซินอยากจะพูดออกไปมากว่า ที่ฉันพูดมันอีกความหมายหนึ่ง แต่เขาก็คิดขึ้นได้ว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เห็นเงินเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญสำหรับเธอก็คือครอบครัว สำหรับเธอแล้ว ผู้ชายคนนั้นก็สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น
“ฉันล่ะสงสัยจริง ๆ วัน ๆ เธอก็เอาแต่ดูแลลูกอยู่ที่บ้าน แต่ทำไมเธอถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้ล่ะ แม้แต่เรื่องตัวแทนจำหน่ายเธอก็ยังเข้าใจ เธอช่วยบอกฉันหน่อยว่าเธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง ? ” ฟู่ซินคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นขงเบ้งในร่างผู้หญิง เธอเอาแต่นั่งอยู่ในบ้านของตังเองแท้ ๆ แต่กลับควบคุมเรื่องทุกอย่างบนโลกนี้ได้
“ฉันก็อ่านหนังสือหรือไม่ก็อ่านหนังสือพิมพ์ไง ทุกวันนี้ก็มีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ถ้านายไม่รู้ข่าวสารแล้วนายจะใช้ชีวิตได้ยังไงล่ะ ประเทศนี้เผยแพร่อะไร พวกเขามีนโยบายแบบไหน และมันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรแล้วบ้าง นายจะไม่รู้ได้ยังไง ? และถ้านายไม่ดูข่าว นายจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าตลาดหุ้นในเซี่ยงไฮ้มันเป็นยังไงบ้าง ? ” จางฉุ้ยเหลียนพูดติดตลก ทำให้ฟู่ซินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก จางฉุ้ยเหลียนก็ตัดสินใจพูดไม้ตายของตัวเองออกไป “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การอ่านหนังสือ เราต้องอ่านพวกหนังสือเศรษฐศาสตร์ นายลองคิดดูสิว่าข้าวของเครื่องใช้ที่ติงหลงหลงเพื่อนของฉันส่งมาให้จากต่างประเทศ ของใช้พวกนั้นมันก้าวหน้ากว่าของใช้ในประเทศของเราตั้งหลายปี การพัฒนาของประเทศก็เหมือนกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเราในตอนนี้ มันก็เคยเกิดขึ้นกับประเทศในแถบยุโรปหรืออเมริกามาแล้วไม่ใช่หรือ”
พัฒนาก่อนแล้วค่อยดูแล นโยบายเช่นนี้ไม่ใช่ของประเทศจีน เพราะประเทศอื่นที่พัฒนาไปไกลแล้ว พวกเขาก็ใช้นโยบายนี้เช่นเดียวกัน แต่ด้วยความที่ประเทศจีนพัฒนาเร็วเกินไปจึงทำให้เกิดมลพิษ ในขณะที่ประเทศอื่นกำลังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม หึ ! ตอนที่พวกคุณสร้างมลพิษ พวกเราก็แค่ไม่เข้าใจเท่านั้น ปกติกาบนโลกก็เป็นสีดำ ไม่ว่าใครก็ไม่ควรประจบว่าร้ายคนอื่นทั้งนั้น !
(ปกติกาบนโลกก็เป็นสีดำ เปรียบเทียบว่าไม่ว่าผู้หาผลประโยชน์และผู้กดขี่จะอยู่ที่ไหน พวกเขาก็เลวร้ายพอ ๆ กัน)
จนถึงตอนนี้ฟู่ซินถึงยอมพยักหน้าอย่างเข้าใจ และเขาก็คิดว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นคนที่ฉลาดมากจริง ๆ การที่เขาให้เธอมาเป็นหุ้นส่วนด้วยมันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีซะยิ่งกว่าดีอีก
“ฉันลืมถามนายไปเลยว่า นายไปอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้นานขนาดนั้น นายอธิบายให้คนที่บ้านฟังยังไงหรือ ? ” โดยเฉพาะเรื่องที่เขาปล่อยให้โรงงานเหมืองทรายร้างไปหลายเดือน เพราะนั่นมันก็เป็นสิ่งที่เขาต้องกู้เงินมาลงทุน
“ฉันให้พี่ชายของฉันช่วยดูให้ มันก็ไม่ได้ยากอะไร ถ้ามีลูกค้าต้องการของ พวกเขาก็ต้องจ่ายมัดจำก่อน จากนั้นฉันก็ส่งของให้ตามเวลาที่กำหนด ปกติพี่ชายของฉันก็แค่ดูคนงานทำงานในโรงงาน แล้วให้เงินเดือนก็เท่านั้น วัตถุดิบไม่พอก็ไปซื้อ พูดไปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรยาก และถ้ามีวัตถุดิบอะไรที่พี่ชายของฉันไม่สามารถซื้อได้ เขาก็จะโทรมาสอบถามฉัน และฉันก็จะเป็นคนซื้อให้เอง” อิฐบล็อกก้อนใหญ่และรถมือสองของฟู่ซินก็นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัวของเขาพอสมควร
