ตอนที่ 167 งาน
และเรื่องพื้นที่เพาะปลูกก็คงจะจบลงทั้ง ๆ แบบนี้ เพราะไม่จำเป็นต้องให้บ้านตระกูลกู้ต้องเอ่ยปากทวง ติงเหมยก็เอาพื้นที่เพาะปลูกไปคืนให้พวกเขาแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องราวมันกลับเลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกินจินตนาการของจางฉุ้ยเหลียนเลยก็ว่าได้ เพราะเธอก็คาดไม่ถึงเลยว่า ป้าหยูจะเกลียดติงเหมยเข้าไส้ หลังทำเป็นตีวัวกระทบคราดอยู่สองสามวัน ข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเขตที่อยู่อาศัย
วันนี้จางฉุ้ยเหลียนออกไปซื้อของที่หน่วยบริการ และในขณะที่เธอกำลังเดินผ่านโรงอาหารอยู่นั้น เธอก็โดนใครคนหนึ่งดึงตัวเอาไว้ ที่แท้อีกฝ่ายก็คือพี่จางที่ใคร ๆ เขาร่ำลือกันนั่นเอง พี่จางถามจางฉุ้ยเหลียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “เกิดอะไรขึ้นกับบ้านของเธอกันแน่ ยังไม่ได้เอาพื้นที่เพาะปลูกนั่นคืนมาอีกหรือ ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็คิดในใจว่า ทำไมทุกคนถึงเอาแต่พูดถึงปัญหาเล็ก ๆ ของบ้านเธออยู่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นมันแพร่กระจายไปถึงบ้านทางฝั่งตะวันออกแล้วหรือ แต่ถึงอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ยังยิ้มและตอบกลับไปว่า “บ้านเราคุยกับเขาแล้วค่ะว่าจะให้พวกเขายืม และเราจะใช้พื้นที่เพาะปลูกตอนฤดูใบไม้ผลิปีหน้า”
พี่จางทำหน้าไม่เห็นด้วย “นี่เธอพูดอะไรของเธอ จะไปทำแบบนั้นได้ยังไง เธอไม่เห็นหรือว่าเป็นเพราะพื้นที่เพาะปลูกของบ้านเธอ มันเลยทำให้ยัยป้าหยูกับภรรยาของครูฝึกโจวต้องทะเลาะกันรุนแรงขนาดไหน ? เธอฟังพี่นะ เธอรีบเอาพื้นที่นั่นกลับมาเถอะ เดี๋ยวทุกคนก็หยุดเอง ไม่อย่างนั้นข่าวลือไร้สาระที่แพร่กระจายอยู่ตอนนี้ ต้องทำให้ผู้บัญชาการกู้ของเธอต้องดูแย่แน่ ๆ ”
จางฉุ้ยเหลียนคิดในใจว่าคนที่นี่สมองมีปัญหากันหมดรึไงกันนะ ทำไมถึงชอบทำตัวเป็นกังวลแทนชาวบ้านชาวช่องเขานัก นี่มันก็เป็นเรื่องของบ้านเธอแท้ ๆ แต่ทำไมพวกผู้หญิงทั้งหลายถึงต้องมาสร้างเรื่องปวดหัวให้เธออยู่ได้
จางฉุ้ยเหลียนจึงที่จะอดขมวดคิ้วและถามพี่จางออกไปไม่ได้ “มีข่าวลือไร้สาระแพร่กระจายไปทั่วอย่างนั้นหรือคะ? ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่า พวกผู้หญิงแถวนี้เขากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเลยต้องวิ่งแจ้นมายุ่งเรื่องของคนอื่นรึไง”
พี่จางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นหล่อนก็กระทืบเท้าอย่างขัดใจ เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนเดินออกไปแล้ว หล่อนก็รีบเดินตามไปและพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ฉันเป็นคนอาบน้ำร้อนมาก่อน เพราะอย่างนั้นฉันจึงเข้าใจนิสัยของผู้หญิงพวกนั้นมากกว่าเธอ ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะว่า ตราบใดที่เธอยังไม่เอาพื้นที่เพาะปลูกกลับมา ทั้งสองคนก็จะทะเลาะกันอยู่แบบนั้น เพราะฉะนั้นการที่เธอเอาพื้นที่เพาะปลูกกลับมา ก็คือการทำตัวเป็นคนดี”
