ตอนที่ 179 เลือกผู้ใหญ่หรือเด็ก
คนที่มาฟ้องเรื่องติงเหมยมาเร็วมาก และตั้งแต่ที่ป้าหยูโดนกับดักหนูที่กู้จื้อเฉิงวางเอาไว้ใต้กำแพง หล่อนก็เปลี่ยนจากโรคชอบปีนกำแพงบ้านคนอื่น เป็นเดินเข้ามาทางประตูหน้าแทน
พอป้าหยูเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนนอนคลุมตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนน้อย หล่อนก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเห็นใจ แต่มันกลับทำให้ตงลี่หวาที่อยู่นั่งข้าง ๆ หัวร้อนจนต้องตะโกนออกไปว่า “ไอ้หยา เลิกร้องได้แล้ว หลานของฉันยังไม่เป็นไร ! ”
ป้าหยูหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา จากนั้นก็มองสำรวจตัวจางฉุ้ยเหลียนตั้งแต่หัวจรดเท้า “ไอ้หยา เธอผอมลงรึเปล่า ? ของกินดี ๆ พวกนั้นเธอเอาไปไว้ไหนหมด ? เธอดูอย่างติงเหมยสิ ขนาดหล่อนกินแค่ผักกาดขาว มันฝรั่ง มะเขือยาว และพริก หล่อนก็ยังอ้วนกว่าเดิมเลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ตงลี่หวาจึงพูดตอบกลับไปด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “ไอ้หยา ต้องโทษฉันเอง ที่ตอนเด็ก ๆ ฉันดูแลเธอดีไปหน่อย ใคร ๆ ก็บอกว่าไม่ควรเลี้ยงเด็กให้มีชีวิตดีเลิศเกินไป ควรเลี้ยงแบบปล่อยเหมือนพวกลูกเป็ด จะได้ไม่สร้างภัยและจะได้ไม่ป่วย ตั้งแต่เล็กจนโตบ้านเราก็ดูแลลูกสาวราวกับดอกไม้มาตลอด”
ป้าหยูมองไปรอบ ๆ บ้านตระกูลกู้ ดูเหมือนที่นี่จะต่างไปจากเดิมนิดหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันจะมอบความรู้สึกดี ๆ ให้คนได้ไหม ต่อจากนั้นหล่อนก็พยักหน้าอย่างอาย ๆ “นั่นก็จริง ดั่งคำที่คนโบราณว่าไว้ เธอดูสิว่ามีใครบ้างที่กินเก่ง ใช้ชีวิตเก่ง ทำงานอยู่เป็นประจำ แล้วหนังไม่หนาบ้างล่ะ”
หลังจากพูดไปพูดมาสุดท้ายหล่อนก็โยงมาเข้าเรื่องของติงเหมย “วันนั้นหล่อนอารมณ์เสียมากเลยล่ะ บอกว่าวันนี้เป็นวันดีของลูกสาวของหล่อน แต่พวกเธอกลับทำแบบนี้ มันก็ไม่เท่ากับเป็นการนำโชคร้ายมาให้กับลูกสาวของหล่อนหรือ ? ต่อจากนั้นหล่อนก็บอกว่าจางฉุ้ยเหลียนมีคนดูแลจะไปทำอะไรได้ สุดท้ายก็กลายเป็นยิ่งถนุถนอมยิ่งบอบบาง ลูกยังไม่ทันจะคลอด เธอก็ใช้เงินไปเยอะแล้ว แถมยังบอกอีกว่าของดี ๆ ที่เธอกินไปก่อนหน้านี้ มันไร้ค่าสิ้นดี”
