ตอนที่ 169 คืนที่ ยืมที่
หลังจากที่ป้าหยูกินข้าวเย็นเสร็จ หล่อนก็จงใจออกไปยืนที่หน้าบ้านของตัวเอง และชักชวนพวกผู้หญิงหลายคนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้มารวมตัวพูดคุยกันที่หน้าบ้านของตัวเอง ถึงขนาดวิ่งไปลากตัวเพื่อนบ้านสองสามคนที่กำลังว่างงานอยู่ให้มาพูดคุยกันเลยทีเดียว หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แต่หนึ่งในนั้นไม่มีติงเหมยอยู่ เพราะหล่อนจงใจไม่ให้ติงเหมยมาเข้าร่วมด้วย เมื่อเห็นดังนั้น ติงเหมยจึงโวยวายอยู่ในบ้าน และลากโจวเผิงมาฟังที่หล่อนบ่นด้วย “นายดูสิว่า นายยังกล้าพูดว่าฉันเป็นคนก่อเรื่องอีกหรือ นายดูเอาเองเถอะว่าตอนนี้ยัยป้านั่นกำลังทำอะไรอยู่ ? ”
ในขณะนี้โจวเผิงก็กำลังถือเตารีดเพื่อรีดหน้าหนังสือที่โดนติงเหมยทำยับ เมื่อได้ยินคำพูดของหล่อน เขาก็อดไม่ได้ที่ด่าหล่อนออกไปด้วยความเบื่อหน่าย “เธอจะหยุดได้รึยัง เขาไม่เรียกเธอ เธอก็ไม่มีปัญญาออกไปคุยกับคนอื่นรึไง เอาแต่ทำตัวน่ารำคาญใส่ฉันอยู่ในบ้านแบบนี้ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา ? แล้วอีกอย่าง เธอไม่ไปคบกับเขา เธอจะตายรึไง ? ”
ติงเหมยไม่กล้าทะเลาะกับโจวเผิง เพราะไม่กี่วันที่ผ่านมานี้หล่อนก็โดนเขาทำร้ายร่างกายไปหลายครั้งแล้ว เมื่อก่อนถึงพวกเขาสองคนจะต่อปากต่อคำกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับหล่อนเลย แต่ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไป เพราะเขามักจะใช้ความรุนแรงกับหล่อนเสมอ หล่อนโดนโจวเผิงทำร้ายร่างกายหลายครั้งจนรู้สึกผิดหวัง แต่สุดท้ายก็ได้แต่เกลียดตัวเองที่โชคร้ายหาสามีที่รักและทะนุถนอมภรรยาของตัวเองไม่ได้
จางฉุ้ยเหลียนกำลังหอบสัมภาระใบน้อยใหญ่เดินตรงกลับมาที่บ้าน มันหนักจนมือของเธอแดงไปหมด ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้บอกกู้จื้อเฉิงว่าตัวเองจะกลับมาวันไหน เพราะอยากจะเซอร์ไพรส์เขา
แต่เธอก็คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะมาไม่ทันรถโดยสารประจำทาง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังสามารถจ้างรสสามล้อและวิ่งกลับมาที่บ้านด้วยขาของตัวเองได้ และในขณะที่เธอกำลังเดินหอบสัมภาระน้อยใหญ่ของตัวเองอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นจากเขตที่พักอาศัยมาแต่ไกล หลังจากที่เธอก้าวไปข้างหน้าได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็เห็นเหล่าบรรดาผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในบ้านฝั่งตะวันตกและตะวันออกหลายคนกำลังล้อมวงคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่
“ไอ้หยา นี่มันไม่ใช่เจ้าสาวป้ายแดงคนใหม่ของพวกเราหรือ เธอไปไหนมาล่ะนั่น แต่งตัวซะสวยเชียว ! ” มีคนเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามา อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นก็ยังขยิบตาให้กับป้าหยูด้วย
