ตอนที่ 168 เซ็นสัญญา
ด้วยความที่จางฉุ้ยเหลียนยังเดินทางมาไม่ถึงบ้าน เพราะอย่างนั้นเธอจึงไม่รู้เรื่องที่ว่า ไฟสงครามระหว่างบ้านทั้งสองหลังในฝั่งตะวันตกตอนนี้ใกล้จะเดือดจนถึงหลังคาบ้านแล้ว
แม้ติงเหมยจะอยู่แต่ในบ้านและไม่ได้ยินเรื่องราวภายนอก แต่ก็ยังมีคนมาเล่าให้หล่อนฟังที่บ้านอยู่ดี พอได้ยินว่าคนข้างนอกลือกันอย่างโน้นอย่างนี้ หล่อนก็ทนไม่ได้อีกต่อไป หล่อนจึงรีบไปหาจางฉุ้ยเหลียนเพื่อคุยกันให้ชัดเจนทันที
แต่หล่อนกลับคาดไม่ถึงเลยว่าประตูบ้านของจางฉุ้ยเหลียนจะถูกล็อคอย่างแน่นหนา และหล่อนก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปอยู่ที่ไหน หล่อนพยายามอดทนมาตลอดทั้งวัน จนในที่สุดกู้จื้อเฉิงก็เลิกงานกลับมาที่บ้าน เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงได้รู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้อยู่ที่บ้าน อีกทั้งเธอก็ยังไปทำธุระที่เมืองหลวงอีกด้วย
ในเมื่อจางฉุ้ยเหลียนไม่อยู่บ้าน ติงเหมยเลยคิดว่ายังไงก็ต้องคุยกับกู้จื้อเฉิง จากนั้นหล่อนก็เริ่มระบายความในใจให้กู้จื้อเฉิงฟัง เมื่อมาถึงช่วงสุดท้ายหล่อนก็ยังพูดในเชิงบ่น
“พี่ลองคิดดูสิว่า ถ้าพี่สะใภ้จะไปที่เมืองหลวง เธอก็น่าจะมาบอกกับฉันสักคำ ฉันล่ะเป็นห่วงพวกพี่อยู่ตลอด แม้แต่ฝันก็ยังฝันถึงพวกพี่ อีกอย่างถ้าพี่สะใภ้ไม่อยากได้พื้นที่เพาะปลูกนั่น ฉันก็มีแผนอยู่ในใจอยู่แล้ว ในเมื่อพี่สะใภ้ปลูกผักไม่เป็น ฉันก็จะไม่ใช้พื้นที่เพาะปลูกของพวกพี่ฟรี ๆ แน่นอน พอฉันเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ฉันก็จะช่วยปลูกผักให้พี่สะใภ้เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของพวกพี่ แต่ฉันกลับคิดไม่ถึงเลยว่าคนข้างนอกจะพูดถึงฉันแบบนั้น พี่ว่าฉันควรน้อยใจไหมล่ะ ! ” ติงเหมยทำเป็นสูดน้ำมูก หล่อนไม่ได้บีบน้ำตาออกมาสักหยด แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาแสร้งทำตัวน่าสงสาร
กู้จื้อเฉิงเป็นผู้ชายที่รักภรรยาของตัวเองเป็นที่สุด ขนาดชาติที่แล้วจางฉุ้ยเหลียนทำตัวไม่ดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยืนหยัดอยู่ข้างภรรยาของเขาเสมอ และในชาตินี้ที่จางฉุ้ยเหลียนดีกว่าภรรยาบ้านอื่นเป็นร้อยเท่า เขาเลยรักและหลงเธอยิ่งกว่าเดิม เพราะอย่างนั้นเขาจะทนฟังคนอื่นต่อว่าภรรยาของตัวเองไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะผู้หญิงที่อ้วน เตี้ย ดำ และน่าเกลียดตรงหน้าของเขาคนนี้ ในยุคสมัยนี้ผู้ชายทุกคนก็ตัดสินผู้หญิงจากรูปลักษณ์ภายนอกกันทั้งนั้น ดังนั้นขณะที่เขามองไปที่หล่อน เขาจึงรู้สึกไม่ดีเลยสักนิด