ก่อนหน้านี้ตงลี่หวานำอาหารเสริมราคาแพงจากแม่สามีอย่างอันหลงมาให้เธอ ก็มีพวกน้ำผึ้ง น้ำผึ้งราชินี โสม และหูกวาง ของพวกนี้นอกจากน้ำผึ้งแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็กินเข้าไปนิดหน่อย แต่เธอก็ไม่เคยแบ่งมันให้คนอื่นมาก่อน เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เธอไปตรวจครรภ์ หมอเองก็บอกว่ามียาบำรุงบางตัวที่กินไม่ได้
ระหว่างตั้งครรภ์จางฉุ้ยเหลียนก็กินผักและผลไม้มากเป็นพิเศษ ปกติเธอไม่ได้ทำงานบ้านแต่เธอก็ขยับตัวไม่น้อย หนังสือที่ควรอ่านก็อ่าน งานที่ควรทำก็ทำไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง
คนนอกไม่รู้ แต่ตงลี่หวารู้ดีอยู่แก่ใจ หากเธอโมโหย่อมมีคนเอาไปพูด อย่างเช่นคนที่ชอบเปรียบเทียบชีวิตกับคนอื่น พอสู้ไม่ได้ก็อิจฉา เห็นคนอื่นตกต่ำกลับดีใจ
เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่แยแส ป้าหยูเลยคิดว่าพูดไปก็ไร้ความหมาย สองแม่ลูกคู่นี้มีนิสัยเหมือนกัน คือเป็นพวกไม่ชอบพูดหยาบคาย ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมพูดออกมา หลังจากรอมาพักหนึ่ง อีกฝ่ายก็ต้องกลับไปอย่างเศร้าสร้อย โดยที่ลืมอดีตเมื่อครั้งจางฉุ้ยเหลียนเคยทะเลาะกับฟ่านจินเฟิ่งไปอย่างสิ้นเชิง
เซี่ยจวินส่งข่าวมาบอกว่า เขาได้ไปหาคุณปู่กับคุณย่าของจางฉุ้ยเหลียนและได้เผากระดาษให้คนเฒ่าคนแก่ที่ตายไปเรียบร้อยแล้ว และก็ไม่มีใครบอกเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนไปโดนอะไรมา สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนด่าตงลี่หวาออกไปว่า หล่อนมันงมงายและให้ร้ายคนตาย อีกทั้งยังบอกให้หล่อนเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนคลอดก็ให้ไปคลอดที่โรงพยาบาลจะดีที่สุด
แต่คุณหมอที่โรงพยาบาลสุ่ยหยวนก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องสักเท่าไหร่นัก เขาบอกว่าเด็กจะคลอดในวันที่ 9 เดือนสิงหาคม ขนาดตอนที่อุ้มท้องจางฉุ้ยเหลียนก็ยังลำบากมากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าตอนคลอดจะยากมากรึเปล่า พวกเธอไปรอคลอดอยู่ที่โรงพยาบาลสุ่ยหยวนตั้งแต่วันที่ 5 เดือนสิงหาคม แต่พอถึงวันที่ 9 เดือนสิงหาคม จางฉุ้ยเหลียนกลับยังคงกินดื่มได้เหมือนเดิม และไม่มีวี่แววหรือสัญญาณว่าเธอจะคลอดลูกเลยสักนิด
คุณหมอเลยเข้ามาตรวจซ้ำอีกครั้ง แต่ทุกอย่างก็ปกติดี ตอนแรกตงลี่หวายังปลอบจางฉุ้ยเหลียนว่าไม่ต้องกังวล แต่พอมาถึงสัปดาห์ที่ 41 จางฉุ้ยเหลียนกลับต้องเป็นคนปลอบตงลี่หวาและกู้จื้อเฉิงแทน