ต่อจากนั้นทุกคนก็หันไปมองจางฉุ้ยเหลียนเป็นตาเดียว ตอนนี้เธอกำลังใส่ชุดกระโปรงสีดำยาว อีกทั้งมันยังเป็นชุดกระโปรงที่มีปกเสื้อสีขาวขนาดใหญ่และไม่มีแขนเสื้ออีกด้วย นั่งจึงทำเห็นแขนขาวเนียนละเอียดของจางฉุ้ยเหลียนได้อย่างชัดเจน
มีบางคนทนดูไม่ได้จึงเริ่มนินทาขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ไอ้หยา หล่อนใส่ชุดอะไรกันเนี่ย หล่อนยังมียางอายอยู่รึเปล่า กล้าโชว์แขนของตัวเองแบบนั้นได้ยังไง”
ซูหย่าซิ่วทนฟังคำพูดนั้นไม่ได้ หล่อนเลยรีบช่วยพูดให้จางฉุ้ยเหลียนทันที “พวกเธอนี่มันจริง ๆ เลยนะ ใส่ชุดแบบนั้นแล้วมันทำไม ? ตอนนี้คนเขาก็ใส่เสื้อผ้าแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ หล่อนซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดมาจากเมืองหลวงเชียวนะ และเสื้อผ้าแบบนี้ก็กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้ด้วย ส่วนแม่บ้านอย่างพวกเราใส่แค่เสื้อคลุมตัวเดียวก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
หลังจากพูดจบหล่อนก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาจางฉุ้ยเหลียนทันที จากนั้นหล่อนก็ตรงเขาไปช่วยเธอถือของ พอเห็นพวกผู้หญิงทั้งหลายที่อยู่ด้านหลังหลายคนทำหน้าไม่สบอารมณ์ ป้าหยูก็ทำเสียงจิ ๆ จ๊ะ ๆ “เป็นที่นิยมอย่างนั้นหรือ ? เปลือยตูดก็ทำได้นี่ ทำไมไม่ถอดกางเกงเดินไปเลยล่ะ”
หลังจากพูดจบหล่อนก็ดึงเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีเหลืองของเสี่ยวหยิงลูกสาวของหล่อนขึ้น แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “เด็กน้อยใส่แบบนี้แหละดีที่สุด จะไปใส่เสื้อผ้าแบบหล่อนทำไม นี่มันเขตที่พักอาศัย ไม่ใช่ร้านคาราโอเกะนะ ! ”
ขณะที่หล่อนพูด จางฉุ้ยเหลียนและซูหย่าซิ่วก็เดินเข้ามา จางฉุ้ยเหลียนจึงยิ้มแล้วกล่าวทักทายทุกคนออกไปว่า “กำลังนั่งพักกันอยู่หรือ ! ”
ฟ่านจินเฟิ่งตอบกลับเธอเป็นคนแรก พร้อมกันนั้นอีกฝ่ายยังหัวเราะเสียงดังลั่น “ไอ้หยา แต่งตัวสวยขนาดนี้ไปไหนมาหรือ หลายวันที่ผ่านมานี้ก็ไม่เห็นเธอเลย”
จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม “อา หนูไปทำธุระที่เมืองหลวงมาน่ะค่ะ พวกคุณพักผ่อนกันเถอะ หนูขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
ขณะพูดเธอก็รับกระเป๋ามาจากซูหย่าซิ่ว และเตรียมตัวจะเดินกลับบ้าน แต่ทันใดนั้นเองจู่ ๆ ป้าหยูก็เดินเข้ามาขวาง อีกฝ่ายหัวเราะและดึงเธอให้อยู่พูดต่อ “เธอจะรีบไปไหนล่ะ ฟ้ายังไม่มืดเลย รีบกลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรให้ทำหรอก ! ” หลังจากพูดจบอีกฝ่ายก็หัวเราะคิกคัก ผู้หญิงหลายคนที่เข้าใจก็จงใจหัวเราะเสียงดังทันที
จางฉุ้ยเหลียนหน้าแดง รีบอธิบายด้วยความเขินอาย “หนูก็แค่แบกของมาเยอะ อีกอย่างหนูก็ไม่ได้อยู่บ้านหลายวัน ไม่รู้ว่าตอนนี้บ้านสกปรกรึเปล่า”