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมผู่ชูเฟิงถึงไม่ชอบเฉียนเหมยเซีย หล่อนคิดว่าลูกชายของตัวเองเก่งกาจและสามารถหาภรรยาที่ทำงานเป็นข้าราชการระดับสูงได้
“พี่ชายและพี่สะใภ้ของฉันมีความสัมพันธ์กับแม่ของฉันไม่ดีเท่าไหร่นัก ฉันก็เลยให้พี่ชายของฉันย้ายไปอยู่ที่โรงงานเหมืองทราย ไอ้หยา ตอนนี้พี่ชายของฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่พอพี่ชายของฉันไม่อยู่บ้าน แม่ของฉันก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านของฉันแทน ! ” ฟู่ซินก้มหน้าลงและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ขณะมองไปที่ใบหน้าที่เนียนละเอียดและมีเลือดฝาดของจางฉุ้ยเหลียน เขาก็พูดขึ้นมาว่า “แล้วเธอล่ะ เธออยู่กับแม่สามีเธอมีความสุขดีไหม ? พวกเขารังแกเธอรึเปล่า ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ ? ฉันกับบ้านแม่สามีไม่ได้อยู่ด้วยกัน ความขัดแย้งก็เลยน้อยลง อีกอย่างเงินที่ฉันได้กลับมามันก็ไม่ใช่น้อย ๆ ตอนนี้ฉันมีเงินเก็บอยู่ในมือเยอะกว่าลูกชายของหล่อนอีก บวกกับที่ฉันคลอดลูกชาย พวกเขาเลยเอาอะไรมาว่าฉันไม่ได้ ทุกวันนี้แม่สามีของฉันก็เอาแต่ดูแลลูกชายให้ฉัน หล่อนไม่มีเวลามาสนใจฉันหรอก ! ”
ฟู่ซินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “งั้นก็ดี ดีแล้วล่ะ”
ขณะมองไปที่ฟู่ซิน จางฉุ้ยเหลียนก็อดที่จะพูดเตือนเขาออกไปไม่ได้ว่า “ตอนนี้นายก็แต่งภรรยาเข้าบ้านแล้ว นายอย่าทำให้หล่อนต้องลำบากล่ะ ตอนที่นายทะเลาะกับภรรยา นายก็อย่าหนีปัญหาและทำให้เรื่องทุกอย่างมันเลวร้ายมากกว่าเดิม ถ้านายทำตัวดีกับภรรยา แม่ของนายก็จะทำอะไรพวกนายไม่ได้ แต่ฉันก็กลัวว่านายจะยืนข้างแม่ แล้วทำให้ภรรยาของนายต้องเสียใจซะมากกว่า”
พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ ฟู่ซินก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “กู้จื้อเฉิงก็ทำแบบนี้กับเธอหรือ ? เขายืนอยู่ข้างเธอตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด “ก็ใช่น่ะสิ ยิ่งนายให้ความสำคัญกับภรรยาของนายมากเท่าไหร่ แม่ของนายก็จะไม่ละเลยหล่อนมากขึ้นเท่านั้น ถ้านายไม่ให้ความสำคัญอีกทั้งยังดูถูกหล่อนและรังเกียจหล่อน แม่ของนายก็จะคิดว่าลูกสะใภ้คนนี้ไม่ดีกับลูกชายของตัวเอง ลูกสะใภ้ที่ไม่ดีกับลูกชายของตัวเอง หล่อนจะทำดีด้วยทำไมล่ะ ? ”
คำพูดนี้มันก็ดูสมเหตุสมผลมาก ผู้หญิงสองสามคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกันนั้นก็มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ นั่นแหละ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้จะดีไหม มันก็ขึ้นอยู่กับผู้ชายบ้านนั้นทั้งนั้น ความจริงแล้วในบ้านก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรใหญ่โตหรอก มันเกิดจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งนั้น แต่พอเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนั้นมารวมกัน มันก็เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา”
ฟู่ซินหันมาสบตากับจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “อือ ฉันเข้าใจแล้ว” แต่ถึงแม้ว่าฟู่ซินจะพูดออกไปแบบนั้น แต่สุดท้ายเขาก็ต้องรอดูพฤติกรรมของภรรยาของเขาก่อนอยู่ดี
จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจเรื่องของสามีภรรยาดี ไม่ว่าใครก็สอดมือเข้าไปยุ่งไม่ได้ทั้งนั้น เพราะอย่างนั้นเธอเลยเปลี่ยนเรื่องคุยแทน “นายได้เงินกลับมาจากเซี่ยงไฮ้เยอะมากขนาดนั้น นายอธิบายให้ครอบครัวของนายฟังว่ายังไงหรือ ? ”
ฟู่ซินส่ายหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้บอกพวกเขาว่าฉันได้เงินกลับมาเท่าไหร่ ฉันบอกพวกเขาแค่ว่า ออกไปคราวนี้ฉันก็หาเงินกลับมาได้ไม่เลว แม่ของฉันเห็นว่าฉันสามารถคืนเงินที่กู้มาได้ หล่อนก็เลยสบายใจ”
และสิ่งที่เขาไม่ได้พูดให้จางฉุ้ยเหลียนฟังก็คือ ผู่ชูเฟิงคิดว่าลูกชายคนรองของตัวเองนั้นมีความสามารถและเก่งกาจมากแล้ว หล่อนจึงคิดว่าโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวของครอบครัวมันทำเงินได้น้อยนิด หล่อนเลยพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฟู่ซินยกโรงงานเหมืองทรายแห่งนั้นให้พี่ชายของเขา
ฟู่ซินก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว แต่ในใจกลับคิดว่าแม่ของตัวเองนั้นก็ค่อนข้างที่จะลำเอียง โชคดีที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองพี่น้องค่อนข้างดี ฟู่เฉียงเลยรู้สึกผิด แต่ถึงอย่างนั้นฟู่ซินก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวกับพี่ชาย เขาคิดว่าให้ก็ถือว่าให้ ระหว่างพี่น้องก็ไม่ต้องพูดกันเยอะขนาดนั้น
“แล้วเจ้าร้านนี้ล่ะ นายคิดจะทำยังไง ? ” จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นไปมองฟู่ซิน เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่ซิก็ตกใจและพูดออกไปว่า “ทำยังไงงั้นหรือ ? เปิดร้านขายของก็จบแล้วนี่ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะแล้วส่ายหน้า “ฉันจะไม่รู้เรื่องนี้รึไงล่ะ แต่ที่ฉันจะถามก็คือ นายวางแผนจะทำยังไงต่อไป นายจะจ้างพนักงานกี่คน แล้วนายจะใช้วิธีการไหนมาเรียกลูกค้า เพราะนี่มันก็เป็นกลยุทธ์ในการเปิดร้านทั้งนั้น ! ”
พอฟู่ซินได้ยินคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน เขาก็ตกตะลึงในทันที ทั้งสองเลยเริ่มคุยกันว่าตอนเปิดกิจการพวกเขาจะโฆษณามันยังไงบ้าง จนตอนนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านมาจนถึงช่วงบ่ายแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็ยังคุยกันไม่เสร็จ
ทันใดนั้นเองจู่ ๆ โทรศัพท์ของฟู่ซินก็ดังขึ้น หลังจากกดรับสายและฟังได้แค่ไม่กี่ประโยค เขาก็ขมวดคิ้วและพูดออกไปด้วยความโมโหว่า “ฉันจะไปทำอะไรได้ล่ะ ฉันก็ทำงานอยู่ไง”
ทางฝั่งนั้นก็พูดเสียงดังตอบกลับมาว่าอะไรสักอย่าง จางฉุ้ยเหลียนเองก็ไม่ได้ยิน เธอหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง พร้อมกับยกมือขึ้นมาเท้าคาง
เหมือนทางนั้นจะพูดอะไรสักอย่าง ทันใดนั้นเองฟู่ซินก็ตะโกนออกไปเสียงดังว่า “เธอเห็นรึไง ? เธอเห็นอะไรล่ะ ? เธอเห็นแล้ว เธอก็มาดูกับตาของตัวเองเลยสิ เก่งจริงก็มาเลย รีบมาจับชู้เร็ว ๆ เข้าล่ะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนตกใจในทันที หลังมองเขากระแทกโทรศัพท์มือถือลงกับโต๊ะแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ถามเขาออกไปเบา ๆ ว่า “เป็นอะไร ใครโทรมาหรือ ? ภรรยาของนายหรือ ? ”
