ตอนที่ 173 แปะหน้าต่าง
เพื่อนบ้านที่มาช่วยจางฉุ้ยเหลียนขุดมันฝรั่งและหัวไชเท้า ต่างก็ได้ผักกลับไปเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่ามันฝรั่งและมันเทศจะมีขนาดเล็กแต่มันก็สามารถกินได้ และถึงแม้ว่าใบของผักกาดขาวจะค่อนข้างแข็งแล้ว แต่มันก็เหมาะที่จะนำไปทำผักดอง และก็โชคดีที่หัวไชเท้าของจางฉุ้ยเหลียนยังไม่แห้งกลวง เมื่อนำไปหั่นผสมกับผักดองแล้ว มันก็ยังให้รสชาติที่กรอบและสดชื่น
ด้วยความที่ติงเหมยตั้งครรภ์แล้ว หล่อนเลยไม่สามารถทำงานได้ จางฉุ้ยเหลียนเองก็ส่งผักบางส่วนไปให้หล่อนหมือนกัน โชคดีที่ทุกคนอารมณ์ดีมาก ทะเลาะกันครั้งหนึ่งก็ไม่ได้แค้นฝังหุ่น เพียงโกรธกันไม่กี่วันก็กลับมาเป็นปกติแล้ว หากมีเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้ก็จำใจต้องปล่อย เพราะหากเบื้องบนสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นสามีก็จะดูไม่ดี ดังนั้นถึงแม้ในใจจะบอกว่าไม่ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าก็ต้องพูดว่าไม่มีอะไร
ผักที่ได้จากฤดูใบไม่ร่วงในพื้นที่ปลูกผักของบ้านตระกูลกู้ไม่ค่อยได้คุณภาพเท่าไหร่นัก เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนเลยต้องออกไปซื้อเพิ่ม โชคดีที่หน่วยบริการสะดวกสบายมาก โกดังเก็บของเล็ก ๆ ในบ้านเลยถูกจางฉุ้ยเหลียนยัดของเข้าไปจนเต็ม ส่วนโกดังเก็บของอีกหลัง กู้จื้อเฉิงเองก็ซื้อถ่านหินมาไว้สำรองใช้ประมาณ 3 ตัน
กู้จื้อเฉิงไม่ใช่คนประเภทที่จะอดใจรอเพื่อที่จะใช้ถ่านหินได้ เมื่อสุ่ยหยวนผ่านเดือนพฤศจิกายนไปแล้ว หิมะก็ตกจนถึงเดือนพฤษภาคม เมื่อถึงตอนนั้นเขาถึงจะหยุดใช้ถ่านหินได้ เพราะอย่างนั้นแล้วถ่านหิน 3 ตันต้องไม่พออย่างแน่นอน น่าเสียดายที่โกดังเก็บของในบ้านไม่ได้ใหญ่อะไรมาก เมื่อเห็นจางฉุ้ยเหลียนฉีดน้ำลงบนถ่านหิน เพื่อให้มันเผาช้าลง เขาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที ราวกับว่าตัวเองไม่ได้เรื่องอย่างไรอย่างนั้น หลังจากที่เขาเข้าไปในห้ามสองสามครั้ง หลังจากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่รดน้ำใส่มันอีก
ลานบ้านของฟ่านจินเฟิ่งที่อยู่ติดกันก็มีกองไม้วางเรียงรายให้เห็นอย่างสะดุดตา ไม้พวกนี้เอาไว้ใช้จุดไฟเผาถ่าน เพียงแต่บ้านเขาจะใช้ช้ากว่าบ้านอื่นหน่อย เพราะสองสามีภรรยาคู่นี้แทบจะไม่จุดไฟทำอะไรเลย ในบ้านอบอุ่นตลอดทั้งวัน แม้แต่เขียนหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นก็ยังไม่รู้สึกเย็นมือ