ป้าหยูอยากจะดูว่าจางฉุ้ยเหลียนซื้ออะไรมาบ้าง หล่อนกังวลว่าพออีกฝ่ายกลับบ้านแล้วจะไม่ยอมให้ดู คราวนี้ถ้าหล่อนขอดูต่อหน้าทุกคน ภรรยามือใหม่หน้าบางอย่างจางฉุ้นเหลียนจะต้องรู้สึกไม่ดีและยอมให้หล่อนดูแน่
“เธอไปซื้อของที่เมืองหลวงงั้นหรือ ต้องเป็นของดีแน่เลย เธอซื้ออะไรมาบ้างล่ะ เอามาให้พวกเราดูหน่อยสิ พวกเรายังไม่เคยไปเมืองหลวงกันเลย ! ” จางฉุ้ยเหลียนคาดไม่ถึงว่าป้าหยูจะหน้าด้านขนาดนี้ และยังจับมือเธอไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก
ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงประตูบ้านของตัวเองเปิดออก เมื่อเห็นว่าภรรยาของตัวเองยืนอยู่ที่นี่ กู้จื้อเฉิงก็รีบวิ่งเขามาหาเธอด้วยความดีใจในทันทีและพูดกับเธอว่า “ทำไมตอนที่จะกลับไม่โทรมาบอกฉันก่อนล่ะ ? ฉันจะได้ไปรับเธอ ! เวลานี้ก็ไม่มีรถโดยสารประจำทางแล้ว แล้วนี่เธอกลับมายังไง ? ”
หลังจากพูดจบเขาก็อดไม่ได้ที่จะคว้าของที่อยู่ในมือของจางฉุ้ยเหลียนวางมันลงไปบนพื้น จากนั้นก็ลากจางฉุ้ยเหลียนไปที่บ่อน้ำต่อหน้าต่อตาเหล่าบรรดาหญิงสาวที่กำลังยืนล้อมวงกันอยู่ตรงนี้ เขาตักน้ำขึ้นมา จากนั้นก็ดึงมือเธอไปล้าง
“เธอดูสิถือของมาเยอะขนาดนั้น มือแดงหมดแล้วเห็นไหม ? หลังจากนี้ต่อไปก่อนที่เธอจะกลับ เธอต้องโทรมาบอกฉันก่อนนะ เธอกลับมาเองแบบนี้ไม่เหนื่อยบ้างรึไง ? ”
พอได้ยินกู้จื้อเฉิงบ่นแบบนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กน้อย “ไอ้หยา รู้แล้วน่า ฉันก็แค่กลัวว่ามันจะส่งผลไม่ดีเท่านั้นเอง”
“จะส่งผลอะไรได้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ? ” กู้จื้อเฉิงขมวดคิ้ว หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะออกมาจากกระเป๋า และไม่สนใจว่าจะมีใครกำลังยืนมองพวกเขาอยู่บ้าง เขาก้มหน้าแล้วเริ่มเช็ดมือให้เธออย่างตั้งอกตั้งใจ พวกผู้หญิงหลายคนที่เห็นฉากนี้ต่างรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที ติงเหมยที่กำลังเดินออกมาตักน้ำ หล่อนก็บังเอิญเห็นภาพที่กู้จื้อเฉิงกำลังก้มหน้าเช็ดมือให้ภรรยาของตัวเองอย่างอ่อนโยนพอดี
กู้จื้อเฉิงเดินจับมือของจางฉุ้ยเหลียนไปตลอดทาง จนพวกเขาหายเข้าไปในบ้าน และในขณะที่เขาเดินเข้าไปในบ้าน เขาก็ใช้มือเพียงข้างเดียวถือสัมภาระถุงน้อยใหญ่ของจางฉุ้ยเหลียนไปด้วย หลังจากที่รอให้ทั้งสองคนเดินเขาไปในบ้านและล็อคประตูบ้าน เมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขาทั้งสองแล้ว
ใครบางคนในกลุ่มนั้นถึงได้อุทานออกมาว่า “ไอ้หยา ผู้บัญชาการกู้นี่รักภรรยาจริง ๆ เลยนะ”
“ใช่ไหมล่ะ แค่มือแดงก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ ทำอย่างกับภรรยาของตัวเองสวยตายแหละ น่าหมั่นไส้จริง ๆ ! ” พอฟ่านจินเฟิ่งเห็นฉากนี้เข้า หล่อนก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที เพราะสิ่งที่หล่อนไม่ชอบมากที่สุดก็คือ การที่เห็นคนอื่นได้ดิบได้ดีกว่าตัวเอง
