ตอนที่ 174 ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้น
พอเข้าฤดูหนาวแล้วติงเหมยก็มักจะชอบมาพูดคุยและดูโทรทัศน์ที่บ้านของจางฉุ้ยเหลียนบ่อย ๆ ด้วยความที่จางฉุ้ยเหลียนรดน้ำใส่ถ่านหินให้มันมีความชื้นหน่อย มันก็เลยทำให้พวกเธอประหยัดเงินค่าถ่านหินไปได้มาก จางฉุ้ยเหลียนก็อารมณ์ดีไม่ได้ว่าอะไรหล่อน แต่หลังจากที่เธอได้ไปช่วยติงเหมยแปะหน้าต่างในวันนั้น หลังจากวันนั้นติงเหมยก็ไม่มาที่บ้านของจางฉุ้ยเหลียนอีกเลย
ในตอนนี้ติงเหมยก็เห็นแล้วว่าจางฉุ้ยเหลียนต่างจากตัวเองมากแค่ไหน พอไม่สบายใจหล่อนก็คิดว่าหากเพื่อนบ้านไม่เป็นอะไร หล่อนก็อยู่บ้านเบื่อ ๆ ต่อไปดีกว่า
จางฉุ้ยเหลียนมีความสุขกับการอยู่คนเดียว หากไม่จดจ่อกับงานเขียน เธอก็จะยุ่งอยู่กับการดองผักของตัวเอง สนุกกับการอยู่คนเดียว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อน
กู้จื้อเฉิงเองก็รู้จักนิสัยของเธอดี การอยู่บ้านไม่ได้ทำให้เธอต้องเฉาตาย ขณะที่มองไปที่กระดาษตารางงานของเธอบนผนัง ว่าเวลาไหนเธอต้องทำอะไรบ้าง มันก็ดูเคร่งครัดยิ่งกว่าคนที่ทำงานในสำนักงานซะอีก
ในตารางของช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ยังมีการทำเครื่องหมายพิเศษเอาไว้ มันเขียนเอาไว้ว่าวันของครอบครัว เรื่องนี้ทำให้กู้จื้อเฉิงประหลาดมาก ในบ้านมีแค่พวกเขา 2 คน การอยู่ด้วยกันทั้งวันถือเป็นกิจกรรมพิเศษด้วยหรือ ?
ที่แท้เมื่อมาถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ จางฉุ้ยเหลียนก็จะลากกู้จื้อเฉิงให้โทรศัพท์ทางไกลไปหาพ่อกับแม่ และตั้งแต่ที่เซี่ยจวินตามฟู่ซินไปต่างเมือง เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ความคิดของเขาก็เปิดกว้างมากขึ้น หากจางฉุ้ยเหลียนไม่เป็นคนโทรมาหาเขา เวลาที่เขาอยากจะโทรไปหาเธอ มันก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก
เขาเลยบอกจางฉุ้ยเหลียนไปว่า เขาจะโอนเงินไปให้เพื่อให้เธอติดตั้งโทรศัพท์บ้าน เวลาติดต่อกันจะได้สะดวกมากขึ้น เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงให้กู้จื้อเฉิงไปสอบถามกับคนอื่น ๆ ว่าจะสามารถติดตั้งโทรศัพท์บ้านได้ไหม และต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
หลังจากที่ออกไปสอบถามคนอื่นมาแล้ว กู้จื้อเฉิงก็กลับมาบอกจางฉุ้ยเหลียนว่า ถ้าจะติดตั้งโทรศัพท์บ้านต้องใช้เงินทั้งหมด 3,000 หยวน จำนวนเงินที่มากมายนี้ทำให้จางฉุ้ยเหลียนตกตะลึงจนต้องอ้าปากค้าง เธอคิดว่ามันแพงเกินไป
ในช่วงต้นปี 1992 ฟู่ซินก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่เล่นหุ้นอยู่ทางนั้นบอกว่า กำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เพราะอย่างนั้นเขาเลยรีบร้อนพาเซี่ยจวินไปดูที่นั่นทันที ตงลี่หวาไม่สามารถวางใจได้หล่อนเลยโทรศัพท์ไปหาจางฉุ้ยเหลียนบ่อย ๆ
