ตอนที่ 162 แผนการสกปรก
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็คิดในใจว่า ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ แม้จะรู้สึกขอบคุณในความมีน้ำใจของป้าหยู แต่เธอก็ยังสงสัยจุดประสงค์ของป้าคนนี้อยู่ไม่น้อย อาจจะไม่ถึงกับมีความคิดที่ชั่วร้ายอะไร แต่หล่อนก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องทำท่าทางกระตือรือร้นขนาดนั้นเลย
“หนูไม่รู้หรอกค่ะ บ้านหนูมีพื้นที่ปลูกผักด้วยหรือคะ ? ” ท่าทางตกใจของจางฉุ้ยเหลียนทำให้ป้าหยูรู้สึกดีสุด ๆ หล่อนพยักหน้ารัว ๆ ในทันที “พวกเรามีพื้นที่ปลูกผักของตัวเองทุกบ้านนั่นแหละ ตรงข้ามประตูนั่นก็ใช่แล้ว ฝั่งเรามีคนน้อยกว่าบ้านฝั่งตะวันออก คนอื่นเขามีเนื้อที่ปลูกผักบ้านละ 1 ไร่ แต่ทางฝั่งของเรามีเนื้อปลูกผักบ้านละ 2 ไร่”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้สนใจว่าทำไมติงเหมยถึงมาปลูกผักในที่ของตัวเอง เธอกำลังสงสัยว่าพื้นที่ระหว่างบ้านที่อยู่ติดกันก็มีพื้นที่สาธารณะ บางทีมันอาจจะเป็นที่ปลูกผักได้ แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่หล่อนพูด แล้วพื้นที่ระหว่างบ้านใครจะเป็นคนปลูกล่ะ ?
“ยัยจางที่บ้านอยู่ทางฝั่งตะวันตก ชอบทำตัวอย่างกับนายหญิงใหญ่ทุกวัน แล้วอย่างนี้ใครเขาจะไปเอาชนะหล่อนได้ล่ะ ! ” ป้าหยูกลอกตาไป เบะปากและพูดนินทาออกมาสั้น ๆ พอเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้รู้สึกโมโห หล่อนก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า “เธอกับติงเหมยก็เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน อีกฝ่ายมาปลูกผักในพื้นที่ของเธอ แต่เธอกลับไม่รู้เรื่องเลยเนี่ยนะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้ม “เหล่ากู้อาจจะรู้เรื่องนี้ก็ได้ค่ะ พอเขากลับมาแล้วหนูจะลองถามเขาดูอีกที ตอนนี้ก็เดือนสิงหาคมแล้ว ถึงหนูจะอยากได้พื้นที่เพาะปลูกนั่น มันก็คงจะดูไม่ดีเท่าไหร่นัก เดี๋ยวพอถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าหล่อนก็คงจะคืนให้หนูเองนั่นแหละค่ะ หนูเองก็เป็นเจ้าสาวมือใหม่ที่เพิ่งย้ายมา ไม่มีเรื่องกับคนอื่นก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุด”
ป้าหยูตาโต หล่อนผลักจางฉุ้ยเหลียนเบา ๆ และทำท่าทางดุด่าด้วยความหวังดี “เธอนี่เป็นคุณหนูที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยจริง ๆ นะ ยังจะรอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าอีกหรือ แค่พริบตาเดียวเดี๋ยวผักที่แปลงก็สุกหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วฝักยาว ฝักทอง พริกหยวก มะเขือยาวตอนนี้ก็โตเต็มที่แล้ว แค่เก็บ ๆ แล้วปลูกผักกาดขาว หัวไชเท้า ต้นหอม ก็ใช้เวลาแค่สองวันเอง เธอยังไม่รีบไปทวงกลับมาอีก ยังจะรออะไรอีกล่ะ?”