หลี่หยู่ฮวาที่ไม่ได้ปริปากพูดออกมาเลยตั้งแต่ที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ ในเวลานี้หล่อนก็พูดออกไปว่า “เธอเรียนจบวิทยาลัย อีกทั้งยังเพิ่งแต่งงานใหม่ ทั้งสองคนจะรักกันมันก็เป็นเรื่องปกติ”
ฟ่านจินเฟิ่งบุ่ยปากด้วยความไม่ชอบใจ “หึ ! ก็มีแค่คู่รักแต่งงานใหม่เท่านั้นแหละที่ยังมีไฟ พวกเธอคอยดูเถอะรอให้ผ่านไปอีก 2 ปี การที่เป็นนักศึกษาวิทยาลัยหรือว่าไม่ได้เป็นนักศึกษาก็เป็นแค่ของเล่นเท่านั้นแหละ ถึงเวลาจืดจางมันก็จืดจาง จะมีผู้ชายคนไหนบ้างที่จะไม่ทุบตีภรรยาของตัวเอง เหอะ ! ”
ซูหย่าซิ่วกลอกตาไปมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไอ้หยา ถ้าอย่างนั้นสามีที่ไม่ทุบตีฉันก็ไม่เรียกว่าผู้ชายน่ะสิ” หลังจากที่หล่อนพูดจบ หล่อนก็หันไปถามหลี่หยู่ฮวาว่า “สามีของเธอทุบตีเธอไหม ? ”
หลี่หยู่ฮวาส่ายหัวแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ก็ไม่นะ มีผู้ชายไม่กี่คนหรอกที่ชอบทำร้ายภรรยา”
ป้าหยูคลี่ยิ้ม “พวกเธอเพิ่งจะแต่งงานได้ไม่กี่ปีเอง อย่าเพิ่งมั่นใจไปหน่อยเลย สามีภรรยาทะเลาะกันไม่ช้าก็เร็วพวกเธอก็ต้องเจออยู่ดี เพราะตอนนี้พวกเธอยังไม่เจอ ฉันจะบอกอะไรพวกเธอให้นะว่า วันหน้าถ้าทะเลาะกันขึ้นมา พวกเธออย่าได้มานั่งร้องไห้เชียว ! ”
ด้านนอกกำลังพูดจาเหน็บแนมใส่กัน ส่วนจางฉุ้ยเหลียนกลับกำลังสวีทหวานกับกู้จื้อเฉิงอยู่ในบ้าน
อาจเป็นเพราะเพิ่งกลับมาหลังจากหายไปนาน หรือไม่ก็เป็นเพราะพวกเขารักกันก่อนแล้วถึงจะแต่งงาน หรือว่ามันอาจจะเป็นเพราะการเขียนนิยายรักทำให้จางฉุ้ยเหลียนกลายเป็นคนโรแมนติก สรุปก็คือในชาตินี้จางฉุ้ยเหลียนปล่อยความรู้สึกของตัวเองออกมามากกว่าชาติที่แล้วหลายเท่า และเธอยังเข้าใจวิธีแสดงออกมาได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย
กู้จื้อเฉิงพาเธอเดินเข้ามาในบ้าน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะถอดรองเท้าออก เธอก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว นอกจากนี้เธอยังทำตัวออดอ้อน เหมือนเด็กที่ยังไม่หย่านมแม่อีกต่างหาก “สามีสุดที่รัก ฉันคิดถึงพี่จนจะบ้าตายอยู่แล้ว ฮือ ฮือ ! หลังจากนี้ต่อไปฉันก็ไม่อยากออกไปไหนมาไหนคนเดียวอีกแล้ว ! ”
เมื่อได้กลิ่นหอมจากคนตัวเล็กลอยเข้ามาแตะจมูก อีกทั้งยังได้ยินถ้อยคำออดอ้อนของภรรยาแบบนี้ ใจของกู้จื้อเฉิงก็อ่อนระทวยในทันที สองมือโอบเอวเธอไว้ และพูดออกไปด้วยเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยนราวกับหยก “ทำไม เธอคิดถึงฉันหรือ ? ”