“น้องสาว ก่อนหน้านี้ที่ฉันให้เธอยืมพื้นที่ปลูกผัก ก็เป็นเพราะว่าเธอกับภรรยาของฉันเข้ากันได้ดีตอนอยู่บนรถไฟ และภรรยาของฉันก็เพิ่งจะย้ายมาอยู่ในสถานที่โทรม ๆ แบบนี้ ดังนั้นฉันก็เลยคิดว่าควรดูแลซึ่งกันและกันเอาไว้” กู้จื้อเฉิงนั่งไขว้ขาอยู่บนโซฟาและพูดอธิบายออกมาอย่างช้า ๆ
เมื่อสักครู่นี้ที่ติงเหมยได้ย่างก้าวเข้ามาที่บ้านตระกูลกู้เป็นครั้งแรก หลังจากที่หล่อนได้เห็นการตกแต่งภายในบ้านที่ดูหรูหราเช่นนี้ หล่อนก็รู้สึกตกใจจนไม่กล้านั่ง อีกทั้งยังกล่าวชื่นชมกู้จื้อเฉิงในใจว่าบ้านของเขานั้นต้องมีสติปัญญาและความสามารถกันสุด ๆ
ในเวลานี้เมื่อติงเหมยได้ยินกู้จื้อเฉิงใช้น้ำเสียงของนายทหารมาอบรมสั่งสอนตัวเอง เสียงที่อ่อนโยนและท่าทีที่สุภาพเช่นนั้น ก็ทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที เขาต่างจากสามีของหล่อนที่เอาแต่ตะโกนใส่หล่อน และใช้น้ำเสียงของผู้ชายเผด็จการที่ต้องการให้หล่อนฟังเขาอย่างเดียว
ผู้ชายอายุ 30 ปีก็ควรที่จะเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ ที่มีร่างกายเหมือนชายหนุ่ม แต่มีความน่านับถือเหมือนชายชรา พูดกันตามหลักเหตุผลแล้ว มันก็เหมือนกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านเข้ามาแต่ไม่สูญเสียความสง่างามไป
พอติงเหมยได้ยินกู้จื้อเฉิงพูดอย่างมีเหตุผลเช่นนี้ หล่อนก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หล่อนรีบพยักหน้าเป็นการตอบรับและตอบกลับอย่างเห็นด้วยในทันที
“ถึงภรรยาของฉันจะอายุมากกว่าเธอ แต่ภรรยาของฉันก็ใช้ชีวิตอยู่รั้วในวิทยาลัยมาตลอด อีกทั้งยังเป็นคนที่เรียบง่าย คิดแต่จะสร้างงานเขียนของตัวเองเพียงอย่างเดียว เธอก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ก่อนภรรยาของฉันตั้งครึ่งปี เพราะอย่างนั้นแล้วถ้ามีเรื่องอะไรที่ภรรยาของฉันยังไม่เข้าใจ เธอก็ช่วยชี้แนะภรรยาของฉันหน่อยนะ” เมื่อได้ยินดังนั้นติงเหมยก็ขานรับพร้อมกับยิ้มออกมา จากนั้นหล่อนก็พยักหน้ารัว ๆ เหมือนลูกเจี๊ยบที่กำลังหาอาหารกินที่พื้นไม่มีผิด
แต่ทันใดนั้นจู่ ๆ หล่อนก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เลยรีบหันหน้าไปถามกู้จื้อเฉิงพร้อมกับขมวดคิ้วพูดว่า “ทำไมหรือ ? ”
กู้จื้อเฉิงถอนหายใจออกมา “ที่ฉันอยากจะบอกเธอก็คือ แม้แต่เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในระแวกนี้ ภรรยาของฉันก็ยังรู้จักไม่หมดเลย และปกติแล้วภรรยาของฉันก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกบ่อยนัก เพราะอย่างนั้นข่าวลือพวกนั้นภรรยาของฉันไม่มีทางเป็นคนปล่อยแน่นอน คนที่ทำให้ชื่อเสียงของเธอเสียหาย จะต้องเป็นคนที่ได้ผลประโยชน์หรือไม่ก็คนที่เคยมีเรื่องกับเธอแน่ เธอลองกลับไปคิดให้ดี ๆ นะ เธอก็ฉลาดขนาดนี้ ถึงอย่างไรเธอก็ต้องคิดได้แน่นอน”
