ตอนที่ 184 สงสัย
เมื่อกู้จื้อเฉิงออกไปรับทั้งสามคนกลับมาที่บ้าน เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็แปลกใจกับอาหารอุ่น ๆ หกอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจแต่ปากกลับพูดแขวะเขาออกไปว่า “มันต่างกันจริง ๆ เลยนะ พอลูกชายของพี่กลับมาที่บ้านแล้วถึงจะมีข้าวให้กิน ! ”
ตงลี่หวาเบะปากแล้วบ่นเธอออกไปว่า “แม้แต่ลูกชายของตัวเอง ลูกก็ยังหึงหรือ ? ลูกชายของลูกกินข้าวได้แล้วรึยังล่ะ เสี่ยวเฉิงก็ทำเอาไว้ให้ลูกนั่นแหละ ลูกนี่หาเรื่องเก่งจริง ๆ ! ”
ขณะที่กำลังอุ้มลูก จางฉุ้ยเหลียนก็บุ้ยปากและพูดออกไปว่า “เหอะ ! ทำให้หนูกินงั้นหรือ ที่เขาทำก็ไม่ใช่เพราะอยากให้หนูมีน้ำนมให้ลูกดื่มรึไง หึ ! สุดท้ายก็เพราะรักลูกชาย”
กู้จื้อเฉิงมองไปที่จางฉุ้ยเหลียนอย่างขำ ๆ จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับตงลี่หวาว่า “แม่ครับ แม่อย่าไปสนใจเธอเลย ผมทำกับข้าวพวกนี้เอาไว้ให้แม่ ถ้าไม่อร่อยต้องขอโทษด้วยนะครับ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวาเงียบไปทันที เธอส่งลูกไปให้กับตงลี่หวา จากนั้นก็เดินเข้าไปเปิดจานอาหารดูด้วยความสงสัย “พี่เป็นคนทำอาหารพวกนี้เองหรือ ? ”
กู้จื้อเฉิงพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ใช่ ฉันเป็นคนทำเอง ผักในแปลงเหี่ยวหมดแล้ว บ้านเราเอามากินไม่ได้หรอก ฉันก็เลยเลียนแบบเธอที่เอาผักไปตากแดดทำเป็นผักแห้ง แล้วเก็บเอาไว้กินในฤดูหนาว ! ”
พอจางฉุ้ยเหลียนได้ยินแบบนั้นก็บุ้ยปาก “หึ ! เดี๋ยวนี้แม้แต่ผักสด ๆ ก็ไม่ให้ฉันกินแล้ว ให้ฉันกินแต่ผักแห้ง ฉันต้องลำบากอยู่ที่นี่ทุกปี ๆ สินะ”
กู้จื้อเฉิงตกใจคิดไม่ถึงเลยว่า จางฉุ้ยเหลียนจะฝึกพูดจาเหลวไหลจนชำนาญขนาดนี้แล้ว พอเห็นท่าทางตกตะลึงของเขา จางฉุ้ยเหลียนก็มีความสุขขึ้นมาทันที เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาชิมอาหารหนึ่งคำ พอเห็นเธอขมวดคิ้ว กู้จื้อเฉิงก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา “เป็นยังไงบ้าง ? ”
“เค็มมาก ! ” จางฉุ้ยเหลียนวางตะเกียบลง “เจ้าสาหร่ายตุ๋นมันฝรั่งจานนี้ นอกจากเค็มแล้วก็ไม่มีรสชาติอื่นอีก สาหร่ายสดใหม่มาก ส่วนมันฝรั่งนี่ก็เป็นของบ้านเราด้วยใช่ไหม ? ”
ช่วงฤดูใบไม้ผลิจางฉุ้ยเหลียนกำลังอุ้มท้องอยู่ ผักในแปลงเลยตกเป็นหน้าที่ของตงลี่หวา เพราะหล่อนชินกับการทำเกษตรอยู่แล้ว ขนาดกู้จื้อเฉิงที่เลิกงานมาช่วย หล่อนก็ยังไม่อยากให้เขาทำเลย โชคดีที่หล่อนยังอายุไม่ถึง 50 ปี แต่สองปีที่ผ่านมานี้ร่างกายที่ไม่ได้ทำงานอย่างหนักเหมือนเมื่อก่อนก็ทำให้หล่อนรู้สึกทรมาน
หล่อนปลูกผักในแปลงได้เป็นอย่างดี หากไม่ได้เป็นเพราะจางฉุ้ยเหลียนดึงดันจะเก็บต้นเชอร์รี่ในสวนนั่นไว้หล่อนก็คงจะรื้อเอาพื้นที่นั้นมาทำเป็นค้างถั่วฝักยาวไปแล้ว
