ตอนที่ 175 ท้องแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่หน้าบ้าน จางฉุ้ยเหลียนก็เดินออกไปด้านนอกพร้อมกับเสื้อแจ็คเก็ตผ้าฝ้าย เพิ่งเดินไปถึงโกดังเก็บของ เธอก็รีบเข้าไปต้อนรับตงลี่หวาที่กำลังเปิดประตูเดินเข้ามาทันที
“ไอ้หยา ลูกออกมาทำไม หนาวจะตาย รีบเข้าไปเดี๋ยวนี้เลย ! ” ติงเหมยทำเป็นยืนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ที่สวนของบ้านตัวเอง หล่อนเฝ้ามองดูฉากที่จางฉุ้ยเหลียนโดนผู้เป็นแม่ดันหลังให้กับเข้าไปในบ้านอย่างกับคุณหนูผู้เลอค่า
ด้านหลังของพวกเธอทั้งสองคนก็มีกู้จื้อเฉิงที่กำลังขนสัมภาระใบน้อยใหญ่และของต่าง ๆ เดินตามเข้าไปในบ้าน บนใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ไม่เหมือนกับคนที่ไม่ชอบใจที่แม่ยายมาหาเลยสักนิด เหมือนกับได้เจอกับสิ่งดี ๆ ซะมากกว่า
เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว ตงลี่หวาก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่เข้ามาปะทะหน้า หล่อนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จางฉุ้ยเหลียนพาหล่อนไปที่ห้องนอนของตัวเอง จากนั้นก็ตบเตียงแล้วพูดว่า “ที่นี่อากาศหนาวกว่าบ้านเรามาก แม่คะ แม่มานั่งตรงที่อุ่น ๆ นี่สิคะ ! ”
ขณะที่ตงลี่หวามองไปรอบ ๆ ห้องนอนที่ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและคลี่ยิ้มออกมา “ขอแม่ดูหน่อยนะว่า พวกลูก ๆ แต่งบ้านกันยังไงบ้าง ! ”
หล่อนเดินเข้านอกออกในรอบหนึ่ง แล้วก็คิดว่าบ้านหลังนี้เหมาะกับทั้งสองคนจริง ๆ แต่ว่า…ตงลี่หวาขมวดคิ้ว “ห้องของพวกลูกเล็กไปหน่อยรึเปล่า ลูกน่าจะเอาห้องน้ำนั่นออกไปนะ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ต่อไปพอหลานของแม่โตแล้ว หลานของแม่จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ? ”
บ้านที่จางฉุ้ยเหลียนอยู่ตอนนี้ เป็นบ้านที่มี 1 ห้องนอนและ 1 ห้องโถง การที่หล่อนมาอยู่ที่นี่ก็ยังพอมีที่ให้นอนแก้ขัดไปก่อนได้ แต่หลานของหล่อนล่ะจะทำยังไง ? พวกเขาคงจะไม่ให้หลานของหล่อนนอนกับพ่อแม่ไปตลอดหรอกนะ ?
“ไอ้หยา แม่คะ ! จะให้ลูกแยกห้องไปนอนคนเดียวมันก็ยังเร็วเกินไป อย่างน้อย ๆ สองปีแรกก็ยังต้องอยู่กับหนูไปก่อน” จางฉุ้ยเหลียนทำท่าทางไม่สนใจ ทำให้ตงลี่หวารู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาทันที
พอเห็นกู้จื้อเฉิงเดินออกไปพร้อมกับกล่องอาหาร หล่อนถึงได้พูดกับจางฉุ้ยเหลียนออกไปเบา ๆ “ยัยเด็กโง่นี่ ลูกเอาสมองของตัวเองไปทิ้งไว้ที่ไหนแล้ว บ้านของลูกเล็กขนาดนี้ เด็กก็โตเร็วจะตายไป แค่พริบตาเดียว เดี๋ยวเด็กก็วิ่งจนเต็มลานบ้านแล้ว” จากนั้นหล่อนก็บ่นด้วยเสียงเบา ๆ อีกว่า “ลูกจะให้แม่สามีเลี้ยงลูกให้อย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นไปมองตงลี่หวาด้วยความตกใจ แล้วฉีกยิ้มออกมา “แม่คะ แม่คิดอะไรเนี่ย มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ? หนูจะไม่ยอมให้ใครมาเลี้ยงลูกให้หนูแน่ ๆ ! ” ขณะพูดเธอก็ดึงมือของตงลี่หวามากุมไว้ แล้วพูดกับหล่อนออกไปเบา ๆ ว่า “หนูคิดว่า พ่อสามีของหนูเขาก็ยังทำงานได้อีกหลายปีกว่าที่เขาจะเกษียณ ถึงตอนนี้เขาจะไม่มีอำนาจอะไรมาก แต่เขาก็รู้จักคนมากกว่าพวกเรา หนูเลยอยากให้เขาลองคิดหาทางย้ายให้กู้จื้อเฉิงกลับไป”
ตงลี่หวาขมวดคิ้ว “มันจะทำอย่างนั้นได้หรือ ? การย้ายงานในหน่วยงานของรัฐ มันจะขึ้นอยู่กับคำพูดของคนได้ยังไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้ดีว่าตงลี่หวาเป็นคนหัวโบราณ ที่ยังคิดว่าสังคมเป็นเหมือนในยุคสมัยของพวกเขา การแต่งงานล้วนเป็นสิ่งที่ทางภาครัฐจัดการ เป็นหนึ่งในภารกิจทางการเมือง แต่ตอนนี้มันก็ยุคสมัยไหนกันแล้ว ขอแค่ให้หน่วยงานนั้นมีตำแหน่งว่าง ใครจะย้ายไปอยู่ก็ได้ไม่ใช่รึไง ?