หลังจากที่แต่งงานแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เข้าใจหลักเป็นความจริงอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ความรักนั้นต้องอาศัยการแสดงออก ถ้าเธอรักเขาก็ต้องบอกเขา อย่างเช่นการบอกว่า เธอเป็นห่วง คิดถึง และอยากเจอเขามากแค่ไหน อย่าคิดว่าการแสดงออกแบบนี้เป็นเรื่องที่ไร้ยางอาย เหมือนตัวเองเป็นฝ่ายแพ้ ในชาติที่แล้วเธอก็เป็นเหมือนพวกผู้หญิงโง่เขลาข้างนอกพวกนั้นไม่มีผิด ต้องแสดงว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า ไม่สนใจ หรือแม้แต่แสดงท่าทีดูถูกสามี เหมือนการทำแบบนี้จะทำให้ตัวเองดูสูงส่งมาก แค่เหยียบผู้ชายไว้เขาก็จะกลัวตัวเองแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้เธอซ่อนความเป็นผู้หญิงแข็งแกร่งนั้นเอาไว้ กลายเป็นผู้หญิงตัวเล็กต่อหน้าผู้ชายคนนี้ แววตาเต็มไปด้วยความรัก ทำตัวติดกับเขาราวกับว่ากลัวเขาจะหายไปได้ทุกเมื่อ หมั่นเติมเต็มและตอบสนองความเป็นชายของเขา แค่นั้นมันจะเป็นอะไรไปล่ะ ?
หัวใจของกู้จื้อเฉิงละลายกลายเป็นบ่อโคลนจริง ๆ เขาอุ้มเธอมาที่เตียง จากนั้นก็นวดเท้าให้เธอไปและฟังเธอบ่นไป เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้เขาฟัง
“ฉันไปพักอยู่ที่โรงแรม พอตกดึกฉันก็นอนไม่หลับ คิดว่าตอนนี้พี่กำลังทำอะไรอยู่นะ มีอาหารอะไรอร่อย ๆ กินไหม ? จะนอนไม่หลับเหมือนฉันรึเปล่า ? พอผ่านไปพักหนึ่ง ฉันก็คิดว่าเตียงที่ฉันกำลังนอนอยู่ตอนนี้ มีคนมานอนบนเตียงนี้กี่คนแล้วบ้าง เพียงแค่คิดฉันก็รู้สึกรังเกียจจนนอนไม่หลับเลย เช้าวันรุ่งขึ้นฉันก็หอบตาหมีแพนด้าของตัวเองไปคุยกับบรรณาธิการ จากนั้นก็เชิญคนในสำนักพิมพ์มาทานมื้อค่ำด้วยกัน ไอ้หยา สุดท้ายพวกเราก็ไปกินอาหารฝรั่งกัน อาหารพวกนั้นมีอะไรน่ากินนักหนา อาหารก็สุก ๆ ดิบ ๆ เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยกินไม่ลง จากนั้นก็ต้องหิวไปอีกมื้อหนึ่ง”
กู้จื้อเฉิงนวดเท้าให้เธออย่างอ่อนโยน พร้อมถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ฉันเองก็อยากไปเป็นเพื่อนเธอ แต่ฉันไม่มีเวลาและก็ไปไม่ได้ด้วย”
น้ำเสียงนั่นฟังดูเหมือนกำลังขอโทษเธออยู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นความรู้สึกผิดและอยากชดเชยให้ เขาเริ่มขยับขึ้นมาบีบนวดน่องของเธอและพูดออกไปว่า “ต่อไปอย่าใส่รองเท้าส้นสูงอีกนะ เธอดูเท้าของตัวเองสิเป็นตุ่มน้ำแล้วเนี่ย ! น่องก็แข็งไปหมดไม่เจ็บบ้างรึไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเมื่อเห็นว่ากู้จื้อเฉิงดูแลตัวเองแบบนี้ ต่อจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นนั่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คุณสามี ฉันซื้อของมาให้พี่เยอะแยะเลยนะ พี่รีบไปหยิบมันมาดูสิ ! ”
กู้จื้อเฉิงพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบของที่ห้องครัว แต่แล้วเธอก็ไม่เห็นว่าเขาจะเดินกลับเข้ามาในห้องสักที พอจางฉุ้ยเหลียนได้ยินเสียงเขาเปิดฝาถังแล้วตักน้ำ เธอก็รู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังต้มน้ำอาบให้เธออย่างแน่นอน