จางฉุ้ยเหลียนเพิ่งจะรู้ว่ามีเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย เธอเลยพยักหน้ารับทันที จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเขินอาย “หนูเองก็ปลูกผักไม่ค่อยเก่ง คิดว่ามันคงจะยุ่งยาก”
ป้าหยูเงยหน้าแล้วหัวเราะดังลั่น “ยัยเด็กคนนี้นี่ ตลกจริง ๆ เรียนวิทยาลัยก็ยังเรียนมาแล้ว แค่ปลูกผักมันจะไปยากอะไรล่ะ ? ” หลังจากพูดจบดวงตาของหล่อนก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย “เอาแบบนี้ไหม ฉันช่วยเธอปลูกดีไหมล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนรีบโบกมือไปมาอย่างปฏิเสธทันที “จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะคะ หนูจะไปรบกวนคุณป้าได้ยังไง ไม่ดีหรอกค่ะ แล้วอีกอย่าง บ้านเราก็กินผักกาด หัวไชเท้า ต้นหอมเยอะแยะขนาดนั้นไม่ไหวหรอกค่ะ ! ”
ป้าหยูโบกมือไปมาอย่างไม่ถือสา “บ้านของเธอคนน้อยก็ต้องกินน้อย ถ้าเธอรู้สึกไม่ดีจริง ๆ งั้นเอาแบบนี้ดีไหม ฉันจะช่วยเธอปลูกเอง พอถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เธอก็เอาพื้นที่ปลูกผักมาให้ฉันยืมหน่อยเป็นไง ? ” พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนทำหน้าประหลาดใจ ป้าหยูก็เค้นเสียง หึ หึ ! ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ “ฉันไม่ได้ยืมฟรี ๆ หรอกน่า ถ้าเธอให้ฉันยืมพื้นที่ปลูกผัก ฉันก็จะช่วยปลูกสวนหน้าบ้านให้ด้วย เธอเองก็จะได้ผักกาดขาวกับหัวไชเท้าไปกินฟรี ๆ ดีไม่แพ้ยัยติงเหมยนั่นหรอกใช่ไหมล่ะ ? ”
จนกระทั่งตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนถึงได้เข้าใจ เธอคิดว่าป้าหยูมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ พูดไปพูดมาสุดท้ายหล่อนก็แค่อยากจะได้พื้นที่เพาะปลูกของเธอ แถได้ลื่นไหลจริง ๆ
แต่พื้นที่เพาะปลูกนี่เธอจะให้หล่อนยืมก็ไม่ได้ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าหล่อนเป็นตัวสร้างปัญหา ต่อไปจะสร้างความวุ่นวายอะไรอีกก็ยังไม่รู้เลย จางฉุ้ยเหลียนตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “คุณป้าคะ เรื่องนี้หนูก็อยากร่วมมือกับคุณป้าอยู่หรอกนะคะ แต่ตอนนี้พื้นที่เพาะปลูกของหนูก็อยู่ในมือของติงเหมย แถมยังไม่รู้ว่าตอนนั้นบ้านของเขาตกลงกับเหล่ากู้ว่ายังไง ถ้าเหล่ากู้บอกให้พวกเขาใช้เพาะปลูกได้ 1 ปี แต่หนูกลับบอกให้คุณป้ายืมได้ แบบนั้นมันจะดูไม่ดีเอานะคะ”
ป้าหยูบุ้ยปาก หน้าบึ้งอยู่พักหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็บ่นพึมพำออกมาว่า “มันจะมีอะไรไม่ดีกัน ก็ให้หล่อนใช้ไปปีหนึ่ง หรือไม่ก็แบ่งกันคนละครึ่ง เธอจะให้หล่อนเอาเปรียบแบบนี้หรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเงียบไปครู่หนึ่ง เธอสงสัยอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าถามออกไป เพราะกลัวว่าถ้าเธอถามมากไปแล้วมันจะสร้างปัญหายิ่งกว่าเดิม เธอเลยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปพูดเรื่องตลก ๆ แทน พอเห็นว่าป้าหยูยังไม่ยอมกลับ เธอก็ลุกขึ้นแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม “คุณป้ายังมีเรื่องอะไรอีกไหมคะ ? ”