ถึงแม้พ่อตาของเธอจะเป็นแค่เจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องการเกษียณหรือทหารที่ทุพพลภาพ แต่อย่าลืมว่าลูกหลานของผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ทำงานอยู่ในองค์กรต่าง ๆ ขอแค่พวกเขามีใจช่วยย้ายพวกเราสามคนพ่อแม่ลูกกลับไป มันจะเป็นเรื่องยากอะไรล่ะ ? และกู้จื้อเฉิงก็ไม่มีทางที่เขาจะทำงานให้กองทัพไปได้ตลอดชีวิตหรอก ต้องมีสักวันที่เขาจะต้องเปลี่ยนงาน
มันไม่ได้แปลว่ากู้จื้อเฉิงไม่มีความสามารถ แต่เป็นเพราะต้องคิดถึงอนาคต เขาไม่มีการศึกษาและรากฐานทางวัฒนธรรมก็อ่อนแอ พอลองให้เขาเรียนหนังสือ แค่อ่านหนังสือเขาก็รู้สึกง่วงขึ้นมาแล้ว ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย แค่เทียบกับนายทหารที่จบรุ่นเดียวกัน ก็มองเห็นถึงความแตกต่างในบรรดาคนพวกนั้นแล้ว และในอนาคตยังมีนายทหารที่เรียนจบมาจากสถานบันโดยตรงอีกเป็นจำนวนมากด้วย
ถึงแม้จะมีสงครามแต่มันก็เป็นเรื่องของกองทัพ คนไม่มีการศึกษาอย่างกู้จื้อเฉิงจะไปคุยอะไรกับใครได้ เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการทำสงครามอยู่แล้ว
จางฉุ้ยเหลียนเองก็ไม่ได้กังวล ไม่ว่ายังไงการเปลี่ยนงานหรือการโดนปลดประจำการก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาอยู่แล้ว ถึงจะเป็นแบบนั้นมันก็ไม่เป็นไร แต่เธอจะไม่ยอมให้ผู้ชายบื้อ ๆ คนนี้ต้องกลายไปเป็นคนขับแท็กซี่เหมือนชาติที่แล้วอีกแน่ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ อย่างน้อยเธอก็จะเปิดบริษัทโลจิสติกส์เล็ก ๆ และนี่ก็เป็นอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการจัดส่งของแบบเร่งด่วนของการชอปปิงออนไลน์ เช่นเดียวกับหลักการที่กังหันลมผลิตพลังงานพวกนั้นต้องพึ่งพาบริษัทด้านฟิสิกส์
จางฉุ้ยเหลียนเชื่อมั่นและมั่นใจกับอนาคตอย่างเต็มร้อย เธอเลยไม่คิดจะให้ความสำคัญกับบ้านหลังน้อยนี้เท่าไหร่นัก ส่วนความกังวลของตงลี่หวา เธอก็แค่ยิ้มให้เพราะไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่าย
ตงลี่หวาคิดเพียงว่าลูกสาวของหล่อนโง่ หล่อนเลยแอบตัดสินใจเอาเองว่า หล่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วเช่าบ้านสักหลังเพื่อที่ตัวเองจะได้อยู่ดูแลหลาน ๆ ได้
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงซื้ออาหารกลับมา เขาก็ฟังตงลี่หวากินอาหารไปพร้อมกับบ่นจางฉุ้ยเหลียนไปด้วยว่า “ลูกนี่มันไม่ไหวเลยจริง ๆ ท้องมันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย ลูกทำกับข้าวเองไม่ได้เลยรึไง ? ตอนวันฉลองปีใหม่ลูกก็จะไปซื้ออาหารที่โรงอาหารมากินกันหรือ ? ”
กู้จื้อเฉิงอดไม่ได้ที่จะช่วยพูดให้จางฉุ้ยเหลียน เขาคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับคีบอาหารให้ตงลี่หวาแล้วพูดว่า “เธอทำอาหารตลอดนั่นแหละครับ ไม่ได้หยุดงานอะไร ตอนปีใหม่พวกเราก็ยังชวนเพื่อนบ้านหลายคนมากินข้าวที่บ้าน เป็นเพราะในบ้านไม่มีผักอะไรให้ทำอาหารแล้ว ส่วนหน่วยบริการก็ไม่เปิด เพราะอย่างนั้นเราเลยหาซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารไม่ได้จริง ๆ พวกเราสองคนก็ปรึกษาหารือกันแล้วว่า จะซื้ออาหารที่โรงอาหารมากินกัน”