ในช่วงฤดูร้อนจางฉุ้ยเหลียนก็ยังได้กินผักที่สดใหม่อยู่บ้าง เชอร์รี่รสเปรี้ยวหวานก็ถูกปากเธอ และสตอเบอร์รี่ที่ถูกปลูกลงพื้นที่ว่าง ๆ ในสวนก็ออกผลแล้วเช่นกัน ดังนั้นระหว่างที่ตั้งครรภ์อยู่ จางฉุ้ยเหลียนก็ทำให้ผู้หญิงสองคนแถวนี้อิจฉาตาเป็นมัน
แต่นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมเธอถึงกับเลือดตกยางออกและคลอดลูกยาก บางคนมีความสุขกับความทุกข์ของคนอื่น เรื่องทั้งหมดเกิดจากความอิจฉาและความไม่เป็นธรรมทั้งนั้น แถมแม่สามีก็ยังเอาเรื่องของจางฉุ้ยเหลียนไปพูดบอกว่าถ้าตอนท้องดูแลดีมากเกินไป ก็จะกลายมาเป็นเหมือนเธอ แต่เรื่องทั้งหมดนี้ก็ล้วนแต่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
“ฉันว่ารสชาติมันก็พอดีนะ ไม่มีอันไหนเค็มเกินไป” กู้จื้อเฉิงเริ่มรู้สึกหนักใจ ตงลี่หวาที่มองอยู่เลยเริ่มรู้สึกไม่ดี ตงลี่หวาส่งหลานไปให้เขาอุ้ม จากนั้นตัวเองก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารชิมคำหนึ่ง หลังวางตะเตียบลง หล่อนก็อธิบายให้กู้จื้อเฉิงฟังพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรนี่ รสชาติก็ปกติดี ตอนนี้ภรรยาของเธอต้องให้นมลูก เลยกินเกลือเยอะมากไม่ได้ เพราะอย่างนั้นอาหารที่เธอกินก็เป็นอาหารรสชาติอ่อน ๆ หมด พอผ่านไปนานเข้าเธอก็เลยติดรสชาติอ่อน ๆ ”
กู้จื้อเฉิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นก็หันไปหอมแก้มลูกชายของตัวเองแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เพราะเธอติดรสชาติอ่อน ๆ งั้นตอนนี้พวกเราทุกคนก็คงต้องกินเกลือให้น้อยลงหน่อย”
จางฉุ้ยเหลียนกินอาหารอย่างตะกละตะกลาม เธอดูออกว่าเป็นเพราะไม่ได้รับคำชมจากการทำอาหารเป็นครั้งแรก กู้จื้อเฉิงเลยรู้สึกผิดหวังหน่อย ๆ เธอแอบหัวเราะผู้ชายคนนี้และคิดว่าเขาเหมือนเด็กจริง ๆ ที่ยังต้องการกำลังใจจากคนอื่น
“หลังจากที่กินไปได้สองคำ ฉันถึงกลับมากินอาหารรสชาตินี้ได้ มันต้องเค็มหน่อยถึงจะมีรสชาติ นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าอาหาร ฉันกินอาหารไม่จืดไม่เค็มมากี่เดือนแล้วนะ เห้อ ! อยากจะตายจริง ๆ เลย แต่ก็โชคดีที่พี่ยังรักฉันเหมือนเดิม ! ”
ขณะพูดเธอก็ตบท้องของตัวเองเบา ๆ “ไอ้หยา อร่อยจริง ๆ เลย” จางฉุ้ยเหลียนยังกลัวว่ากู้จื้อเฉิงจะไม่เชื่อ เลยเริ่มบ่นต่อไปอีกว่า “พี่คงไม่รู้ ตั้งแต่มีลูกคนนี้ คุณหมอบอกกับฉันว่า กินน้ำมันไม่ได้ กินเกลือไม่ได้ รสชาติของอาหารต้องเบา ๆ หน่อย มันทำให้ฉันแทบแย่ ใช่แล้ว ยังกินเผ็ดไม่ได้ด้วยนะ ! ฉันล่ะคิดถึงผักดองรสเผ็ดของตัวเองจริง ๆ หอม ๆ เผ็ด ๆ อร่อยที่สุด”
กู้จื้อเฉิงทำหน้าเอ็นดู “น้ำมันก็ใส่ไม่ได้หรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนบุ้ยปาก “ใช่ ต้องรสอ่อน ๆ ฉันกินอาหารเหมือนแม่ชีไม่มีผิด เป็นอะไรที่ปวดใจมาก”