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “น่าแปลกจริง ๆ ขนาดพื้นที่เพาะปลูกของฉัน ฉันก็ยังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรเองเลย” หลังจากที่พูดประโยคนี้จบ จางฉุ้ยเหลียนก็หยุดเดิน เธอหันไปจ้องพี่จางแล้วพูดออกไปว่า “ฉันไม่เข้าใจเลยว่า ที่พี่สาวกำลังพูดมาตอนนี้มันหมายความว่ายังไง ยิ่งไปกว่านั้นฉันก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเขาลืออะไรกัน เอาอย่างนี้ดีไหม พี่สาวลองเล่าให้ฉันฟังหน่อย จะได้ทำให้ฉัน ‘เข้าใจอะไรมากขึ้น’ ”
พี่จางพูดด้วยเสียงนุ่มนวลออกไปว่า “ไอ้หยา น้องสาวอย่าเพิ่งโกรธเลยนะ พวกผู้หญิงพวกนั้นก็เป็นแค่ยัยแก่ที่ไม่มีการศึกษาไม่ใช่หรือ ? พวกหล่อนก็แค่เห็นเรื่องวุ่นวายเป็นเรื่องสนุก และรอหัวเราะเยาะเธอ”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้ม สายตาดูถูกและไม่แยแสทำให้สีหน้าของพี่จางดูแย่ขึ้นเรื่อย ๆ “ใครอยากพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไปสิคะ ! สถานที่เน่า ๆ พุ ๆ ในบ้านนอกแบบนี้ พวกเขาก็คงไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไปทำอะไรกัน เพราะอย่างนั้นเลยมานั่งหัวเราะเยาะคนอื่นล่ะสิท่า เหอะ!”
พี่จางได้ฉายาว่าเป็นราชินีของที่นี่มานานนับสิบปีแล้ว มีใครหน้าไหนไม่ให้เกียรติหล่อนบ้างล่ะ ถึงจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่บ้านทางฝั่งตะวันตก พอเวลาที่พวกเธอเห็นหน้าหล่อน พวกเธอก็ต้องเข้ามาทักทายหล่อนก่อน แต่ทำไมน้องใหม่คนนี้ถึงได้ไร้มารยาทขนาดนี้ล่ะ “เหอะ! บอกว่าเป็นนักศึกษาวิทยาลัยอย่างนั้นหรือ …ไร้มารยาทสิ้นดี”
จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้าไปซื้ออาหารในโรงอาหารด้วยความโมโห เมื่อเห็นหลี่หยู่ฮวากำลังทำงานอยู่ เธอก็เข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันหลี่หยู่ฮวาก็เห็นเพื่อนร่วมงานข้างหลังกำลังพูดกระซิบกระซาบกันอยู่ หลังจากคิดถึงคำพูดของสามีแล้ว หล่อนก็ถอดหน้ากากและผ้าก้นเปื้อนออก แล้วพาจางฉุ้ยเหลียนไปคุยกันที่ที่ไม่ค่อยมีคน
“เป็นอะไรไป โอวข่า……” โอวข่าเป็นชื่อของหลี่หยู่ฮวาในภาษาเผ่าเฉาเสี่ยน และชื่อนี้ก็เป็นชื่อที่จางฉุ้ยเหลียนถามกับหลี่หยู่ฮวาทั้งวันด้วยความสงสัย ชื่อเดิมในภาษาเฉาเสี่ยนของหลี่หยู่ฮวาก็คือโอวข่า ต่อมาเป็นเพราะในทะเบียนบ้านต้องเขียนเป็นอักษรจีน แต่คนเฒ่าคนแก่ก็พูดภาษาจีนไม่ได้ พวกเขาเลยต้องวาดเท้าวาดมืออยู่เป็นเวลานาน และเจ้าหน้าที่ที่อยู่ฝ่ายทะเบียนคนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาเลยเขียนคำว่าหลี่หยู่ฮวาลงไป