พอตงลี่หวาได้ยินแบบนั้น หล่อนก็หันไปกลอกตาใส่จางฉุ้ยเหลียนทันที “เห็นแม่เป็นคนนอกรึไง ? ที่จะต้องให้พวกเธอมาเลี้ยงอาหารจนเต็มโต๊ะน่ะ หา ? ในโถก็ไม่ได้มีผักดองอยู่หรือ ? และกล่องที่วางอยู่ใต้หน้าต่างก็ไม่ใช่เนื้อแช่แข็งรึไง ? ดีจริง ๆ เลยนะบ้านนี้ ! ”
ถึงปากจะต่อว่าจางฉุ้ยเหลียน แต่ทั้งสองคนก็รู้ดีว่า ตงลี่หวาก็แค่ต่อว่าลูกสาวจอมขี้เกียจต่อหน้าลูกเขยเพียงเท่านั้น แต่ในใจของหล่อนก็ยังเป็นห่วงเป็นใยจางฉุ้ยเหลียนอยู่ดี ไม่อย่างนั้นหล่อนก็คงไม่เดินทางมาไกลขนาดนี้หรอก
หลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนกินข้าวเสร็จ ตงลี่หวาก็ดันตัวทั้งคู่ออกไป ส่วนตัวเองก็วิ่งมาล้างจานในห้องครัว เมื่อถึงเวลานอนในตอนกลางคืน ไม่รู้กู้จื้อเฉิงเอาเตียงพับมาจากไหน เขาเดินเอามันไปกางใกล้ ๆ กับโต๊ะทำงานของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นก็เริ่มปูผ้าและใส่ปลอกหมอนด้วยตัวเอง หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปนอนตรงนั้น ทำให้ตงลี่หวาตกใจในทันที
เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยเดินเข้าไปเพื่อที่จะคุยกับกู้จื้อเฉิง แต่หล่อนกลับโดนกู้จื้อเฉิงไล่ให้กลับเข้าไปในห้องนอน ขณะมองจางฉุ้ยเหลียนที่เปลี่ยนเป็นชุดนอนเสร็จแล้ว ตงลี่หวาก็ยืนตัวสั่นทำหน้าขมขื่น “ลูกพูดมาสิว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน แม่ยายมาแล้ว ก็ไล่ลูกเขยออกไปนอนข้างนอกอย่างนั้นหรือ”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มเขิน ๆ พร้อมอธิบายเบา ๆ ให้ตงลี่หวาฟัง “เขาไม่ได้ออกไปนอนข้างนอกเพราะแม่มาที่นี่หรอกค่ะ”
ด้วยความที่ตงลี่หวาไม่เคยท้องมาก่อน หล่อนเลยไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนี้ หล่อนยังคงยืนทำตัวมึนอยู่ที่เดิมและถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่า “หา ? หมายความว่ายังไง ? ”
“ไอ้หยา คือเขา…. คือเขา….” พอจางฉุ้ยเหลียนเริ่มพูด เธอก็หน้าแดงอย่างกับลูกแอปเปิล “ไอ้หยา ไม่ว่ายังไงพอภรรยาตั้งท้องก็ต้องแยกกันนอนกับสามีทั้งนั้นแหละค่ะ แม่ก็มาได้ถูกเวลาพอดี เขาจะได้ไม่กล้ากลับเข้ามานอนที่ห้องตอนกลางดึกอีก”
ในที่สุดตงลี่หวาก็เข้าใจสักที หน้าแก่ ๆ ของหล่อนก็เริ่มอายจนไม่รู้จะมองไปทางไหนดี ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่เคยมีลูก แต่อยู่มาจนถึงอายุปูนนี้แล้วก็เห็นอะไรมาเยอะ เมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์ในช่วงแรก ๆ พวกเธอจะไม่สามารถมีอะไรกับสามีของตัวเองได้
สองคนนี้ยังเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ตอนกลางคืนเวลานอนด้วยกันย่อมหักห้ามใจได้ยาก ส่วนตัวเองก็มาที่นี่โดยไม่ได้คิดอะไร แต่กลับเหมือนฮองเฮาที่แยกพวกเขาทั้งสองคนออกจากกันไม่มีผิด