ผลตรวจ B บอกว่าทารกในครรภ์ยังไม่กลับหัว ต่อมาก็บอกว่าสายสะดือพันรอบเอวทารก จางฉุ้ยเหลียนได้ตงลี่หวาช่วยประคองเดินรอบ ๆ โรงพยาบาลทุกวัน ส่วนทางด้านของกู้จื้อเฉิง เขาก็ลางานไม่ได้ เลยได้แต่กระวนกระวายใจเพียงเท่านั้น
พอเจ้านายได้ยินว่าผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้ว เด็กคนนี้ก็ยังไม่คลอดออกมาสักที เจ้านายจึงให้กู้จื้อเฉิงลาหยุด และบอกเขาว่าถ้าลูกคลอดแล้วค่อยกลับมาทำงาน แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็เหมือนเป็นพวกเอื่อยเฉื่อย พอถึงวันที่กำหนดเด็กคนอื่นเขาก็คลอดออกมาหมดแล้ว แต่เจ้าเด็กคนนี้กลับทรมานพ่อแม่ของเขาอย่างเงียบ ๆ
หมอบอกให้ตงลี่หวาทำซุปไก่น้ำมันงามาให้จางฉุ้ยเหลียนดื่ม เพราะมันมีผลช่วยกระตุ้น แต่พอจางฉุ้ยเหลียนดื่มมันเข้าไปแล้วมันกลับไม่มีผลอะไรเลย อีกทั้งเด็กก็ยังไม่ยอมกลับหัวเหมือนเดิม
สุดท้ายหมอก็เลยตัดสินใจจะใช้วิธีการกระตุ้นอย่างรุนแรง ดูว่าจางฉุ้ยเหลียนจะคลอดออกมาได้ไหม เพราะตอนนี้ก็เข้าสัปดาห์ที่ 42 แล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องคลอดเด็กคนนี้ออกมา แพทย์ประจำโรงพยาบาลสุ่ยหยวนก็แทบจะไม่เคยเห็นครรภ์แบบนี้มาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลหรือนักศึกษาแพทย์ฝึกงาน ก็อยากที่จะเข้ามาสังเกตการณ์และศึกษาครรภ์ที่หายากแบบนี้กันทั้งนั้น แต่กู้จื้อเฉิงยืนทำหน้าดำอย่างกับเทพเจ้าเฝ้าประตู จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปสักคน
พอได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนคลอดยากและเด็กไม่ยอมกลับหัวสักที เซี่ยจวิน อันหลง และกู้จื้อชิวก็เดินทางมาที่โรงพยาบาลสุ่ยหยวนเพื่อมาดูอาการ หลังจากกระตุ้นไม่นานจางฉุ้ยเหลียนก็ถูกพาตัวเข้าห้องคลอด หลังจากนั้นก็มีคนเดินเข้าออกประตูห้องคลอดกันเป็นว่าเล่น และสุดท้ายก็ดูเหมือนจะเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เดินเข้าไป
ตงลี่หวาใจเต้นแรงมาก หล่อนจับมือของเซี่ยจวินเอาไว้และพยายามสวดมนต์ภาวนา กู้จื้อชิวเองก็ตกใจจนขวัญเสีย หล่อนคิดไม่ถึงเลยว่าการคลอดลูกมันจะทรมานขนาดนี้ ขณะฟังเสียงกรีดร้องของจางฉุ้ยเหลียนดังออกมาจากท้องคลอดครั้งแล้วครั้งเล่า หล่อนก็ตกใจจนร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ
ทันใดนั้นเองก็มีหมอคนหนึ่งตะโกนออกมาจากห้องคลอดว่า “ใครเป็นญาติของจางฉุ้ยเหลียนคะ ? ”
กู้จื้อเฉิงพุ่งตัวออกไปและตอบกลับไปทันทีว่า “ผมครับ ผมเป็นสามีของเธอ คุณหมอ ภรรยาของผมเป็นยังไงบ้างครับ?”