เขาถอนหายใจออกมา “ไม่เป็นไร เธอกลับบ้านแล้ว เธออยากกินอะไรก็กินเถอะ ถ้าเธออยากจะกินเผ็ดเธอก็กิน ไม่มีใครกล้าว่าเธอหรอก”
ตงลี่หวาคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนแค่ทำตัวออดอ้อนกู้จื้อเฉิงเท่านั้น แต่หล่อนกลับคิดไม่ถึงเลยว่า กู้จื้อเฉิงจะคิดเป็นจริงเป็นจัง หล่อนโบกมือไปมาทันที และแม้แต่อาหารในปากก็ยังไม่ได้กลืนลงไปด้วยซ้ำ จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “ไม่ได้ ๆ เด็กกินเผ็ดไม่ได้”
กู้จื้อเฉิงบุ้ยปาก “ไม่นะครับ ผมก็เห็นภรรยาของเพื่อนกินเผ็ดทุกวัน หล่อนเป็นคนหูหนาน หล่อนกินพริกชามใหญ่ทุกมื้อ เจ้าพริกนั่นกินคำนิดเดียวก็เหงื่อแตกแล้ว แต่ลูกของพวกเขาก็กินนมได้ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ตอนนี้ลูกของพวกเขาก็ยังกินเก่งสุด ๆ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าสิ่งที่พวกแม่ ๆ ทำมันไม่ค่อยถูก”
ตงลี่หวาพูดไม่ออกและไม่กล้าอธิบายให้กู้จื้อเฉิงฟัง เพียงหันไปกระซิบจางฉุ้ยเหลียนเบา ๆ ว่า “นั่นมันคนหูหนาน พวกเขากินเผ็ดได้ตั้งแต่เกิดแล้ว แตกต่างจากพวกเรา ลูกรอให้ลูกชายของลูกหย่านมก่อน แล้วลูกอยากจะกินอะไรก็กินเลย ! ”
พอตกตอนกลางคืน ตงลี่หวาก็ไม่ให้ทั้งสองคนนอนแยกกันอีกแล้ว “ฉันจะนอนที่ห้องโถงเอง ให้หลานชายมานอนกับฉัน เผาถ่านให้ห้องอบอุ่นแค่นี้ก็ไม่กลัวอะไรแล้ว”
โซฟาที่จางฉุ้ยเหลียนซื้อมาไม่ใช่แบบที่นิยมในปัจจุบัน สองด้านซ้ายขาเป็นเก้าอี้เดี่ยว ส่วนตรงกลางเป็นโซฟาที่นั่งได้สามคน สภาพของมันเหมือนที่นั่งของเจ้านายใหญ่ที่กำลังจะแถลงการ เป็นอะไรที่เชยสุด ๆ
เก้าอี้ยาวสุดหรูที่ติดกับหน้าต่างตัวนั้น ใช้นอนดูโทรทัศน์ได้สบายที่สุด นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ติงเหมยชอบมาบ้านของเธอบ่อย ๆ เพราะไม่มีที่ไหนสบายเท่าบ้านของเธออีกแล้ว
ในเวลานี้ตงลี่หวาก็วางหลานชายไว้บนเก้าอี้สุดหรูตัวนั้น และก็ยกให้มันเตียงนอนของเขา กู้จื้อเฉิงคิดว่าลูกชายของเขาควรที่จะมานอนที่เตียงในห้อง ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะตากลมหนาวจนไม่สบายได้
ตงลี่หวายิ้ม “ในห้องนั้นมันก็ไม่มีเตียง แต่ก็เลี้ยงเด็กรอดมาได้ไม่ใช่รึไง พวกเธอสองคนแค่ทำให้บ้านอุ่นตลอดทั้งวัน จนท่อความร้อนนั่นลวกมือได้ ลูกชายของพวกเธอก็ไม่มีทางป่วยแน่นอน แล้วอีกอย่างเด็กน้อยก็สู้กับความหนาวเก่งกว่าผู้ใหญ่ด้วย ! ”
จางฉุ้ยเหลียนทนไม่ได้ เธอเลยพูดออกไปว่า “ไม่ได้ หรอกค่ะ ตอนกลางคืนเขาก็ต้องดื่มนมอีก เอาแบบนี้ไหมคะแม่ ให้เขามานอนในห้องกับพวกเราเถอะ”
ตงลี่หวาส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ “ไม่ได้ ตอนกลางคืนลูกนอนได้ไม่เต็มอิ่ม แล้วตอนกลางวันลูกก็ยังไม่ได้พักผ่อนอีก แบบนี้น้ำนมจะออกมาไม่ดี ให้เขานอนกับแม่ดีกว่า”