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนจะซื้อหุ้นจริง ๆ รึเปล่า พอคิดว่าในช่วงปี 1990 ก็เป็นช่วงที่พวกแชร์ลูกโซ่กำลังแพร่กระจายพอดี เธอก็ภาวนาให้ทั้งสองคนอย่าโดนคนอื่นหลอก และหวังว่าพวกเขาจะไม่ใช้อารมณ์ชั่ววูบทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีเลย
ขณะที่ปรึกษาหารือกับกู้จื้อเฉิง จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่กล้าพูดสิ่งที่เธอคิดออกมา เธอเพียงแค่บอกเขาไปว่า เธออยากจะไปดูว่ามีโอกาสที่จะสามารถทำเงินได้บ้างไหม กู้จื้อเฉิงรู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนรู้สึกเบื่อมาสองสามเดือนแล้ว อีกทั้งถ้าเธอไปที่นั่นก็ยังมีเซี่ยจวินอยู่ด้วย เพราะอย่างนั้นเขาเลยวางใจ
เขาเลยบอกให้เธอเอาสมุดบัญชีเงินฝากไปด้วย ไม่ว่ายังไงที่นี่เขาก็ไม่มีอะไรที่ต้องใช้จ่ายอยู่แล้ว หลังจากนั้นทั้งสามคนก็นัดเจอกันที่เมืองหลวง อีกทั้งจางฉุ้ยเหลียนก็ตั้งใจไปเยี่ยมกู้จื้อชิวด้วย กู้จื้อชิวให้เงินจางฉุ้ยเหลียนมา 1,000 หยวน บอกว่าให้เป็นค่าเดินทางของเธอ
จางฉุ้ยเหลียนเองก็ไม่รู้ว่ากู้จื้อเฉิงไปพูดกับบ้านแม่สามียังไง แต่เมื่อได้ฟังจากน้ำเสียงของกู้จื้อชิวแล้วมันก็ฟังดูเหมือนว่าหล่อนจะชื่นชมเธอมาก
พอทั้งสามคนไปถึงเซี่ยงไฮ้ตอนนี้มันก็อยู่ในช่วงกลางเดือนมกราคมแล้ว ในเวลานี้ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ก็เปิดขายใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้น ซึ่งมีราคา 30 หยวนต่อหนึ่งใบ และผู้คนก็สามารถซื้อมันได้อย่างไม่จำกัดอีกด้วย ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นนี้มีอายุอยู่ได้ 1 ปี
เพียงแต่ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นนี้ไม่ใช่หุ้น หลังจากที่จ่ายเงินซื้อมันมา 30 หยวนแล้ว ก็อาจจะขอซื้อหุ้นตัวใหม่ไม่ได้ เซี่ยจวินรู้สึกลังเลหน่อย ๆ ไม่อยากให้จางฉุ้ยเหลียนเอาเงินไปเสี่ยง เจ้าสาวมือใหม่อย่างเธอจะอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ไปตลอดก็ไม่ได้ ส่วนกู้จื้อเฉิงก็ได้เงินเดือนแค่ 300 กว่าหยวน เธอไม่ได้ทำงานอาศัยแค่เขียนนิยายก็ถือเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง เซี่ยจวินไม่อยากให้เธอเข้าร่วม เพราะคิดว่ามันเป็นอะไรที่เสี่ยงเกินไป
จางฉุ้ยเหลียนคิดว่านี่ต้องดีกว่าการต่อคิวซื้อหุ้นในทุก ๆ วันแน่นอน ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เธอก็ซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านพร้อมกับฟังวิทยุอยู่บ้านทุกวัน เพราะอย่างนั้นเธอก็เลยรู้ข่าวจากข้างนอกเหมือนกัน เธอเลยไม่ได้กลัวอะไร
สำหรับเงินในบ้านตระกูลกู้ จางฉุ้ยเหลียนก็รู้ว่าส่วนหนึ่งมันเป็นเงินของอันหลง เพราะตระกูลของอันหลงทำธุรกิจมาตลอด แต่พอคนรุ่นเก่าจากไปแล้ว คนรุ่นหลังก็ไม่สนใจคุยกับยัยป้าคนนี้อีกเลย เพราะอย่างนั้นอันหลงจึงไม่ได้เงินปันผล เงินเก็บก็มีน้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่ในเวลานี้ บางทีจางฉุ้ยเหลียนอาจช่วยหาเงินให้พวกเขาได้