คุณหมอส่ายหัวแล้วถอนหายใจออกมา “สถานการณ์ของคุณแม่แย่มาก สายสะดื้อย้ายมาอุดช่องคลอดต้องผ่าคลอดอย่างเดียวเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินดังนั้น อันหลงก็ยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยความตกใจในทันที ส่วนทางด้านของกู้จื้อเฉิง เขาก็ตกใจจนเหงื่อแตกทั่วตัวเช่นกัน “ถะ… ถ้างั้นแม่ของเด็กล่ะครับ? แม่เด็กไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
คุณหมอสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยักหน้าให้กับกู้จื้อเฉิง “ตอนนี้คุณแม่ยังปกติดี แต่พวกคุณต้องเป็นคนตัดสินใจ เพราะตอนนี้พวกเราต้องผ่าคลอด แต่แพทย์ในโรงพยาบาลของพวกเรามีความสามารถอยู่จำกัด ส่วนแพทย์ที่เคยผ่าคลอดก็มีไม่มาก ด้วยความที่ก่อนหน้านี้มีคุณแม่ที่ต้องคลอดก่อนกำหนด เราก็เลยต้องผ่าคลอด แต่ตอนนี้สถานการณ์ของคุณแม่ท่านนี้ก็ตกอยู่ในสถาวะอันตรายมากแล้ว พวกคุณต้องทำใจเอาไว้ด้วย ! ”
ตงลี่หวาสะอื้นไห้พร้อมกับนั่งคุกเข่าให้คุณหมอทันที “คุณหมอคะ ฉันขอร้องล่ะค่ะ ช่วยลูกสาวของเราด้วย เธอจะเป็นอะไรไปไม่ได้นะคะคุณหมอ ! ”
ในเวลานี้พยาบาลคนหนึ่งก็ถือเอกสารบางอย่างเข้ามาให้กู้จื้อเฉิงเซ็น “นี่เป็นเอกสารการยินยอมผ่าคลอด หากพวกคุณไม่เซ็นทางเราก็จะลงมือไม่ได้” กู้จื้อเฉิงจรดปากกาเซ็นชื่อของเขาลงไป จากนั้นเขาก็ดันพวกคุณหมอและพยาบาลให้เข้าไปในห้องคลอดทันที
เขาหันไปประคองตงลี่หวาให้ลุกขึ้น แล้วแสร้งทำเป็นพูดอย่างคนใจเย็นว่า “คุณแม่ครับ คุณแม่วางใจเถอะนะครับ ฉุ้ยเหลียนต้องไม่เป็นอะไรแน่ เพราะเธอก็เป็นคนที่โชคดีมากคนหนึ่ง”
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงพูดออกไปได้ไม่นาน คุณหมอก็ออกมาอีกครั้ง คราวนี้บนร่างกายของหล่อนก็เต็มไปด้วยเลือด สภาพตื่นตกใจจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว การที่หมอคนหนึ่งสติหลุดได้ถึงขนาดนี้ นั่นก็หมายความว่าสถานการณ์ตอนนี้ต้องร้ายแรงมากอย่างแน่นอน
เขาถามกู้จื้อเฉิงออกไปตรง ๆ ว่า “ตอนนี้สถานการณ์ด้านในร้ายแรงมาก ฉันอยากจะถามพวกคุณว่า พวกคุณอยากจะเก็บผู้ใหญ่หรือว่าเด็กเอาไว้ ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จื้อเฉิงก็รู้สึกโมโหสุด ๆ เขาเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของหมอคนนั้นเอาไว้ จากนั้นก็ถามหล่อนออกไปตรง ๆ ว่า “หมอพูดว่ายังไงนะ ? เก็บผู้ใหญ่หรือว่าเด็กเอาไว้อย่างนั้นหรือ ? ผมก็ต้องการทั้งสองคนนั่นแหละ ! ”
ในเวลานี้ก็มีพยาบาลผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา หล่อนร้องไห้พร้อมกับพูดกับคุณหมอออกไปว่า “ตอนนี้แม่เด็กไม่มีแรงแล้ว ทำยังไงดีคะ ? หากเราไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ เด็กต้องตายแน่ ๆ ”