หยู่ฮวาในภาษาเฉาเสี่ยนก็คือ “โอวข่า” จางฉุ้ยเหลียนประทับใจในตัวหลี่หยู่ฮวาไม่น้อย หล่อนเป็นคนเงียบ ๆ พูดน้อย ไม่ชอบพูดเรื่องหยุมหยิมในบ้าน และเวลาที่หล่อนไปเล่นที่บ้านของเธอ หล่อนก็จะชอบอ่านนิยายบนชั้นหนังสือ ทั้งสองคนต่างก็ชอบอ่านนิยายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นนิยายแนวไหนก็ชอบอ่านทั้งนั้น หลี่หยู่เองก็คิดไม่ถึงเลยว่าในบ้านของจางฉุ้ยเหลียนจะมีหนังสือนิยายชื่อดังระดับโลกเยอะแยะมากมายขนาดนั้น และสิ่งที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือ ทั้งสองคนชอบอ่านนิยายเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ กันสุด ๆ
“มีอะไรหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนถามหลี่หยู่ฮวาออกไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นหลี่หยู่ฮวาก็เล่าข่าวลือที่เหล่าบรรดาเพื่อนร่วมงานของหล่อนพูดกันในช่วงนี้ให้จางฉุ้ยเหลียนฟัง มีบางคนบอกว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นคนเจ้าเล่ห์สุด ๆ แค่พื้นที่เพาะปลูกผืนเดียวก็ทำให้เพื่อนบ้านทั้งสองคนต้องทะเลาะกันได้แล้ว และก็มีบางคนบอกว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นอ่อนแอเกินไป แค่พื้นที่เพาะปลูกของตัวเองก็ยังเอากลับคืนมาไม่ได้ แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุดก็คือ เรื่องที่ติงเหมยหน้าไม่อายรังแกคนอื่น จนเจ้าของพื้นที่เพาะปลูกอย่างจางฉุ้ยเหลียนไม่กล้าไปทวงที่ของตัวเองคืน
พอจางฉุ้ยเหลียนได้ฟังเรื่องราวทุกอย่างจบ เธอกลับไม่โมโหเลยสักนิด เธอคลี่ยิ้มแล้วถามหลี่หยู่ฮวาออกไปว่า “โอวข่า แล้วมีใครที่พูดกันว่าป้าหยูเป็นอย่างโน้นอย่างนี้บ้างไหม ? ”
ดวงตาหลี่หยู่ฮวาเป็นประกาย เมื่อได้ฟังคำถามของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว หล่อนก็เข้าใจได้ในในทันที จากนั้นหล่อนก็ฉีกยิ้มอย่างจนปัญญา “เธอนี่ฉลาดจริง ๆ เลยนะ ฉันล่ะเป็นกังวลอยู่ตั้งนาน”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาเบา ๆ จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “หล่อนอยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้หล่อนทำไปเถอะ สงสัยว่าหล่อนจะว่างจนเพี้ยนไปแล้วจริง ๆ ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่สนใจเรื่องนี้หรอก เพราะเดิมทีเธอก็ไม่คิดจะปลูกผักกาดขาวอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว ด้วยความที่ช่วงนี้เธอก็กำลังปวดหัวอยู่ เพราะทางบรรณาธิการโทรมาบอกให้เธอเดินทางไปที่เมืองหลวงหน่อย เขาอยากจะสรุปร่างนิยายฉบับใหม่กับเธอ และเขาก็อยากจะให้เธอเขียนนิยายเรื่องใหม่สักชุด
ทางด้านติงเขอก็โทรมา หล่อนบอกว่าการค้าทางฝั่งนั้นไปได้ด้วยดีเลยทีเดียว อีกทั้งหล่อนก็ยังถามเธอว่าเธอสามารถติดตั้งโทรศัพท์บ้านได้ไหม เพราะบางทีหล่อนมีเรื่องอยากจะโทรมาปรึกษากับเธอมันก็ลำบากสุด ๆ