ติงเหมยขมวดคิ้วทำหน้ามึน ๆ เพราะไม่เข้าใจเลยเอาแต่จ้องหน้ากู้จื้อเฉิง ตอนแรกหล่อนยังอยากจะถามอะไรอีกหน่อย แต่ทันใดนั้นเองหล่อนก็เห็นกู้จื้อเฉิงยืนขึ้นพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ภรรยาของฉันไม่อยู่บ้าน เธอจะมาเป็นแขกที่บ้านของฉันตามลำพังมันก็ไม่ดี อย่าให้คนอื่นต้องเอาเรื่องนี้ไปพูดเสีย ๆ หาย ๆ อีกเลย เดี๋ยวต่อไปฉันจะเป็นเพื่อนกับครูฝึกโจวไม่ได้อีก”
พอได้ยินคำพูดนี้ ติงเหมยก็ตกใจรีบวิ่งออกไปทันที ขณะวิ่งออกไปจากบ้านตระกูลกู้ หล่อนก็มองไปรอบ ๆ เพราะกังวลว่าจะมีใครมาเห็นหล่อนเข้า สภาพวัวสันหลังหวะแบบนั้น ถ้ามีใครมาเห็นเข้าจะไม่เอาไปพูดต่ออย่างนั้นหรือ ?
พอกลับมาถึงบ้านแล้ว ติงเหมยก็ยกมือขึ้นมาทาบอกของตัวเอง กู้จื้อเฉิงทำให้หล่อนตกใจจนหัวใจของหล่อนเต้นไม่เป็นจังหวะ ต่อจากนั้นหล่อนก็ลองคิดทบทวนคำพูดของเขาอย่างละเอียด ด้วยความที่หล่อนเป็นคนหัวดี หล่อนจึงสามารถนึกถึงคำพูดทุกถ้อยคำของกู้จื้อเฉิงออกมาได้ราวกับการกรอหนังอย่างไรอย่างนั้น
“ใช้ชีวิตอยู่ในวิทยาลัยตลอด ไม่ได้หมายความว่าเธอโง่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่งหรือ” ติงเหมยบ่นพึมพำออกมา หล่อนคิดว่าความเรียบง่ายของจางฉุ้ยเหลียนมันก็เหมือนกับคนที่ใส่หมวกที่มีคำว่าโง่ตัวใหญ่ ๆ แปะเอาไว้ เธอน่าจะกลับไปอยู่ในเมืองเหมือนเดิมนะ เพราะไม่อย่างนั้นนานวันเข้าเธอก็อาจจะไปผิดใจกับคนอย่างป้าหยู และอาจจะโดนยัยป้านั่นกินเข้าไปเป็น ๆ เลยก็ได้
“คิดแต่จะสร้างงานเขียนอย่างเดียวงั้นหรือ ? ” ติงเหมยบ่นกับตัวเอง หล่อนขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย “งานเขียนอะไร ? เธอวาดรูปอย่างนั้นหรือ แต่เธอไม่ได้เป็นครูหรอกหรือ ? พวกมีสมองจะวาดอะไรออกมาได้ล่ะ ? เหอะ ! ก็แค่อ่อยผู้ชายแสแสร้งไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ” สุดท้ายติงเหมยก็ทำให้คำอธิบายของกู้จื้อเฉิงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ขณะเดียวกันหล่อนก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ
“คนที่ทำให้ชื่อเสียงของฉันเสียหาย จะต้องเป็นคนที่ได้ผลประโยชน์หรือไม่ก็คนที่เคยมีเรื่องกับฉัน แล้วคนคนนั้นคือใครล่ะ ? ไอ้หยา ต้องเป็นยัยป้าหยูนั่นแน่ ๆ ใช่แล้วต้องเป็นหล่อนแน่ ๆ ! ” ติงเหมยตบมือลงไปบนหน้าขาของตัวเองอย่างแรงเมื่อคิดขึ้นมาได้ จากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจิกกัดว่า “ยัยป้าสันดานแย่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหล่อนถึงได้คลอดลูกโง่ ๆ แบบนั้นออกมา ! ”