จางฉุ้ยเหลียนอ่านหนังสือแม่และเด็กมาเยอะ มันมีเรื่องมากมายที่แตกต่างจากความทรงจำเธอ หลังจากที่คิดและลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว เธอคิดว่าจะใช้ประสบการณ์ของคนเฒ่าคนแก่มาเลี้ยงลูกไม่ได้ ตัวอย่างเช่นต้องให้คังคังชินกับการมีชีวิตเป็นของตัวเอง และฝึกวินัยการกินให้สม่ำเสมอ
ในหนังสือเขียนเอาไว้ว่า เมื่อเข้าเดือนที่สี่แล้วต้องลดอาหารมื้อดึกของลูกน้อย วางแผนเปลี่ยนนิสัยกินดึกของลูก จางฉุ้ยเหลียนอยากใช้โอกาสนี้เปลี่ยนความเคยชินของลูก ไม่แน่มันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้
22.00 น. จางฉุ้ยเหลียนต้องให้ลูกดื่มนมอย่างเต็มอิ่ม แล้วตงลี่หวาก็อุ้มเขาออกไปเดินเล่น พร้อมกับตบตูดของเขาจนเขาหลับไป จางฉุ้ยเหลียนบอกกับตงลี่หวาตามที่หนังสือเขียนไว้ มื้อดึกของลูกต้องน้อยลง ต่อไปตอนกลางคืนจะให้เขากินแค่ครั้งเดียว จนสุดท้ายก็ให้กินแค่ตอนก่อนนอน จากนั้นเขาก็จะหลับยาวจนถึงเช้า ตงลี่หวาเองก็เห็นด้วย
หลังให้นมเสร็จกู้จื้อเฉิงกับจางฉุ้ยเหลียนก็มานอนด้วยกัน ทั้งสองคนไม่ได้ใกล้ชิดกันมาหนึ่งปีเต็ม ๆ แล้ว พวกเขาเลยรู้สึกตื่นเต้นมากพิเศษ แต่ก็กังวลว่าตงลี่หวาที่อยู่ห้องข้าง ๆ จะได้ยิน จางฉุ้ยเหลียนทั้งประหม่าทั้งหวาดกลัว แต่ความรู้สึกแบบนี้กลับทำให้กู้จื้อเฉิงรู้สึกตื่นเต้นสุด ๆ
เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน พวกเขาก็ต้องแยกกันอยู่แถมพวกเขายังต้องอดกลั้นมาเกือบหนึ่งปีเต็มอีก หลังจากเติมความสดชื่นให้กันแล้ว กู้จื้อเฉิงก็สวมกอดจางฉุ้ยเหลียนเอาไว้จากทางด้านหลัง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกัน
“เธอรู้ได้ยังไง ? ” จู่ ๆ กู้จื้อเฉิงก็ถามออกมา มันทำให้จางฉุ้ยเหลียนมึนงงในทันที
“อะไร ? พี่พูดถึงเรื่องอะไร ? ”
กู้จื้อเฉิงขมวดคิ้วและถามเธอออกไปอีกครั้งว่า “เธอรู้เรื่องหุ้นพวกนั้นได้ยังไง ในข่าวก็มีคนพูดถึงเรื่องนี้น้อยมาก แล้วอีกอย่างเธอก็ไม่ได้เป็นพวกที่เชื่อคำคน แล้วหัวร้อนไปเล่นสนุกมั่วซั่ว”
ในใจจางฉุ้ยเหลียนมีเสียงดัง กึก ! และแน่นอนว่ากู้จื้อเฉิงรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยานี้ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ตบบ่าของเธอเบา ๆ “ไม่ต้องกังวลหรอก ฉันไม่ได้จะต่อว่าที่เธอไปเซี่ยงไฮ้กับเจ้าหมอนั่น และใช้เงินของบ้านเราหรอก”
กู้จื้อเฉิงหยุดไปชั่วครู่ จากนั้นก็พูดต่อ “ฉันแค่อยากรู้ว่า เธอมีเรื่องอะไรปิดบังฉันไว้เยอะมากขนาดไหนกัน”
จางฉุ้ยเหลียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ เธอไม่รู้ว่าควรเล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟังไหม เธอรู้ดีว่าถึงแม้กู้จื้อเฉิงจะบอกว่าไม่สนใจ แต่อันที่จริงแล้วเขาสนใจมันสุด ๆ