“ลูกอย่าซื้อเลย เราเองก็ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น ซื้อหุ้นนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่ได้กำไรได้มากมายเท่าไหร่” ใช่แล้วล่ะ หุ้นบางตัวมีราคาสูงถึง 100 กว่าหยวนต่อหุ้น หากซื้อไปแค่สิบยี่สิบหุ้น มันก็ไม่คุ้มกับการที่เธอเดินทางมาที่เมืองเซี่ยงไฮ้ในครั้งนี้เท่าไหร่นัก
จางฉุ้ยเหลียนเองก็คิดว่าการเดินทางมาที่เมืองเซี่ยงไฮ้ในครั้งนี้มันเสียเปล่าชัด ๆ อย่างมากที่สุดเงินในมือของเซี่ยจวินก็ซื้อหุ้นได้แค่ 50 หุ้นเท่านั้น แม้ว่าหุ้นหนึ่งตัวจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นถึงตัวละ 50 หยวน แต่มันก็ทำให้พวกเขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้านไม่ได้
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนได้อยู่ที่เซี่ยงไฮ้สองสามวัน เธอก็รู้สึกไม่พอใจ เธอคิดว่าสิ่งของที่มีการกำหนดเวลายังไงมันก็ต้องมีประโยชน์ อีกอย่างก่อนที่จะเผชิญหน้ากับวิกฤตทางการเงิน คนจีนก็เก็งกำไรด้วยการเล่นหุ้นกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเมืองใหญ่ ๆ เช่น เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และฮ่องกง
จางฉุ้ยเหลียนสุ่มดูเลขใบสำคัญแสดงสิทธิ์การซื้อหุ้น พวกมันเป็นเลขเรียงทั้งนั้น ผู้ขายบอกว่ามันไม่มีเลขที่ซ้ำกันหรือว่าเป็นของปลอม
จางฉุ้ยเหลียนรู้ความชอบของคนจีนดี พวกเขาชอบเลขมงคล โดยเฉพาะเลขเสือดาวอะไรนั่น ไม่แน่นะว่าหากเธอซื้อเลขพวกนั้นเอาไว้ตอนขายอาจจะได้ราคาดีก็ได้ เวลาที่คนที่มีฐานะร่ำรวยในจีนเจอเลข 666 หรือ 888 อะไรพวกเขานี้ พวกเขาก็จะอยากได้มันราวกับคนเสียสติ
จางฉุ้ยเหลียนกัดฟันซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นมา 100 ใบ มันทำให้เซี่ยจวินโมโหจนตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า เพราะ 100 ใบก็เท่ากับเงินจำนวน 3,000 หยวน
และเงินจำนวนนี้มันก็เท่ากับเงินที่ใช้สำหรับติดตั้งโทรศัพท์บ้านเลยทีเดียว จางฉุ้ยเหลียนถึงกับเหงื่อตก เซี่ยจวินชี้ไปที่ผู้ซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นในห้องโถงพวกนั้น แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ลูกดูสิ คนอื่นเขาซื้อกันแค่ใบสองใบหรือมากสุดก็แค่ 10 ใบ พนักงานก็บอกแล้วว่า ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นใบหนึ่งสามารถซื้อได้ 500 หุ้น ถึง 1,000 หุ้น มันจะยังมีใครโง่ซื้อมาเยอะแยะขนาดนั้นกัน ลูกนี่มันจริง ๆ เลย”
ถึงแม้ว่าเซี่ยจวินจะพูดออกมาแบบนั้น แต่เขาเองก็ซื้อมา 5 ใบ เขารู้ว่าหากเล่นไม่เป็นหุ้นพวกนี้ก็จะทำให้เขาเสียเงินได้เหมือนกัน เขาคิดในใจว่า หากเสีย 2 ใบเขาก็ยังทำเงินได้จาก 3 ใบที่เหลือ
ส่วนทางด้านของฟู่ซิน เขาก็ไม่เหมือนจางฉุ้ยเหลียนที่จะหน้ามืดซื้อทีเดียว 100 ใบ เธอคิดจะกลับไปตงเป่ยแล้วกระตุ้นให้คนอื่นมาซื้อเจ้าสิ่งนี้ด้วยรึไง ? เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นไปมากมายขนาดนั้น เขาก็ถึงกับส่ายหัวเลยทีเดียว อีกทั้งยังบอกว่าการซื้อหุ้นยังทำให้เขาเสี่ยงน้อยกว่าอีก