หมอคนนั้นหันมาจ้องที่กู้จื้อเฉิง แล้วพูดออกไปอย่างเคร่งขรึมว่า “ฉันจะพูดกับคุณตรง ๆ นะว่า ก่อนหน้านี้ฉันเคยผ่าคลอดมาแล้ว 5 ครั้ง ฉันเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในโรงพยาบาลแห่งนี้แล้ว หากคุณคิดจะเปลี่ยนหมอคนใหม่มันก็สายไปแล้ว สถานการณ์ของภรรยาคุณ เราอาจจะต้องผ่าเอามดลูกของเธอออก ! ไม่ว่าต่อไปเด็กคนนี้จะมีชีวิตรอดได้ไหม แต่ภรรยาของคุณก็จะไม่มีโอกาสมีลูกได้อีก ! ”
พอตงลี่หวาได้ยินคำพูดของหมอคนนี้ หล่อนก็สลบไปในทันที อันหลงคิดไม่ถึงว่าการคลอดลูกจะทำให้คนตายได้จริง ๆ เซี่ยจวินมีอาการคอแห้ง ในตอนนี้เขาก็อยากจะตะโกนออกไปมากว่า “แน่นอนสิว่าเราต้องเก็บผู้ใหญ่เอาไว้อยู่แล้ว ! ” แต่เสียงในใจของเขามันกลับตะโกนบอกว่า “เด็กคนนี้เป็นของตระกูลกู้ และตอนนี้ลูกสาวของเขาก็เป็นคนของตระกูลกู้แล้วเช่นกัน”
กู้จื้อเฉิงไม่มีเวลามามัวโอ้เอ้เลยแม้แต่วินาทีเดียว มือใหญ่คลายออก จากนั้นเขาก็ตะโกนออกไปว่า “เก็บผู้ใหญ่เอาไว้ ผมต้องการให้ผู้ใหญ่รอด คุณสนใจแค่ชีวิตของเธอก็พอ ต่อไปเธอจะท้องได้อีกไหมไม่ต้องไปสนใจ คุณทำสิ่งที่ควรทำเท่านั้นก็พอ ! ”
หมอคนนั้นมองตากู้จื้อเฉิงครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องผ่าตัด ผ่านไปไม่ถึงห้าวินาที หล่อนก็ผลักประตูออกมาอีกครั้ง หล่อนมองไปกู้จื้อเฉิงและพูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “คุณเข้าใจใช่ไหมว่า การที่ผู้หญิงไม่มีมดลูกแล้วมันคืออะไร ? คุณจะยอมรับได้หรือถ้าหลังจากนี้ต่อไปเธอจะท้องไม่ได้อีก ? ” หลังจากพูดจบหล่อนก็เหลือบตาไปมองคนสูงอายุทั้งสามคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง หนึ่งในนั้นจะต้องมีแม่สามีของเธออยู่แน่นอน
อันหลงเดินขึ้นหน้ามา จากนั้นหล่อนก็ตะโกนออกไปว่า “พวกเราต้องการผู้ใหญ่ แต่ถ้าคุณสามารถช่วยทั้งสองคนไว้ได้ก็จะดีมาก แต่ถ้าคุณไม่สามารถช่วยพวกเขาทั้งสองคนได้ งั้นเราก็จะเลือกผู้ใหญ่ เรื่องต่อจากนี้ค่อยว่ากันอีกที ถือว่าบ้านเราไม่มีวาสนากับเด็กคนนี้” ขณะพูดน้ำตาของอันหลงก็ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมา หล่อนหันไปซบที่ไหล่ของกู้จื้อเฉิงแล้วร้องไห้ออกมาอย่างโศกเศร้า
กู้จื้อชิวที่ยืนอยู่ไกลที่สุด เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ หล่อนก็ยกมือขึ้นมาปิดปากและร้องไห้ออกมาอย่างเงียบ ๆ เพราะได้ในเวลานี้หล่อนก็ได้รู้แล้วว่าแม่ของหล่อนนั้นเป็นคนที่ดีเลิศที่สุด แม่ของหล่อนไม่ยอมทิ้งชีวิตของลูกสะใภ้เพราะหลาน และถึงแม้ว่าในอนาคตจางฉุ้ยเหลียนจะไม่สามารถมีลูกได้อีกแล้วก็ไม่เป็นเป็นไร
ตงลี่หวาที่เห็นสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น หล่อนก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตัวเองด้วยความเสียใจ หลังจากที่หมอคนนั้นเดินเข้าไปในห้องผ่าตัดอีกครั้ง โถงทางเดินแห่งนี้ก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นของทุกคนเท่านั้น