หลังจากที่ติงเหมยตั้งครรภ์ หล่อนก็มีอาการแพ้ท้องหนักมาก หล่อนกิน ๆ อ้วก ๆ จนถึงขั้นเวียนหัว ทั้งเขตตะวันตกมีแค่ฟ่านจินเฟิ่ง ป้าหยู และจางฉุ้ยเหลียนเท่านั้นที่อยู่บ้านในตอนกลางวัน อีกทั้งโจวเผิงยังมักจะมายืมหนังสือของจางฉุ้ยเหลียนบ่อย ๆ พอพวกเขาได้ไปมาหาสู่กันเช่นนี้แล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองบ้านก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น
ถึงแม้ว่าติงเหมยจะท้องยังไม่ถึง 3 เดือน แต่งานที่ต้องก้มต่ำหรืออยู่บนที่สูงหล่อนก็ไม่สามารถทำได้แล้ว เช่นงานแปะหน้าต่างในตอนนี้ หล่อนก็ต้องมาขอให้จางฉุ้ยเหลียนมาช่วยทำ
หลังจากที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ผู้คนต่างก็มักจะแปะแผ่นกันลมที่หน้าต่างกัน โดยการเกลี่ยกระดาษแปะยาวลงมาถึงตรงกลางหน้าต่าง หลังจากทำเสร็จแล้วก็คลุมทับด้วยแผ่นพลาสติกใสและตอกตะปูรอบ ๆ เพื่อยึดมัน เมื่อทำแบบนี้แล้วก็จะสามารถมองเห็นเงาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ อีกทั้งยังสามารถป้องกันลมหนาวได้อีกด้วย
จางฉุ้ยเหลียนแปะหน้าต่างทั้งสามบานในบ้านเรียบร้อยแล้ว แต่หน้าต่างตรงห้องครัวเธอยังไม่ได้แปะมันแต่อย่างใด เพราะในยุคสมัยนี้ไม่มีเครื่องดูดครัว เวลาทำอาหารยังต้องอาศัยหน้าต่างเพื่อระบายควัน โชคดีที่เตาไฟตั้งอยู่ในครัว เวลาทำอาหารเลยไม่รู้สึกหนาวขนาดนั้น
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนแปะหน้าต่างภายในบ้านทุกบานแล้ว เธอก็เดินเข้าไปตักน้ำล้างมือในห้องครัว เมื่อเดินเข้ามาในห้องนอน เธอก็เห็นติงเหมยกำลังเย็บผ้าห่มให้ลูกอยู่ พอหล่อนเห็นเธอเดินเข้ามา หล่อนก็คว้าเมล็ดแตงโมที่วางอยู่ข้าง ๆ ยื่นมาให้เธอ “พี่สาว กินเมล็ดแตงโมนี่สิ”
จางฉุ้ยเหลียนเช็ดมือ จากนั้นเธอก็ถามออกไปพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล “บ้านของเธอหนาวเกินไปรึเปล่า เธออย่าเสียดายถ่านหินเลยนะ ! ” ติงเหมยก้มหน้าก้มตาเย็บผ้าห่มให้ลูกพร้อมกับพูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เผาทำเตียงอุ่นแล้ว ในห้องนอนไม่หนาวหรอก ขอแค่ไม่ไปห้องโถงก็พอ แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ได้ออกไปอยู่ห้องนั้นอยู่แล้ว”
จางฉุ้ยเหลียนเอื้อมมือไปแตะเครื่องทำความร้อนด้วยความสงสัย แต่มันก็อุ่นดีไม่รู้สึกอะไร ติงเหมยมองเธอแล้วพูดด้วยความอิจฉา “บ้านฉันไม่ได้รวยเหมือนบ้านพี่หนิ ที่เตาผิงจะร้อนถึงขนาดลวกมือ เจ้าถ่านนี่ก็คงแพงมาก ขนาดกินข้าวก็ต้องใช้แป้งข้าวโพดทำแป้งทอด ไม่เหมือนกับบ้านฉัน ใช้ได้แต่ต้นอ้อหรือไม่ก็ต้นข้าวโพดมาเผาตลอดทั้งปี ฉันมีปัญญาจ่ายได้แค่นั่นแหละ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังกินเมล็ดแตงโมไปพักหนึ่ง เธอก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันกลับบ้านก่อนนะ ในบ้านยังมีงานที่ต้องทำอีกเยอะน่ะ”