เขาส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ฟู่ซินและเซี่ยจวินก็ซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นมาคนละ 5 ใบ พอทั้งสามคนซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นเสร็จแล้ว ด้วยความที่เซี่ยจวินโมโหใส่จางฉุ้ยเหลียน ทั้งสามคนเลยไม่มีอารมณ์อยู่เที่ยวชมวิวทิวทัศน์ที่เซี่ยงไฮ้ต่อ พวกเขานั่งรถไฟกลับมาที่ตงเป่ยอีกครั้ง
ในวันฉลองปีใหม่จางฉุ้ยเหลียนก็ได้รับโทรศัพท์จากฟู่ซิน เขาโทรมาบอกเธอว่าใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นจะหมดอายุในวันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ และตอนนี้ที่ตลาดมืดในเซี่ยงไฮ้ก็กำลังเก็งกำไรกันอย่างบ้าคลั่ง บอกว่าตอนนี้เพิ่งผ่านไปได้แค่สองวันราคาก็ขึ้นมาเป็น 50 หยวนต่อหนึ่งใบแล้ว เขารู้ว่าในมือจางฉุ้ยเหลียนมีใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นอยู่ 100 ใบ เพราะอย่างนั้นจึงมีผู้คนมากมายกำลังจ้องอยากจะซื้อมัน
จางฉุ้ยเหลียนรู้หลักการอย่างหนึ่งนั่นก็คือ เธอต้องกักตุนของหายากเอาไว้ เพราะไม่ว่ายังไงใบสำคัญแสดงสิทธิ์ซื้อหุ้นนี่ก็มีอายุ 1 ปี เธอเลยคิดจะรอให้ถึงฤดูร้อนก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
พอตงลี่หวารู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนหมดเงินไปกับการซื้อกระดาษ 100 ใบที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรไป 3,000 หยวน หล่อนก็เอาแต่บ่นไม่หยุดทั้งคืนพร้อมกับทุบไหล่เซี่ยจวินอย่างสิ้นหวัง ด่าว่าทำไมเขาถึงไม่ห้ามเธอ และหล่อนก็กลัวว่าจางฉุ้ยเหลียนกับกู้จื้อเฉิงจะทะเลาะกันเรื่องนี้รึเปล่า เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงรีบเก็บข้าวของแล้วหอบไปที่บ้านตระกูลกู้ทันที
สำหรับเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนกับเซี่ยจวินไปเซี่ยงไฮ้ อันหลงก็ได้บ่นไปสารพัดแล้ว จางฉุ้ยเหลียนบอกกับคนในคนนอกว่าเธอเอาเงินไป 1,000 หยวน แต่จนถึงตอนนี้อันหลงก็ยังไม่รู้เลยว่าเธอเอาเงินไปทำธุรกิจอะไร
ตงลี่หวารู้สึกกังวลว่าความสัมพันธ์ของจางฉุ้ยเหลียนกับแม่สามีจะมีปัญหา ได้แต่พูดว่าหากไม่ไหวจริง ๆ หล่อนจะเอาเงินตัวเองมาชดเชยเงิน 1,000 หยวนนั่นที่จางฉุ้ยเหลียนเอาไปลงทุนให้กับอันหลงเอง แต่เรื่องนี้อันหลงก็ตัดสินใจเด็ดขาดมาก หล่อนบอกว่าในเมื่อจางฉุ้ยเหลียนเป็นลูกสะใภ้ตระกูลกู้แล้ว ไม่ว่าลูกสะใภ้จะทำการค้าได้กำไรหรือขาดทุนหล่อนก็ยอมรับได้ เรื่องนี้ไม่ทำให้จางฉุ้ยเหลียนกลายเป็นคนอื่นหรอก
ตงลี่หวาดีใจกลับมาพูดกับเซี่ยจวิน แต่เซี่ยจวินกลับยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “พูดซะน่าฟังเลยนะ มันก็เป็นเพราะจางฉุ้ยเหลียนลูกสาวของเราท้องแล้วไม่ใช่หรือ หล่อนถึงได้พูดออกมาแบบนี้!”