จางฉุ้ยเหลียนเองก็คิดที่จะติดตั้งโทรศัพท์บ้านเหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือสถานที่แห่งนี้มันอับสัญญาณเกินไป เธอคิดไปถึงชาติที่แล้วที่ตระกูลจางมีสถานะทางการเงินที่ย่ำแย่มาก เพราะกว่าบ้านของเธอจะติดตั้งโทรศัพท์บ้านได้ก็ปี 1995 หรือ 1996 แล้ว และก็ไม่ต้องคิดเลยว่า ถ้าติดตั้งโทรศัพท์บ้านในตอนนี้มันจะต้องเสียเงินหลายพันหยวนเป็นแน่ เพราะอย่างนั้นเธอถึงต้องรอให้ในหมู่บ้านมีการติดตั้งสายโทรศัพท์ หลังจากนั้นก็จะสามารถติดตั้งโทรศัพท์บ้านได้ทุกหลัง หลังจากปี 1995 เป็นต้นไป จะมีบ้านไหนที่ยังบอกว่าคอมพิวเตอร์เป็นของแปลกใหม่อยู่บ้างล่ะ
ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะได้รู้ถึงความร้ายกาจของปากป้าหยูจากหลี่หยู่ฮวา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอคิดว่าคนแบบนี้ควรปล่อยให้อยู่คนเดียว ชอบทำตัวประจบเอาใจ แต่แล้วก็เมินใส่ เพราะอย่างนั้นถ้าเธอยังไปคบค้าสมาคมกับหล่อนอยู่ต้องมีสักวันที่เธอจะตกเป็นฝ่ายทรมานแน่ ๆ
หลังจากปรึกษาหารือกับกู้จื้อเฉิงแล้ว ท้ายที่สุดจางฉุ้ยเหลียนก็ต้องนั่งรถไฟไปที่เมืองหลวง ตอนนี้ทางหน่วยงานของกู้จื้อเฉิงก็ยังไม่ได้กำหนดงานให้เธอ จะให้ไปเป็นคนขายของที่หน่อยบริการเธอก็ไม่อยากทำ เลยได้แต่หาเงินจากงานเขียน กู้จื้อเฉิงเองก็มีความสุขที่เธอสามารถทำในสิ่งที่เธอชอบได้ที่บ้าน
แม้ว่าการให้จางฉุ้ยเหลียนเดินทางไปที่เมืองหลวงตัวคนเดียวจะเป็นสิ่งที่กู้จื้อเฉิงไม่สบายใจ แต่เขาก็ยังเชื่อในตัวเธอ เพียงแค่เป็นห่วงที่จางฉุ้ยเหลียนต้องอยู่บนรถไฟนานขนาดนั้น เพราะอย่างนั้นเขาเลยไปซื้อผลไม้และไส้กรอกจากร้านที่ขายอยู่ข้างทางมาให้เธอเพื่อเอาไปกินบนรถไฟ
จางฉุ้ยเหลียนซื้อตั๋วที่นั่งแบบนอนเพื่อเดินทางไปที่เมืองหลวง โชคดีที่ในยุคสมัยนี้พวกผู้ชายยังไม่มีกำลังที่จะซื้อตั๋วที่นั่งแบบนอนกัน เพราะอย่างนั้นกู้จื้อเฉิงจึงยอมขูดเลือดตัวเองมาซื้อตั๋วที่นั่งแบบนอนให้กับจางฉุ้ยเหลียน ทั้งตู้นอนจึงมีแค่เธอเพียงคนเดียว พอประตูรถไฟปิดแล้ว เธอก็นำหนังสือเรื่อง (วิมานลอย) ขึ้นมาอ่านอย่างมีความสุข
เธอชอบหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว รวมถึงนักแสดงหญิงที่ชื่อว่าวิเวียน ลีห์ ที่แสดงหนังเรื่อง (Gone with the Wind) ที่เธอเปิดดูครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าหลังจากที่ได้กลับมาเกิดใหม่ จางฉุ้ยเหลียนจะชอบพวกนิยายรักมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็สามารถเขียนนิยายรักดราม่าได้เช่นกัน แต่สิ่งที่เธอชอบอ่านมากที่สุดก็คือหนังสือชื่อดังในประเทศ และเธอก็หมดเงินไปกับการซื้อหนังสือพวกนั้นเยอะมากเลยทีเดียว
และก็มีบางครั้งที่เธอซื้อหนังสือพวกนั้นเยอะเกินไป จนตัวเองต้องปวดใจ แต่พอคิดว่าสิ่งที่ตัวเองซื้อล้วนแล้วแต่เป็นหนังสือชื่อดัง และในอนาคตพอลูกสาวของเธอโตขึ้น หล่อนก็ยังสามารถอ่านพวกมันได้ หนังสือพวกนี้ก็เป็นหนังสือคลาสสิกที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี เพราะอย่างนั้นถึงแม้ว่าเธอจะเสียเงินไปกับมันเป็นจำนวนมาก แต่ก็ถือว่าไม่ขาดทุน