ติงเหมยยิ้มออกมา จากนั้นหล่อนก็พูดรั้งจางฉุ้ยเหลียนเอาไว้ว่า “พี่ พี่รังเกียจที่บ้านฉันหนาวใช่ไหม ? บ้านพี่มีงานอะไรต้องทำล่ะ ? แล้วอีกนานกว่าจะถึงเวลากินข้าว พี่อย่าเพิ่งรีบไปเลยนะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนคิดในใจว่า ก็ฉันยังมีงานที่ต้องกลับไปทำ จะมานั่งเรื่อยเปื่อยอยู่ที่บ้านของเธอได้ยังไง แต่ถึงแม้ว่าเธอจะคิดแบบนั้น ต่อหน้าเธอกลับยิ้มและพูดออกไปว่า “ฉันอยากดองผักเก็บไว้กินสักหน่อยน่ะ อีกอย่างฉันก็ทำงานทิ้งไว้ด้วย”
ติงเหมยตาเป็นประกายขึ้นมาทันที หล่อนบอกว่าจะขอไปช่วยจางฉุ้ยเหลียนด้วย แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับส่ายหน้าและพูดออกไปว่า “ไม่ต้องหรอก เธอพักอยู่ที่บ้านนี่แหละ จะไปทำงานทำไม ! ”
สุดท้ายอีกฝ่ายก็ตามจางฉุ้ยเหลียนกลับมาที่บ้าน และตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็กำลังนั่งอยู่บนโซฟา เธอหั่นหัวไชเท้าพร้อมกับดูละครเรื่อง (ปรารถนา) ไปด้วย
บนโต๊ะมีเท้าไชเท้าที่ล้างจนสะอาดแล้วหนึ่งกะละมัง ด้านข้างมีเขียงเล็ก ๆ และมีดทำครัวหนึ่งเล่ม ส่วนติงเหมยก็นั่งแทะหัวไชเท้าไปและร้องไห้ไปด้วย “ไอ้หยา พี่ดูสิ เขาแสดงได้ดีมากเลยเนาะ ฉันถึงกับร้องไห้เลย ! ”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา ดึงหัวไชเท้าออกมาจากปากของหล่อนอย่างเซ็ง ๆ “นี่เธอกินเข้าไปเท่าไหร่แล้วเนี่ย เธอกำลังท้องอยู่ไม่ควรกินหัวไชเท้าเยอะขนาดนี้นะ” จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่โทรทัศน์แล้วพูดต่อไปอีกว่า “ละครเรื่องนี้ก็ฉายมาตั้งกี่รอบแล้ว ปีที่แล้วก็ฉายตั้งหลายรอบ เธอกำลังท้องกำลังไส้อยู่ อย่าดูละครที่ทำให้ตัวเองสะเทือนอารมณ์แบบนี้เลย ! ”
ติงเหมยสูดน้ำมูก หล่อนยังคงรู้สึกอาลัยอาวรณ์ จากนั้นหล่อนก็วางหัวไชเท้าที่อยู่ในมือลงและพูดออกไปว่า “ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าหัวไชเท้าเป็นเหมือนโสม ที่ฉันกินก็เพราะอยากจะบำรุงให้ลูกนั่นแหละ” เมื่อหล่อนเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนเหมือนไม่อยากดูละครเรื่องนี้ หล่อนเลยก้มหน้าลงไปถามเธอว่า “งั้นพี่อยากดูเรื่องอะไรล่ะ เหมือนช่องสามจะฉายเรื่อง (ความฝันในหอแดง) นะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนตาเป็นประกายทันที “ดูเรื่องนี้ก็ดีนะ เพราะเรื่องความฝันในหอแดงให้ฉันดูเป็นร้อยรอบฉันก็ยังไม่เบื่อ”