“ลูกท้องแล้วหรือ ? ลูกท้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ? กี่เดือนแล้ว ? ” ตงลี่หวาตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว และคิดในใจว่าจางฉุ้ยเหลียนนี่ใจกล้าจริง ๆ
เซี่ยจวินเองก็ยังรู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน เพราะตอนที่จางฉุ้ยเหลียนกลับไปถึงสุ่ยหยวนแล้ว เธอก็รู้สึกไม่ดีและยังมีไข้หน่อย ๆ กู้จื้อเฉิงเลยพาเธอไปที่ศูนย์สุขภาพ และก็โชคดีที่หมอคนนั้นรู้ว่าทั้งสองคนเพิ่งแต่งงานกันไม่นาน เขาเลยคิดว่าเธอไม่ได้เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา
หลังจากตรวจร่างกายเสร็จแล้ว ก็พบว่าเธอท้องมาได้ 3 เดือนแล้ว ทั้งแม่และเด็กสุขภาพแข็งแรงทั้งคู่ เพราะอย่างนั้นเธอจึงเริ่มตั้งท้องในเดือนพฤศจิกายน แม้ประจำเดือนของจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ได้มาหลายเดือนแล้ว แต่เธอก็ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะท้อง
พอคิดไปถึงตอนที่ตัวเองใส่อารมณ์กับลูกสาวที่เซี่ยงไฮ้ เซี่ยจวินก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เขาจะบอกกับคนในตระกูลกู้ยังไงล่ะ ?
แต่เขาก็รู้สึกดีใจเช่นกัน เด็กคนนี้มาเกิดได้ถูกเวลาจริง ๆ ด้วยความที่จางฉุ้ยเหลียนใช้เงิน 3,000 หยวนซื้อกระดาษที่ไร้ประโยชน์นั่นไปหลายใบ เพราะอย่างนั้นกู้จื้อเฉิงต้องไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดให้ครอบครัวของเขาฟังแน่ ๆ และตอนนี้ก็ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว พวกเขาทั้งสองครอบครัวก็จะได้มีความสุขร่วมกันเมื่อได้รับข่าวดีนี้
พอได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนตั้งครรภ์ ตงลี่หวาก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป หล่อนรีบวิ่งไปปรึกษากับอันหลงที่บ้านตระกูลกู้อีกครั้ง ถามหล่อนว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ทางฝั่งของอันหลงตอนนี้หล่อนก็มีสามีและลูกสาวที่ต้องดูแล เพราะอย่างนั้นหล่อนก็ไม่สามารถที่จะไปดูแลลูกสะใภ้ตอนนี้ได้อยู่แล้ว
ตงลี่หวาตบมือลงไปบนต้นขา พร้อมกับมือที่กำตั๋วรถไฟเอาไว้แน่น จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “แม่สามี เธอวางใจได้เลย ครั้งนี้ฉันจะไปช่วยดูแลลูกสาวตอนอยู่เดือนเอง จะบำรุงให้หลานออกมาเป็นเด็กตัวอ้วน ๆ ขาว ๆ แน่นอน และให้เธอได้อุ้มหลานที่แข็งแรง ! ”