“ขอโทษนะ ที่ฉันชอบทำแบบนี้ตลอด ไม่สนใจว่าพี่จะคิดยังไง ทั้ง ๆ ที่ฉันใช้เงินของครอบครัว แต่ฉันก็ไม่ยอมบอกพี่ก่อน” จางฉุ้ยเหลียนเงียบอยู่นาน สุดท้ายก็บอกว่าเป็นความผิดของตัวเอง
กู้จื้อเฉิงเงียบอย่างที่คิด ต่อจากนั้นเขาก็พูดออกมาเบา ๆ ว่า “เธอรู้ดีว่าฉันไม่ได้สนใจเรื่องนี้”
จางฉุ้ยเหลียนรีบพยักหน้าอย่างตอบรับทันที “ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจ พี่กำลังโทษที่ฉันไม่ยอมบอกต้นสายปลายเหตุให้ชัดเจน อีกทั้งฉัน….ฉันยังไปเซี่ยงไฮ้กับฟู่ซินด้วย ถ้าพี่สงสัยเรื่องความซื่อสัตย์ของฉัน ฉันอธิบายให้พี่ฟังได้นะ พวกเราไม่ได้มีความรู้สึกเชิงชู้สาวแบบนั้นเลย พี่เชื่อใจฉันนะ พ่อเซี่ยจวินก็ไปกับพวกเราด้วย เขาเป็นพยานให้พวกเราได้…”
เสียงของเธอค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ กู้จื้อเฉิงจึงรีบเอามือปิดปากของเธอทันที แล้วทันใดนั้นเองจู่ ๆ กู้จื้อเฉิงก็พลิกตัวมาขึ้นคล่อมร่างของจางฉุ้ยเลียนเอาไว้ เขากระซิบข้าง ๆ หูของเธอว่า “ฉัน…. เชื่อเธอ ถึงจะรู้ว่าพวกเธอสองคนไปทำเรื่องใหญ่ขนาดนั้นด้วยกันที่เซี่ยงไฮ้ก็เถอะ”
จางฉุ้ยเหลียนบ่นพึมพำ “แถมเรื่องที่ฉันให้เขายืมเงินไปอีก 50,000 หยวน ฉันก็ไม่ได้ถามความเห็นของพี่ก่อนเหมือนกัน”
กู้จื้อเฉิงคลี่ยิ้ม เขาทั้งโมโห ทั้งโกรธ แต่ก็ขำด้วย “เธอนี่มัน… ไอ้หยา แค่แปปเดียวก็หาเงินได้เยอะขนาดนั้นแล้ว!”
จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ให้เขาฟังอย่างละเอียด เพราะฟู่ซินคิดว่าต้องมีโอกาสได้เงินก้อนโตแต่เขาดันไม่มีเงินอยู่ในมือ เธอเลยให้ฟู่ซินยืมเงินไปทำทุน และเธอก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าเขาจะได้เงินกลับมาไหม
ในยุคสมัยนี้หากบ้านไหนมีเงินถึง 10,000 หยวน ก็จะเป็นที่อิจฉาของคนอื่นทั้งนั้น จางฉุ้ยเหลียนไปเซี่ยงไฮ้ครั้งเดียวก็ใช้เงินไป 3,000 หยวนแล้ว เพื่อซื้อเศษกระดาษไร้ประโยชน์กลับมา 100 ใบ และการที่เขาไม่โมโหน่ะสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก แต่เป็นเพราะตอนนั้นเธอกำลังตั้งท้องอยู่ แล้วเธอก็ยังสาบานอีกว่า เธอจะหาเงินมาให้ได้ เขาทนเห็นเธอผิดหวังไม่ได้และไม่อยากจะทะเลาะกับเธอเพราะเรื่องเงิน แม้จะไม่เชื่อว่ามันจะหาเงินได้ แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นการเสียเงินสะเดาะเคราะห์
แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนจะถือโอกาสในตอนที่เขาไปฝึกอบรม เดินทางไปเซี่ยงไฮ้อย่างกระทันหันทั้ง ๆ ที่ยังอยู่เดือนไม่เสร็จด้วยซ้ำ จากนั้นเธอก็ใช้เศษกระดาษกองนั้นทำเงินกลับมาได้ถึง 170,000 หยวน หากเอาเรื่องนี้ไปพูดให้คนอื่นฟัง คนพวกนั้นจะต้องช็อกตายแน่ ๆ
ด้วยเหตุนี้กู้จื้อเฉิงเลยแอบสืบเรื่องภรรยาของตัวเองอย่างลับ ๆ แต่ผลสุดท้ายมันกลับทำให้เขาไม่อาจรับได้ อีกทั้งมันยังอยู่เหนือความคาดหมายของเขาอีกด้วย !
MANGA DISCUSSION