ติงเหมยบุ้ยปาก “ละครเรื่องนั้นมันมีอะไรดีนักหนา น้องหลินก็เอาแต่ร้องไห้ทั้งวัน มีอะไรน่าสนใจกัน สู้ละครเรื่องนี้ก็ไม่ได้”
จางฉุ้ยเหลียนโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ก็ได้ เธอจะดูอะไรก็ดูไปเถอะ ขอแค่อย่ากินหัวไชเท้าของฉันอีกก็พอ” หลังจากพูดจบเธอก็ยกกะละมังหัวไชเท้าไปที่ห้องครัว ติงเหมยเห็นเธอเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปแล้ว หล่อนก็ลอบยิ้มออกมาทันที พร้อมกันนั้นหล่อนก็พูดออกมาเบา ๆ ราวกับเสียงกระซิบว่า “กลัวฉันกินหัวไชเท้าบ้านเธอหมดล่ะสิ ! ”
หลังจากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ยกหัวไชเท้าที่ล้างจนสะอาดดีแล้วออกมาจากห้องครัวอีกครั้ง อีกทั้งเธอยังถือจานลูกพลับแช่แข็งมาอีกด้วย จากนั้นเธอก็วางจานลงไปบนโต๊ะ แล้วพูดกับอีกฝ่ายว่า “เจ้าลูกพลับแช่แข็งนี่ละลายแล้ว แถมยังไม่เย็นมากด้วย เธอกินนี่แทนสิ”
ติงเหมยหยิบลูกพลับขึ้นมาแล้วกัดลงไปหนึ่งคำ ทันใดนั้นน้ำจากผลไม้ที่เข้มข้นก็ไหลเข้าไปในปากหล่อน หล่อนจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมขึ้นมาทันที “อื้อ อร่อยมากจริง ๆ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “ในครัวยังมีลูกแพร์แช่แข็งอยู่ มันเปรี้ยวมาก เธอต้องชอบแน่ ๆ ”
ติงเหมยยิ้มอย่างอาย ๆ “พอฉันท้องแล้ว ฉันก็ชอบกินของเปรี้ยว ๆ เป็นพิเศษ สามีของฉันก็ชอบซื้อลูกแพร์แช่แข็งมาให้บ่อย ๆ วันนี้ฉันก็เพิ่งจะกินหมดไป ยังไม่มีเวลาออกไปซื้อเลย เห้อ ฉันละอยากกินจริง ๆ เลย พี่แค่พูดฉันก็น้ำลายไหลแล้ว”
จางฉุ้ยเหลียนหั่นหัวไชเท้าและพูดออกไปว่า “อา งั้นหรือ ที่หน่วยบริการมีขายตลอดนะ เดี๋ยวพอสามีของเธอเลิกงาน เขาก็ซื้อกลับมาให้เธอนั่นเองแหละ อีกเดี๋ยวเธอก็กินได้แล้ว มันดีมากเลยนะ”
ติงเหมยยิ้มหน้าบาน แต่แล้วต่อจากนั้นหล่อนก็เอนตัวพิงโซฟาและถอนหายใจออกมา “ฉันมีชีวิตเหมือนพี่ที่ไหนกันล่ะ เหล่ากู้สามีของพี่ไม่หวงเงินกับพี่ แต่บ้านของเรายังมีเจ้าตัวน้อยที่ต้องออกมาใช้เงิน เพราะอย่างนั้นเราก็เลยต้องประหยัดเงินกัน ! ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ชอบที่มีคนมาพูดว่าลูกเป็นตัวดูดเงินของพ่อแม่ เพราะอย่างนั้นเธอเลยพูดเปลี่ยนเรื่อง “เธอคิดที่จะไปคลอดลูกที่ไหนหรือ ? แล้วใครจะมาดูแลเธอตอนอยู่ไฟ ? บ้านแม่สามีหรือว่าบ้านแม่ของเธอล่ะ ? ”