แม้อันหลงจะไม่ชอบให้ลูกสะใภ้ยังไปเกี่ยวข้องกับบ้านแม่ของตัวเองมากนัก แต่หล่อนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไปดูแลในฐานะคนเป็นแม่ ด้วยความรักที่ตระกูลเซี่ยมีต่อจางฉุ้ยเหลียนแล้ว อาหารที่กินกันตามปกติจะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน และลูกชายของหล่อนก็จะได้มีความสุขตามไปด้วย เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงไม่ได้รู้สึกแย่อะไรขนาดนั้น
กู้เต๋อไห่อยากให้เงินกับตงลี่หวาติดตัวไปสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการแสดงถึงการขอโทษที่ตัวเองไม่ได้ไปในครั้งนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกดีใจกับเรื่องของลูก ๆ
ตงลี่หวาโบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องหรอก ๆ ตอนที่ฉุ้ยเหลียนตามพ่อของเธอไปที่เซี่ยงไฮ้ พวกคุณก็ออกค่าเดินให้เธอ 1,000 หยวนแล้วไม่ใช่หรือ ต่อไปพวกคุณไม่ต้องออกเงินอะไรแล้วล่ะ เรื่องคลอดลูก พวกคุณก็ไม่ต้องกังวล ในส่วนนี้บ้านของเราจะช่วยเอง พวกคุณสองคนยังต้องดูแลเสี่ยวชิว ด้วยความที่เธอยังเด็ก พวกคุณจะมาช่วยเรื่องนี้ไม่ได้มันก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครว่าอะไรพวกคุณหรอก เราสองบ้านก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าเห็นเป็นคนอื่นคนไกลเลย”
หลังจากส่งตงลี่หวาแล้ว อันหลงก็หันไปยิ้มอย่างเยือกเย็นให้กับสามี “ฉันว่าเหมือนเตะหมูเข้าปากหมามากกว่า จางฉุ้ยเหลียนต้องเอาเงินไปเสียกับอะไรมาแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นบ้านเหล่าเซี่ยคงไม่มีท่าทีอ่อนโยนแบบนี้หรอก”
วันที่ 4 เดือนกุมภาพันธ์ เป็นวันเทศกาลตรุษจีน ส่วนวันที่ 8 เดือน กุมภาพันธ์ ตงลี่หวาก็แบกสัมภาระของตัวเองขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปหาลูกสาว หล่อนนำแม่ไก่ 4 ตัว ไก่ดำอีก 4 ตัว และพวกอาหารเสริมบำรุงครรภ์ที่บ้านตระกูลกู้ซื้อให้ออกเดินทางไปที่สุ่ยหยวน
ติงเหมยกับจางฉุ้ยเหลียนตั้งครรภ์ใกล้ ๆ กัน ตอนนี้ติงเหมยตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนแล้ว หน้าท้องของหล่อนก็เริ่มนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด หล่อนสวมเสื้อแจ็คเก็ตบุนวมตัวใหญ่นั่งอยู่ที่สวน มองดูเด็กสองสามคนกำลังเล่นประทัดกัน
หล่อนเห็นผู้บัญชาการกู้ขับรถตรงเข้ามาในเขตที่พักอาศัยมาแต่ไกล พอรถมาหยุดจอดที่หน้าบ้านพวกเขาแล้ว หล่อนก็เห็นว่ามีคุณยายคนหนึ่งลงมาจากรถ พอลองมองดี ๆ แล้ว คุณยายคนนี้ก็เป็นแม่ของจางฉุ้ยเหลียนที่หล่อนเคยเจอตอนที่ขึ้นรถไฟมาที่นี่ครั้งแรกไม่ใช่หรือ ?
“นี่เพิ่งจะท้องได้ 3 เดือน ก็เรียกให้แม่ของตัวเองมาดูแลแล้วอย่างนั้นหรือ ? ” ทำไมเธอถึงได้ทำตัวเป็นคุณหนูขนาดนี้นะ
MANGA DISCUSSION