ติงเหมยแทบอยากจะตะโกนประโยคสุดท้ายนั่นออกมาดัง ๆ ราวกับว่าประโยคนั้นสามารถแทงใจดำของป้าหยูได้ และในเวลานี้โจวเผิงก็กำลังยืนดูไก่ตีกันอยู่ในสวนหน้าบ้านของตัวเอง เมื่อเขาก็ได้ยินติงเหมยพูดออกมาแบบนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนทันทีเพื่อดูว่าป้าหยูได้ยินที่หล่อนพูดออกมารึเปล่า แต่หลังจากยืนสังเกตได้พักหนึ่ง เขาก็ไม่เห็นอีกฝ่ายจะออกมา เขาจึงได้โล่งใจแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน
เมื่อเห็นติงเหมยนั่งทำหน้าบูดบึ้งอยู่บนเตียง ในครัวยังไม่มีวี่แววว่าจะก่อไฟทำอาหาร เขาก็ชี้หน้าหล่อนด้วยความโมโหทันที “เธอทำอะไรอยู่ ห๊ะ ? มัวนั่งคิดอะไรอยู่ตรงนั้น ทำไมยังไม่ไปทำกับข้าวอีก ? ”
ติงเหมยกลอกตาไปมาด้วยความโมโห “คิดอะไรล่ะ ? ฉันก็กำลังคิดว่าใครมันเป็นคนปล่อยข่าวลือได้ทุกวี่ทุกวันไงล่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น โจวเผิงก็ขมวดคิ้วและทำท่าทางเบื่อหน่ายเหมือนกับตัวเองรู้มาตั้งนานแล้ว “ใครจะพูดอะไรก็ปล่อยเขาพูดไปสิ มันก็เป็นเพราะเธอไปมีเรื่องกับยัยป้าหยูนั่นเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ใช่รึไง ไอ้หยา เดี๋ยวอีกสองสามวันข่าวลือมันก็เงียบหายไปเองนั่นแหละ จะมัวมานั่งหัวเสียกับเรื่องนี้ทำไม รีบไปทำกับข้าวไป ! ”
ติงเหมยเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ ๆ ในสมองของหล่อนก็มีภาพใบหน้าที่อ่อนโยนของกู้จื้อเฉิงผุดขึ้นมา ในตอนที่เขาพูดกับหล่อนเบา ๆ ว่า “เธอฉลาดขนาดนั้น” ทันใดนั้นหน้าของหล่อนก็แดงขึ้นมาทันที ราวกับก่อนหน้านี้หล่อนวิ่งไปขอรับโทษจากเขามาอย่างไรอย่างนั้น กู้จื้อเฉิงไม่เพียงแต่ไม่พูดว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่ผิดแล้วเท่านั้น แต่เขายังบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีความคิดเรียบง่ายอีกด้วย เพียงเท่านั้นมันก็เห็นชัด ๆ แล้วไม่ใช่หรือว่าเขากำลังปกป้องภรรยาของตัวเองอยู่ ไม่ว่าจะพูดยังไงมันก็ฟังดูมีเหตุผลทั้งนั้น
พอติงเหมยหันกลับมาดูที่สามีของตัวเอง มีคนจะมาเลาะกระดูกสันหลังถึงบ้านแล้ว เขายังมาสั่งสอนหล่อนอย่างไม่รีบร้อนอีก เห้อ ! เกิดเป็นคนเหมือนกันแต่กลับมีชีวิตที่แตกต่าง
ต่อจากนั้นติงเหมยก็เดินไปล้างมะเขือยาวสองสามลูกในห้องครัว แล้วก็เดินออกไปตักเต้าเจี้ยวจากโอ่งข้างนอกมาหนึ่งชาม เมื่อหั่นต้มหอม ขิง กระเทียมเสร็จแล้ว หล่อนก็เทมะเขือยาวลงไปผัดสองสามครั้ง จากนั้นก็เทเต้าเจี้ยวลงไปครึ่งชามแล้วเติมน้ำตาม ต่อมาก็เริ่มล้างแตงกวา ต้นหอม พริก แล้วเปิดฝาหม้ออุ่นหมั่นโถว เสร็จแล้วถึงเดินกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้ง หล่อนย้ายโต๊ะพับมาวางไว้บนเตียง จากนั้นก็วางจานผักดองและตะเกียบลงไป