พอได้ยินแบบนั้น สีหน้าของติงเหมยก็เปลี่ยนไปทันที หล่อนบุ่ยปากแล้วพูดว่า “ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีใครให้บ้านแม่ของตัวเองมาดูแลตอนอยู่ไฟเลยนะ ฉันคลอดลูกให้ตระกูลโจว เพราะอย่างนั้นแม่สามีก็ต้องมาดูแลฉันสิ”
พอจางฉุ้ยเหลียนได้ยินแบบนั้นก็ไม่พูดต่อ คำพูดที่ว่าพอแต่งงานแล้วแม่สามีก็ควรทำอย่างโน้นอย่างนี้ ในชาตินี้เธอก็ได้ยินมาเยอะแล้ว พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนเงียบไป ติงเหมยก็กวาดสายตามองจางฉุ้ยเหลียนแล้วถามเธอออกไปว่า “พี่เองก็มาอยู่ที่นี่นานแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่เห็นท้องของพี่มันแปลกไปเลยล่ะ ? ตอนกลางคืนพี่ต้องให้เหล่ากู้ของพี่ขยันหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นอยู่ไปวัน ๆ มันจะไม่ได้อะไรขึ้นมา ! ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดประชดกลับไปอย่างไม่แรงแต่ก็ไม่เบาว่า “จะรีบทำไมล่ะ เธอเองก็ไม่ได้มาอยู่ที่นี่เกือบปีแล้วหรือถึงท้อง พวกเราก็เพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นานเท่าไหร่ อีกทั้งพวกเราสองคนก็ยังใช้ชีวิตคู่กันไม่พอเลย”
ขณะมองไปที่ใบหน้าที่แดงก่ำของจางฉุ้ยเหลียน ติงเหมยก็นึกไปถึงฉากที่ผู้บัญชาการกู้ซักผ้าให้จางฉุ้ยเหลียนวันนั้นขึ้นมาได้ ทันใดนั้นเองหล่อนก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาหน่อย ๆ พร้อมกับบ่นพึมพำออกมาว่า “ถ้าพี่ท้อง ผู้บัญชาการกู้จะไม่โอ๋พี่เลยรึไง ! ”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ “เรื่องนั้นไม่ต้องหรอก ขอแค่เขาเข้าใจความลำบากตอนที่ฉันท้องก็พอแล้ว” หลังจากพูดจบเธอก็เงยหน้าไปถามอีกฝ่ายว่า “แล้วเหล่าโจวบ้านเธอล่ะ คงโอ๋เธอเหมือนกันล่ะสิท่า ดูเธอผอมลงไปมากเลยนะ”
ติงเหมยคิดในใจว่า สามีของหล่อนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ทะเลาะกันแล้ว ถ้าจะพูดว่าเขาดูเป็นห่วงเป็นใยก็ยังไม่เห็นเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาก็รู้จักซื้อของอร่อย ๆ กลับมาที่บ้าน
“ฉันอยากกินอะไรเขาก็ซื้อมาให้ เมื่อสองวันก่อนบ้านฉันเพิ่งตุ๋นไก่ไป 1 ตัว เขาไม่กินเลยสักคำ กินแค่มันฝรั่งกับเห็ด” พอคิดไปถึงฉากนี้ ติงเหมยก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที
หลังจากนั่งไปได้สักพักหล่อนก็รู้สึกเมื่อย พอลุกขึ้นหล่อนก็หันไปมองรอบ ๆ เห็นโต๊ะที่อยู่ถัดจากโต๊ะรับประทานอาหาร กรอบรูปบนตู้มีภาพของใครหลายคน ส่วนชั้นล่างของตู้ก็ถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา
หล่อนเดินไปเปิดตู้ด้วยความสงสัย เมื่อเห็นกล่องผ้ามีสไตล์ที่อยู่ด้านใน หล่อนก็หันมาถามจางฉุ้ยเหลียนว่า “พี่ใส่อะไรไว้ในกล่องหรือ ? เหล้าชั้นดีงั้นหรือ ? ”