ขณะมองร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าห้องผ่าตัดหันหลังให้ทุกคน ตงลี่หวาก็ผลักตัวออกจากเซี่ยจวินแล้วค่อย ๆ คลานไปหาอันหลง
อันหลงมองตงลี่หวาด้วยความประหลาดใจ เห็นเพียงตงลี่หวากำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นและก้มหัวให้อันหลง “แม่สามี ฉันขอบใจเธอมากนะ ขอบใจเธอจริง ๆ ที่รักษาชีวิตลูกสาวของฉันเอาไว้ ถึงชาติหน้าฉันจะต้องเกิดไปเป็นม้าเป็นวัว ฉันก็ต้องตอบแทนบุญคุณที่ใหญ่หลวงนี้ของเธอ ! ”
อันหลงร้องไห้ออกมาราวกับมีฝนตกออกมาจากตาของหล่อน หล่อนเองก็ลงไปนั่งคุกเข่ากับตงลี่หวาเช่นกัน จากนั้นทั้งสองคนก็กอดกันร้องไห้ “ฉันเองก็มีลูกสาวเหมือนกัน ฉันเองก็เคยคลอดลูกมาก่อน แล้วฉันจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง ฉันทำไม่ได้……”
ตงลี่หวาคร่ำครวญ “ลูกสาวของเราเป็นลูกสะใภ้ตระกูลกู้แล้ว ถ้าเธอจะเลือกเก็บเด็กไว้ ฉันก็จะไม่คิดแค้นเธอหรอกนะ นอกจากจะโทษลูกสาวของตัวเองที่โชคร้าย แล้วฉันจะไปโทษใครได้อีก?”
เซี่ยจวินนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ตรงเก้าอี้ข้าง ๆ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเด็กอายุสิบขวบ
กู้จื้อเฉิงเดินมาหาแม่ทั้งสองแล้วประคองพวกเธอขึ้น ราวกับเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนี้ทำให้ครอบครัวทั้งสองได้มาหลอมรวมเข้าด้วยกัน
ไม่รู้ว่าตอนนี้เวลามันได้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่แล้วประตูห้องผ้าตัดก็ถูกคนผลักออกมา พยาบาลคนหนึ่งอุ้มเด็กน้อยเดินมา หล่อนยิ้มและพูดกับทุกคนว่า “เด็กผู้ชาย น้ำหนัก 3.66 กิโลกรัมค่ะ”
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงมองไปที่เด็กคนนั้นแล้ว เขาก็มองผ่านตัวของพยาบาลคนนั้นเข้าไปในห้องผ่าตัด อันหลงรับเด็กมาจากมือของพยาบาล ในตอนนี้ทุกคนต่างก็กรูกันเข้าไปถามกับพยาบาลว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นยังไงบ้าง พยาบาลคนนั้นยิ้มและพูดออกไปว่า “แม่เด็กปลอดภัยดี ตอนนี้คุณหมอกำลังเย็บแผลอยู่ค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงจะออกมาแล้ว!”
ที่แท้พวกเขาก็ตื่นตูมกันไปเอง กู้จื้อเฉิงถอนหายใจและปลดปล่อยความเจ็บปวดที่อยู่ในใจมาตลอดออกมา เมื่อกี้เขาเครียดจนลืมหายใจด้วยซ้ำ จากนั้นก็ส่งยิ้มให้อันหลงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ที่แสนเจ็บปวดหัวใจดังขึ้นมา
ทุกคนตกตะลึงไปชั่วขณะ อันหลงและตงลี่หวาหันมามองหน้ากัน ในตอนนี้พวกเธอทั้งสองคนก็หยุดร้องไห้แล้ว กู้จื้อชิวบ่นพึมพำและชี้นิ้วออกไปพร้อมกับถามว่า “ปู่เซี่ยเป็นอะไรไปคะ?”
ทุกคนหันไปมองตามทิศทางที่นิ้วของกู้จื้อชิวกำลังชี้อยู่ และในตอนนี้พวกเขาก็เห็นเพียงเซี่ยจวินที่กำลังนั่งพิงผนัง เอามือปิดตาและร้องไห้โหออกมาเสียงดังลั่น……
MANGA DISCUSSION