ขณะมองไปที่ข้าวของในบ้านของตัวเอง หล่อนก็คิดถึงของใช้ดี ๆ ที่บ้านของผู้บัญชาการกู้ขึ้นมา พร้อมกันนั้นหล่อนก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “ไอ้หยา นายว่าบ้านผู้บัญชาการกู้เขาทำมาหากินอะไรกันหรือ ? ทำไมพวกเขาถึงได้ดูอู้ฟู่ขนาดนั้นล่ะ ? ขนาดบนพื้นก็ยังมีโคมไฟระย้า ทำเอาฉันตาลายไปหมด”
โจวเผิงที่กำลังอ่านหนังสือที่ยืมมาจากบ้านตระกูลกู้ เมื่อได้ยินคำพูดของติงเหมย เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที หลังจากเปลี่ยนท่านั่งแล้ว เขาก็พูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเขาไม่ต้องสร้างบ้านอยู่ในเมือง บ้านใหม่ก็อยู่ที่บ้านเดิม แต่ไหนแต่ไรก็อยู่แค่ไม่กี่วัน เก็บเงินไว้เยอะขนาดนั้นก็ไม่ได้เอามาเพื่อใช้อวดรึไง ! ”
ติงเหมยพยักหน้าพร้อมกับย่อตัวนั่งลงไปบนเตียงแล้วถอนหายใจออกมา “ใช่ไหมล่ะ ฉันได้ยินมาว่าบ้านพวกเขาทั้งสองคนอยู่ในเมืองกันทั้งคู่ คนในเมืองมีเงินเดือนกันทั้งนั้น พอแก่ตัวแล้วก็ได้เงินบำนาญ ชีวิตดีกว่าพวกเราเยอะ อย่างพ่อแม่ของนายที่แก่แล้วทำงานไม่ได้ พวกเราก็ยังต้องดูแลพวกเขาเลย ! ”
โจวเผิงไม่เข้าใจคำพูดนี้ เขาเงยหน้าฉีกยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่ใช่แค่ฉันต้องดูแลพ่อแม่แล้วเท่านั้นนะ แต่ยังต้องดูแลเธอด้วย เธอรังเกียจที่ฉันไม่มีปัญญาอย่างนั้นหรือ ถ้าเธอเก่งนักก็ออกไปหาเงินเองสิ ! ”
ติงเหมยหันไปมองที่สามีตาโต “ถ้าเป็นแบบนั้นก็มีคนออกไปทำงานข้างนอกกันเยอะแยะแล้วสิ ถ้าพวกผู้ชายดูแลไม่ไหว ? อีกอย่างข้างนอกมีงานดี ๆ อะไรให้ทำกัน จางฉุ้ยเหลียนเองก็ว่างงานอยู่ที่บ้านไม่ได้ทำอะไรไม่ใช่รึไง เธอเรียนจบถึงระดับวิทยาลัย เธอยังไม่กลัวเลย แล้วฉันจะต้องกลัวอะไร ! ”
โจวเผิงวางหนังสือในมือลง เขาขมวดคิ้วพร้อมกับถามติงเหมยออกไป “ที่คนอื่นเขาไม่ทำงานมันก็เป็นเพราะเขาไม่ชอบงานนั้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความสามารถ งานที่เขาทำเธอทำได้ไหมล่ะ ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ติงเหมยก็ถึงกับเงียบในทันที และเมื่อโจวเผิงเห็นว่าติงเหมยทำท่าทางไม่สบอารมณ์ เขาก็เลยหมดคำพูด จากนั้นเขาก็ตบมือลงไปบนหนังสือแล้วพูดว่า “สมมุตินะว่า ถึงเขาจะไม่ทำงานไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังสามารถสอนหนังสืออยู่ที่บ้านได้ แล้วเธอล่ะทำอย่างเขาได้ไหม ? ”
ติงเหมยเถียงกลับด้วยความโมโหทันที “ฉันก็ปลูกผัก ซักผ้า ทำกับข้าวอยู่บ้านโดยไม่ต้องใช้เงินได้เหมือนกัน มีอย่างที่ไหนเอาแต่แต่งตัวสวยไปวัน ๆ ไร้ประโยชน์”