ดังนั้นในชั้นหนังสือที่บ้านก็จะมีหนังสือจากทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น (Tea House) ของเหลาเส้อ (เมืองชายแดน) ของของเสิ่นฉงเหวิน (คืนที่ฝนฟ้าคะนอง) ของเฉาอี่ว์จนถึง (บ้าน) ของปาจิน รวมถึงหนังสือของกิมย้ง กู่หลง และเหลียงหยู่เฉิง ต่อมาหนังสือของพวกเขาก็กลายมาเป็นหนังสือเล่มโปรดที่กู้จื้อเฉิงวางไม่ลงในที่สุด
แม้แต่โจวเผิงสามีของติงเหมยก็ยังมายืมหนังสือที่บ้านของเธอ เขาเป็นแฟนตัวยงของกิมย้งจนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่เอาหนังสือเรื่อง (มังกรหยก) มาคืนเลย
ดังนั้นถึงจะบอกว่าการเดินทางด้วยรถไฟจะใช้เวลานาน แต่สำหรับจางฉุ้ยเหลียนแล้ว เธอกลับไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด เธอเพียงแค่อ่านนิยายอยู่เงียบ ๆ นั่ง ๆ กิน ๆ นอน ๆ ก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว
เมื่อลงมาจากรถไฟแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ไปตามหาโรงแรมเพื่อที่เธอจะได้พักอาศัยตอนที่เธออยู่ในเมืองหลวง และด้วยความที่ครั้งนี้เธอเดินทางมาที่เมืองหลวงแค่คนเดียว เพราะอย่างนั้นเธอจึงไม่สามารถไปพักที่โรงแรมราคาถูกที่เธอเคยพักก่อนหน้านี้ได้ เหตุผลข้อแรกก็คือ เธอไม่รู้ว่าบรรณาธิการของสำนักพิมพ์จะมาไหม และข้อที่สองก็คือ เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง……
การมีห้องน้ำส่วนตัวถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดสำหรับเธอ และสิ่งที่สำคัญสำหรับคนที่เดินทางมาคนเดียวอย่างเธออีกอย่างหนึ่งก็คือ ความปลอดภัย
หลังจัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ใช้โทรศัพท์ในห้องพักโรงแรมโทรไปหาซุนเหย้าเฉิงบรรณาธิการของเธอ จากนั้นทั้งสองคนก็นัดแนะเรื่องเวลากัน และสถานที่ที่พวกเขาทั้งสองจะไปเจอกันก็คือ ที่นั่งสำหรับแขกด้านซ้ายของล็อบบี้โรงแรม
ที่แท้ทางสำนักพิมพ์ไต้หวันก็ชอบสไตล์การเขียนของจางฉุ้ยเหลียนเป็นอย่างมาก เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงอยากเซ็นสัญญากับจางฉุ้ยเหลียน และคนที่จะสามารถติดต่อกับจางฉุ้ยเหลียนได้ก็ย่อมต้องเป็นซุนเหย้าเฉิงอยู่แล้ว หลังจากนั้นซุนเหย้าเฉิงเลยมาคุยกับจางฉุ้ยเหลียน
“ตอนนี้ไม่รู้ว่าเหล่าบรรดาเด็กสาวเป็นอะไรกันไปหมด แม้แต่เรื่องที่ไม่สมจริงแบบนี้ก็ยังอ่านลง” ซุนเหย้าเฉิงบ่นพึมพำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบรสนิยมการอ่านนิยายของสาว ๆ ในยุคสมัยนี้
จางฉุ้ยเหลียนแอบปาดเหงื่อ เธออยากจะบอกเขาออกไปมากว่า ความจริงแล้วเธอก็ไปลอกงานของคนอื่นมาทั้งนั้น และถ้าจะพูดให้ดูดีหน่อยก็คือ เธอได้กลับมาเกิดใหม่พร้อมสูตรโกง และมีญาณที่สามารถทำให้เธอรู้ล่วงหน้าอีกนิดหน่อย