ฟู่ซินโมโหจนหน้าแดง เขาพูดด้วยความเบื่อหน่ายว่า “เหมยเซียโทรมา ถามฉันว่าทำอะไรอยู่ พอฉันบอกว่าทำงาน หล่อนก็ขึ้นเสียงใส่ฉันว่า ‘ฉันเห็นกับตาตัวเองว่า นายกำลังคุยหยอกล้อกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้านน้ำชา’ ฉันก็เลยบอกหล่อนไปว่า งั้นหล่อนก็เข้ามาเลย มาจับชู้ด้วยตัวเองเลย”
จางฉุ้ยเหลียนถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าใจ เธอหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง ไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่มองฟู่ซินแล้วพูดว่า “นี่พี่ชาย นายเพิ่งจะแต่งงานเองนะ ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะด่านายหรอกนะ แต่นายพูดดี ๆ กับภรรยาของตัวเองไม่เป็นรึไง? เวลาที่ผู้หญิงกำลังท้องกำลังไส้อยู่ อารมณ์ความรู้สึกก็ทำให้หล่อนแท้งได้ง่าย ๆ ทำแบบนี้หล่อนจะไม่สบายใจเอานะ”
ฟู่ซินรู้ว่าตัวเองแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง การที่เขาให้หล่อนมาหาที่นี่ เขาก็จะได้พูดอธิบายให้หล่อนฟังอย่างชัดเจน เขาไม่อยากให้หล่อนเข้าใจผิดอีก เพราะอย่างนั้นเขาเลยพูดเสียงอ่อนกับจางฉุ้ยเหลียน “ฉันไม่ได้ตั้งใจลากเธอเข้ามายุ่งกับเรื่องในครอบครัวของฉันหรอกนะ แต่เธอช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้หล่อนฟังหน่อยได้ไหม หลังจากนี้ต่อไปมันจะได้ไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ เธอเม้มปากและคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงไปมองกระดาษสองสามแผ่นที่เขียนรายละเอียดที่พวกเขาช่วยกันวางแผนบนโต๊ะ และนี่เป็นนิสัยของจางฉุ้ยเหลียน เธอมักจะเขียนแนวความคิดลงบนกระดาษ แล้วจากนั้นก็ค่อย ๆ ปรับและแก้ไขพวกมัน
พอเฉียนเหมยเซียเดินเข้ามา หล่อนก็เห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนกำลังก้มหน้าก้มตาทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยเดินเข้ามาด้วยความโมโหแล้วโยนกระเป๋าใส่อีกฝ่ายทันที
จากนั้นหล่อนก็ชี้หน้าด่าจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “ยัยสถุล ชอบแย่งสามีของคนอื่น ทำลายครอบครัวของชาวบ้าน เธอมันหน้าไม่อาย ! ”
จางฉุ้ยเหลียนตกตะลึงกับคำด่า เธอเงยหน้าไปมองภรรยาของฟู่ซิน และด้านหลังของหล่อนก็มีผู้หญิงอีกคนที่มีหน้าตาคล้ายกับหล่อน ส่วนทางด้านของฟู่ซินตอนนี้ เขาก็ลุกขึ้นและเข้าไปดึงตัวของเฉียนเหมยเซียเอาไว้ จากนั้นก็ต่อว่าหล่อนออกไปเสียงดัง “เธอพูดจาเหลวไหลอะไร ? น่ารำคาญจริง ๆ จะพอได้รึยัง ? ”
เฉียนเหมยเซียเริ่มร้องไห้โหออกมา “ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ พวกเราเพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นาน แต่คุณก็ไปหาผู้หญิงคนอื่นแล้ว ฉันยังตั้งท้องลูกของคุณอยู่นะ คุณยังมีจิตสำนึกอยู่รึเปล่า”
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หล่อนก็พูดออกมาอย่างหยิ่งยโสว่า “ใช่ นายเห็นคนในบ้านของเราตายกันหมดแล้วรึไง? นายอย่ามาทำตัวเป็นอันธพาลแบบนี้นะ พวกเราเห็นจากด้านนอกหมดแล้วว่า นายกับผู้หญิงคนนี้คุยกันหน้าตาชื่นมื่น โชคดีที่ฉันยังมีสติให้เธอโทรมาหานายก่อน หึ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนลูบคิ้วของตัวเองด้วยความหงุดหงิด ตอนนี้หน้าของเธอดำอย่างกับก้นหม้อ เธอล่ะอยากจะลบคำพูดที่เธอบอกกับฟู่ซินเมื่อกี้จริง ๆ เธอคิดว่าเขาไม่ควรทำดีกับผู้หญิงคนนี้มากเกินไป หล่อนไม่มีสมอง อีกทั้งยังชอบก่อเรื่องยุ่งวุ่นวาย หล่อนไม่เพียงแต่จะไม่มีความสามารถช่วยเหลืองานของฟู่ซินได้แล้วเท่านั้น แต่หล่อนยังเป็นตัวถ่วงอีกด้วย……
MANGA DISCUSSION