โจวเผิงเห็นพวกเขาทั้งสองคนเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง เขาเลยได้แต่เค้นเสียง “เหอะ ! ” ออกมา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ หลังจากนั้นไม่นานติงเหมยก็ยกอาหารมาวางที่โต๊ะ เมื่อโจวเผิงเหลือบตาไปมองก็พบว่ามันเป็นมะเขือยาวสีดำ ๆ จานใหญ่อีกแล้ว
เพราะอย่างนั้นเขาเลยไม่อยากอาหารขึ้นมา และนั่งอ่านนิยายของตัวเองต่อไป และบังเอิญเขาก็อ่านไปถึงตอนที่มีปมของโจวปัวทงกับหยูกัวจิ้ง ที่กิมย้งเป็นคนเขียนพอดี นักเขียนเขียนให้บทเฒ่าทารกเหมือนจริงสุด ๆ เพราะอย่างนั้นเขาเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ติงเหมยที่เห็นว่าตัวเองตะโกนเรียกสามีอยู่นานสองนาน แต่โจวเผิงก็ไม่ขยับตัวสักที ในเวลานี้เขายังเอาแต่หัวเราะหนังสือนั่นราวกับคนโง่อีก หล่อนรู้ว่าเขาไปยืมหนังสือเล่มนั้นมาจากชั้นหนังสือที่แน่นเอี๊ยดของจางฉุ้ยเหลียน และเมื่อเห็นบนหน้าปกของหนังสือเล่มนี้เขียนว่ามังกรหยก หล่อนเลยบ่นพึมพำในใจว่า นี่มันไม่ใช่ละครในโทรทัศน์หรอกหรือ
“บอกให้มากินข้าวไม่ได้ยินรึไง ! ” ติงเหมยคว้าหนังสือที่อยู่ในมือของโจวเผิงมาด้วยความโมโห และไม่สนว่ามันเป็นหนังสือที่ยืมมา หล่อนโยนมันลงไปพื้นอย่างแรงในทันที จากนั้นก็ชี้หน้าด่าโจวเผิงออกไปว่า “อ่านมันได้ทั้งวัน ทำอย่างกับว่าตัวเองมีการศึกษามากอย่างนั้นแหละ ถึงแกจะเก่งขนาดไหนก็เรียนไม่ถึงมหาวิทยาลัยหรอก คงได้แต่อ่านหนังสือไร้สาระพวกนี้ไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ รีบมากินข้าวเดี๋ยวนี้เลย ! ”
โจวเผิงที่โดนติงเหมยแย่งหนังสือไป อีกทั้งหล่อนยังโยนมันลงไปพื้นอย่างแรงอีก เพราะอย่างนั้นเขาเลยโมโหขึ้นมา วาดขาออกไปเตะอีกฝ่ายอย่างแรงทันที “ฉันให้เกียรติแกมากไปสินะ เก็บหนังสือนั่นขึ้นมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ! ”
ติงเหมยเบี่ยงตัวหลบเท้าของโจวเผิง แล้วพูดออกไปด้วยความโมโหว่า “เพื่อหนังสือเน่า ๆ เล่มเดียวนั่น แกถึงกับกล้าทำร้ายฉันเลยหรือ ? แกมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายร่างกายฉัน ห๊ะ ? ฉันดูแลหาข้าวหาปลาให้แกกินทุกวัน แกยังกล้าทำร้ายฉันอีกงั้นหรือ ? ”
กู้จื้อเฉิงเดินออกมาจากห้องน้ำ เขาได้ยินเสียงด่ากันเบา ๆ จากข้างนอก เหมือนว่าครูฝึกโจวจะโมโหภรรยาของตัวเองอีกแล้ว เขาเลยได้แต่ส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ และคิดว่าภรรยาของตัวเองนั้นดีที่สุดแล้ว
แต่ภรรยาคนเก่งของเขา จะกลับมาเมื่อไหร่เนี่ย ! เขาคิดถึงเธอจนจะบ้าตายอยู่แล้ว !
MANGA DISCUSSION