ตงลี่หวาสบายใจขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก หล่อนแอบรู้สึกเห็นใจลูกเขยขึ้นมา เลยคิดหาวิธีบำรุงร่างกายของพวกเขาทั้งสองคนทุกวัน อย่าว่าแต่จางฉุ้ยเหลียนที่จะเริ่มกลมขึ้นเลย เพราะแม้แต่กู้จื้อเฉิงก็อ้วนขึ้นถึง 4 กิโลกรัม
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมาถึงเดือนเมษายน อากาศที่เมืองสุ่ยหยวนก็เริ่มดีขึ้นแล้ว หน้าท้องของจางฉุ้ยเหลียนก็เริ่มนูนขึ้น ส่วนติงเหมยท้องโต 8 เดือนแล้ว ตอนนี้หล่อนก็กำลังถือโอกาสที่หิมะละลายแล้วออกไปซื้อข้าว
นี่เป็นข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วบ้านฝั่งตะวันตก แม่ของโจวเผิงเดินทางมาเตรียมตัวดูแลลูกสะใภ้จากบ้านเกิด เนื่องจากติงเหมยท้องได้ 8 เดือนแล้ว โจวเผิงยังงานยุ่งจนหัวหมุน
แต่แม่สามีก็ไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของหล่อน เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงไม่สามารถเอาแต่ใจกับแม่สามีได้ขนาดนั้น ตั้งแต่ติงเหมยเห็นว่าตงลี่หวาดูแลจางฉุ้ยเหลียนยังไง หล่อนก็เริ่มโวยวายให้โจวเผิงเรียกแม่ของเขามาดูแลหล่อนตลอด
แม่เฒ่าโจวไม่ได้ดูแลลูกสะใภ้เป็นคนแรก เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงไม่ได้ดูแลถนุถนอมติงเหมยเหมือนกับที่หล่อนเคยดูแลลูกสะใภ้คนแรกของหล่อน ขนาดแม่ลูกทางสายเลือดยังทะเลาะกัน แล้วแม่สามีกับลูกสะใภ้จะขนาดไหนล่ะ
การทะเลาะกันครั้งแรกของแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ก็ทำให้คนอื่นหมดคำพูดในทันที โจวเผิงรู้สึกโมโหถึงกับไปขออาศัยอยู่บ้านเพื่อนหลายวันเพราะไม่อยากกลับบ้าน
และในตอนนั้นก็เป็นช่วงเดือนมีนาคมที่หิมะกำลังตกหนักพอดี ติงเหมยเลยมีอาการท้องผูกค่อนข้างยาวนาน ยิ่งหล่อนนั่งยอง ๆ ในห้องน้ำรวมมากเท่าไหร่ หล่อนก็ยิ่งรู้สึกขาชามากขึ้นเท่านั้น พอประคองตัวพิงกับผนังได้หล่อนก็ขาสั่นแล้ว เท้าของหล่อนก็ไม่ยอมฟังคำสั่งของหล่อนหลายครั้ง จนหล่อนเกือบจะล้มหลายรอบ ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนยังรู้สึกว่ายิ่งหล่อนนั่งนานมาก ๆ ก้นของตัวเองก็จะโดนลมหนาวพัดจนแทบแข็ง
เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยวิ่งไปถามจางฉุ้ยเหลียน ในใจคิดว่าสาวน้อยบอบบางอย่างเธอจะเป็นเหมือนกับตัวเองรึเปล่า
ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากที่ติงเหมยกลับมาจากบ้านของจางฉุ้ยเหลียน ก็ทำให้หล่อนหัวร้อนยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งยังทำให้แม่สามีโมโหจนตะคอกใส่หล่อนอีกด้วย อารมณ์ประมาณว่าถ้าลูกในท้องของติงเหมยไม่ได้เป็นลูกของลูกชายหล่อน หล่อนก็คงให้ลูกชายของหล่อนหย่าและไล่ให้ติงเหมยออกจากบ้านไปตั้งนานแล้ว