เธอรู้สึกมีความสุขสุด ๆ จากนั้นก็กระโดดลงจากเตียง เปิดตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบชุดนอนออกมา ขณะเดียวกันกู้จื้อเฉิงก็เปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับถุงต่าง ๆ แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้เปิดถุงของพวกนั้นออกมาดู พวกเขาก็ได้ยินใครบางคนดังขึ้นมาที่หน้าประตูบ้าน “ยังไม่นอนกันใช่ไหม ? งั้นฉันขอเข้าไปหน่อยนะ ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! ”
ทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน ขณะมองคอเสื้อที่เปิดกว้างของจางฉุ้ยเหลียน กู้จื้อเฉิงก็รีบเดินออกไปข้างนอกทันที
ป้าหยูยืนอยู่ตรงทางเดินและมองไปรอบ ๆ พอหล่อนเห็นว่ากู้จื้อเฉิงเดินออกมา หล่อนก็หัวเราะคิกคัก “ไอ้หยา สไตล์การตกแต่งบ้านของพวกเธอนี่ดีจริง ๆ ฉันมาหาภรรยาของเธอน่ะ หล่อนอยู่ในบ้านใช่ไหม ? ”
หลังจากพูดจบหล่อนก็เดินผ่านกู้จื้อเฉิง แล้วเดินตรงเข้าไปที่ห้องนอนทันที เมื่อเห็นดังนั้น กู้จื้อเฉิงก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว
“ไอ้หยา นี่คุณป้าใส่ชุดอะไรคะ ? ชุดนอนอย่างนั้นหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนมักจะเห็นป้าหยูใส่ชุดนี้ตอนอยู่ในบ้าน ตอนให้อาหารเป็ด ตอนปลูกผัก หรือแม้แต่ตอนที่หล่อนทำงานต่าง ๆ หล่อนก็ใส่ แถมตอนนี้หล่อนก็ยังใส่รองเท้าเดินเข้ามาในบ้านของเธออย่างมั่นหน้า และยังเหยียบพื้นห้องนอนที่ทาด้วยสีแดงของเธออีกต่างหาก
ป้าหยูหย่อนตัวลงนั่งบนเตียง ขณะมองเสื้อผ้าที่ดูหลวมโหลงเหลงของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็รู้ได้ในทันทีเลยว่า อีกฝ่ายไม่ได้สวมชุดชั้นใน เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยอดไม่ได้ที่จะพูดแซวเธอออกไป “สามีภรรยานอนด้วยกันแล้วยังต้องใส่อะไรอีกล่ะ ? อีกเดี๋ยวก็ถอดกันหมดแล้ว ! ” หลังจากพูดจบหล่อนก็เข้าไปผลักจางฉุ้ยเหลียนเบา ๆ ทำท่าทางราวกับว่าจางฉุ้ยเหลียนก็เข้าใจที่หล่อนพูดอย่างไรอย่างนั้น
จางฉุ้ยเหลียนรับไม่ได้กับกลิ่นตัวเหม็นเน่าและวิธีการพูดที่ฟังดูเป็นกันเองของอีกฝ่าย เมื่อทนไม่ไหว เธอก็หันหน้าไปสูดอากาศหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหันกลับมายิ้มให้อีกฝ่าย “คุณป้ามีเรื่องอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะค่ะ ! ”
ป้าหยูตีหน้านิ่ง จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง “อา ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ฉันได้ยินมาว่า ตอนนี้ติงเหมยก็เอาพื้นที่ปลูกผักมาคืนให้พวกเธอแล้ว เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยอยากจะมาถามพวกเธอว่า ฤดูใบไม่ร่วงปีนี้พวกเธอจะปลูกผักกันไหม ? ”
MANGA DISCUSSION