ในบรรดานักเขียนชาวไต้หวันที่เก่าแก่ที่สุดในปี 1990 ก็พอจะมีนักเขียนที่เขียนนิยายข้ามมิติอยู่บ้าง และนิยายข้ามมิติที่เขียนโดยนักเขียนที่ชื่อว่าสีเจวี้ยน หลิงชูเฟิน จัวฉิงเหวิน และคนอื่น ๆ ก็ได้สร้างความฮือฮาให้กับผู้อ่านมากมาย
จางฉุ้ยเหลียนมักจะอ่านหนังสือเหล่านั้นในช่วงเวลาที่เธอว่าง และเธอก็สงสัยมากว่า ทำไมนักเขียนนิยายเหล่านี้ถึงได้รู้อะไรมากมายขนาดนั้น? ยกตัวอย่างเช่น ท่านประธานที่มีฐานะร่ำรวยควรจะนั่งรถหรูยี่ห้ออะไร เพราะถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปศึกษาเรื่องพวกนี้ได้จากที่ไหน
แต่หลังจากที่เธอได้ศึกษาจากเหล่าบรรดานักเขียนเหล่านี้มา เธอก็พบกว่านิยายรักเรื่องสั้นที่เขียนเป็นชุด ๆ นั้นมันสามารถจับใจผู้อ่านได้มากกว่า พออ่านเล่มหนึ่งแล้วก็อยากจะอ่านเล่นต่อ ๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นนิยายสัตว์เทพทั้งสี่ นิยายชุดทิศตะวันออก ประตูตะวันตก วังใต้ หรือบ้านเหนือ ก็ล้วนแล้วแต่เขียนเป็นนิยายชุดทั้งนั้น
ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง ซุนเหย้าเฉิงก็รู้สึกตกใจกับความคิดที่ชาญฉลาดอันของจางฉุ้ยเหลียน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าความคิดของเธอมันจะทำให้เขารู้สึกเซอร์ไพรส์ได้มากขนาดนี้ เดิมทีเขากะว่าจะให้เธอเขียนนิยายชุดสองเล่มหรือไม่ก็สี่เล่มเท่านั้น แต่เธอกลับเสนอว่าเธอจะเขียนนิยายทั้งหมด 24 เล่ม แบ่งออกเป็น 12 นักษัตร และดอกไม้ 12 เดือน
“ถ้าหากว่าเธอเอาต้นฉบับพวกนี้ส่งมาทางไปรษณีย์ มันก็จะสิ้นเปลืองมากเลยนะ” ซุนเหย้าเฉิงต้องการที่จะบอกว่า ถ้าหากว่าจางฉุ้ยเหลียนส่งต้นฉบับพวกนี้มาทางไปรษณีย์ มันก็มีโอกาสที่ชิ้นงานของเธอจะถูกขโมยไปได้ง่าย เพราะสิ่งที่จะหายไปมันไม่ใช่แค่ต้นฉบับ แต่มันเป็นความลับของชิ้นงานด้วย
จางฉุ้ยเหลียนคิดในใจว่า ฉันเองก็อยากจะซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่องหนึ่งเหมือนกัน แล้วฉันก็จะส่งต้นฉบับไปให้คุณทางโปรแกรม QQ แต่ปัญหาก็คือในยุคสมัยนี้คุณจะให้ฉันไปหาคอมพิวเตอร์มาจากไหน และโปรแกรม QQ ก็ยังไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาด้วย อีกทั้งตัวฉันเองก็ไม่มีความสามารถขนาดนั้นเช่นกัน
แต่ท้ายที่สุดทั้งสองคนก็ปรึกษาหารือกันแล้วว่า ถ้าหากจางฉุ้ยเหลียนเขียนต้นฉบับเสร็จแล้ว ถ้าเขาไม่ไปรับต้นฉบับจากเธอด้วยตัวเอง จางฉุ้ยเหลียนก็จะเป็นคนเอามันมาให้เขาที่นี่เอง และค่าใช้จ่ายในส่วนของการเดินทาง ทางสำนักพิมพ์ก็จะเป็นผู้รับผิดชอบ
ในระหว่างทางกลับบ้าน จางฉุ้ยเหลียนก็ใช้มือลูบไปบนกระเป๋าที่มีกระดาษสัญญาที่ได้เซ็นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้เธอก็ได้กลับบ้านอย่างสบายใจ เมื่อมีสัญญานี้อยู่ก็ถือว่ามีใบรับประกันแล้วว่าเธอจะมีงานทำ และตอนนี้เธอก็สามารถอยู่บ้านได้อย่างมีความสุขแล้ว และไม่ต้องคิดอีกว่าเธอจะได้ออกไปทำงานหาเงินเมื่อไหร่
MANGA DISCUSSION