“อา ? ” จางฉุ้ยเหลียนขานรับ จากนั้นเธอก็หันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังนั่งยอง ๆ จ้องชุดจานชามที่เธอได้มาจากติงเขอ เมื่อเห็นดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงคิดขึ้นมาได้ว่านั่นมันคือชุดจานชามที่เธอไม่เคยเอาออกมาใช้เลย ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เธอเดินเข้าไปหยิบมันมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว ขณะเปิดกล่องเธอก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ฉันได้มันมาตอนแต่งงาน เพื่อนฉันซื้อมันมาให้ฉันจากกว่างโจว เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารจากเมืองจิ่งเต๋อ มันสวยมากเลยนะฉันเลยทำใจใช้มันไม่ลงมาตลอด ! ”
ติงเหมยไม่เข้าใจว่าอะไรคือเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารจากเมืองจิ่งเต๋อ หล่อนรู้แค่ว่าของที่ใช้กินข้าวก็ไม่ได้มีแค่จาน ชาม ตะเกียบ และช้อนรึไง ถึงจะดูดีแต่มันจะดูดีไปได้ถึงขนาดไหนเชียว มันจะสวยจนกลายเป็นดอกไม้ได้เลยอย่างนั้นหรือ ?
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเปิดกล่องออก และเผยให้เห็นจานชามสีทองอร่ามที่อยู่ด้านใน ติงเหมยก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที หล่อนไม่ได้ไม่สบอารมณ์ที่ได้เห็นจานชามของพวกเขา แต่มันเป็นเพราะสิ่งที่หล่อนเห็นมันคือสิ่งที่หล่อนไม่สามารถจับต้องมันได้ตลอดชีวิตนี้ต่างหาก
ติงเหมยเดินกลับไปที่บ้านของตัวเองด้วยความรู้สึกผิดหวังพร้อมกับมือที่ทาบอก พอเข้ามาในบ้านของตัวเอง หล่อนก็สัมผัสได้ทันทีเลยว่าบ้านตัวเองนั้นหนาวกว่าบ้านของคนอื่น หล่อนคิดถึงกระถางดอกไม้อันงดงามบนขอบหน้าต่างที่บ้านของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นก็หันมามองขอบหน้าต่างบ้านของตัวเองที่เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง
ต่อจากนั้นหล่อนก็ใช้อารมณ์โกรธของตัวเองใส่ถ่านหินลงไปในเตา พอได้ยินเสียงเปาะแปะ ๆ ดังมาจากในเตา หล่อนก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกไม่ดีเอ่อล้นขึ้นมาเรื่อย ๆ และหล่อนก็ไม่สามารถกดความรู้สึกนั้นลงไปได้
หล่อนคว้าเอาขวดน้ำส้มสายชูมาแล้วเปิดฝาออก หลังจากจิบมันได้สองครั้ง หล่อนถึงได้กดความรู้สึกนั้นลงไปได้
ขณะมองจานเก่า ๆ ดำ ๆ ในบ้านของตัวเอง และเห็นขวดน้ำส้มสายชูในมือ
ติงเหมยก็รู้สึกร้อนจนเจ็บจมูก ทันใดนั้นหล่อนก็โยนขวดน้ำส้มสายชูลงไปบนพื้นอย่างแรง……
MANGA DISCUSSION