“คนท้องก็ท้องผูกเป็นเรื่องปกติ” จางฉุ้ยเหลียนยื่นหนังสือไปให้กับติงเหมยเล่มหนึ่ง มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับคนท้องเล่มหนา ว่ากันว่าหลังแต่งงานจางฉุ้ยเหลียนก็ซื้อหนังสือแม่และเด็กเฉพาะด้านมาสองสามเล่มหลัง เพื่อเอาไว้อ่านฆ่าเวลาตอนท้อง
“ท้องผูกตอนตั้งครรภ์เป็นเรื่องปกติ แต่เธอจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กไปซะทีเดียวก็ไม่ได้” จางฉุ้ยเหลียนประคองเอวแล้วนั่งลง เธอเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ติงเหมยฟังด้วยรอยยิ้มว่า “กินพวกผักที่มีใยอาหารกับผลไม้เยอะหน่อย แล้วก็กินพวกธัญพืชต่าง ๆ ด้วย อย่างเช่น ขึ้นฉ่าย ต้มหอม กล้วย แอปเปิล และลูกแพร์ ตอนเช้าดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งวันละแก้ว ทำแบบนี้เป็นประจำ หลังตื่นมาฉันก็จะดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งหนึ่งแก้ว แล้วเดี๋ยวประมาณ 08.30 น. ก็สบายท้องแล้ว”
ติงเหมยกัดปากหน้าซีดไร้สีเลือด หล่อนบอกว่าของพวกนี้ตัวเองไม่มีโอกาสได้กิน ผลไม้สด ๆ หรือลูกแพร์หล่อนก็จำไม่ได้แล้ววว่าพวกมันมีรสชาติเป็นยังไง ส่วนกล้วยนั่นหล่อนก็ไม่เคยได้ยินชื่อของมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะจางฉุ้ยเหลียนฝากคนให้ซื้อกลับมาให้เธอลังใหญ่ แล้วแบ่งมาให้หล่อน หล่อนก็คงไม่รู้ว่ายังมีผลไม้แบบนี้อยู่บนโลกด้วย
และในฤดูหนาวแบบนี้ จะไปหาซื้อพวกผักขึ้นฉ่ายหรือว่าต้มหอมมาจากไหน มีแค่ตอนปีใหม่เท่านั้น ที่จะสามารถหาซื้อพวกเกี๊ยวขึ้นฉ่ายได้บ้าง แต่พอยัยแม่สามีตัวดีของหล่อนมาอยู่ที่นี่แล้ว แม่สามีของหล่อนก็เอาแต่ทำกับข้าวจากผักกาดขาว หัวไชเท้า มันฝรั่ง และเต้าหู้ให้หล่อนกินทั้งวัน ไหนเลยจะโชคดีเหมือนอย่างจางฉุ้ยเหลียน ดูหน้าสีเลือดฝาดของเธอนั่นสิ
จางฉุ้ยเหลียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้ตงลี่หวาไปหยิบกล้วยออกมาหวีหนึ่ง แล้วเธอก็ลุกไปเทแบ่งน้ำผึ้งใส่ขวดเล็ก ๆ มาให้กับติงเหมย หลังจากที่เห็นว่าหล่อนเดินออกไปจากบ้านแล้ว ตงลี่หวาก็ถอนหายใจออกมา “เด็กคนนี้น่าสงสารจริง ๆ แม่สามีของเธอก็ไม่เอาใจใส่เธอเลย”
“จะมีสักกี่คนเชียวที่จะได้มีชีวิตดี ๆ แบบลูก ? ” สีหน้าจางฉุ้ยเหลียนไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ชาติที่แล้วก่อนที่เธอจะตั้งครรภ์ เธอก็มีชีวิตไม่ต่างอะไรจากติงเหมยเท่าไหร่นัก อยากกินอะไรก็ซื้อไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลไม้สด ๆ อย่างกล้วยนี่เลย
แต่โชคดีที่ในชาตินี้เธอมีเงินอยู่ในมือแล้ว เพราะอย่างนั้นเธอจึงฝากให้ติงเขอซื้อกล้วยส่งมาให้เธอจากทางใต้ 1 ลัง ไม่อย่างนั้นเธอจะไปหาซื้อผลไม้ล้ำค่าอย่างกล้วยในสถานที่ทุรกันดารแบบนี้ได้จากที่ไหน กู้จื้อเฉิงเองก็เพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก เขายังโง่ล้างมันแล้วกัดมันทั้งเปลือกอีกต่างหาก
ถ้าผู้หญิงไม่จัดการกับเรื่องนี้ให้ดี ปัญหาเรื่องท้องผูกตอนตั้งครรภ์ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถแก้ได้ !
MANGA DISCUSSION