ป้าหยูเห็นจางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้น หล่อนเลยขมวดคิ้วถามออกไปด้วยความสงสัย “ทำไมหรือ เธอจะออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ “หนูเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ไม่นาน วัตถุดิบทำอาหารอะไรก็ยังไม่มีเลย วันเสาร์นี้เหล่ากู้ก็ชวนเพื่อน ๆ ทหารของเขามากินข้าวที่บ้าน เพราะอย่างนั้นหนูก็เลยต้องเตรียมของเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่ก็กำลังคิดอยู่ว่าจะไปหาซื้อวัตถุดิบที่ไหนดี”
พอได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนจะออกไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร ป้าหยูก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที หล่อนถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่าอยากจะซื้ออะไรด้วยความอยากรู้อยากเห็น จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้บอกออกไปอย่างเฉพาะเจาะจง เธอบอกแค่ว่าเธออยากจะซื้อน้ำมัน เกลือ ซอส น้ำส้มสายชู ข้าว แป้ง เพราะไม่ว่าอะไรตอนนี้เธอก็ไม่มีสักอย่าง
ป้าหยูเลยชี้ไปที่ตำแหน่งโรงอาหารแล้วพูดว่า “ที่โรงอาหารมีพวกอาหารสำเร็จรูป ถ้าที่บ้านไม่มีผักก็ไปซื้อได้ตอน 16.00 น. ที่หน่วยบริการก็มีหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพวกอาหารกระป๋อง ขนม หรือลูกอมต่าง ๆ ”
จางฉุ้ยเหลียนถามด้วยความสงสัย “แล้วหมู่บ้านที่อยู่ด้านนอกกำแพงล่ะคะ มีของอะไรที่ในนี้ไม่มีขายบ้างไหม ? ”
ป้าหยูหัวเราะลั่น “หมู่บ้านที่อยู่ด้านนอกกำแพงจะไปมีอะไรได้ล่ะ ไม่ว่าจะเป็นของอะไร พวกเขาก็มีน้อยกว่าเราหมดนั่นแหละ” หลังจากพูดจบหล่อนก็ตบหน้าอกของตัวเองแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเขามีปลาน่ะ ฝั่งนั้นมีร้านขายปลาเล็ก ๆ อยู่ เพราะพวกเขาจับปลาสด ๆ มาจากแม่น้ำเหอเท่า มันอร่อยกว่าปลาเลี้ยงในบ่อ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าตอบรับ เมื่อป้าหยูเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนกำลังจะออกไปข้างนอก หล่อนก็เลยลุกขึ้นยืนเช่นกัน “เธอจะไปซื้อของที่หน่วยบริการหรือ ? จะใช้จักรยานรึเปล่า ? บ้านของฉันมีรถจักรยานอยู่ เธอยืมไปก่อนก็ได้นะ”
“จริงหรือคะ ? งั้นก็เยี่ยมไปเลย คุณป้ารอหนูเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูจะไปหาที่บ้าน” ในบ้านของจางฉุ้ยเหลียนไม่มีรถจักรยานเลยสักคัน คิดจะไปซื้อของขนาดนั้นคงแบกมาเองไม่สะดวกแน่
“เธอจะเปลี่ยนชุดอะไรอีก ชุดนี้ก็ดูดีแล้วไม่ใช่หรือ ? ” ป้าหยูมองไปที่จางฉุ้ยเหลียน กระโปรงสีแดงกับเสื้อยืดสีขาวก็ดูดีมากแล้วจริง ๆ
“ใส่กระโปรงปั่นจักรยานมันไม่สะดวกค่ะ หนูจะไปเปลี่ยนเป็นกางเกงก่อน” จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วล็อคประตู จากนั้นก็เปิดตู้เสื้อผ้าหากางเกงขากว้างสีน้ำตาล และนี่ก็คือกางเกงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุค70 – 80 จางฉุ้ยเหลียนปรับปรุงมันเล็กน้อยด้วยการดึงส่วนต้นขาลงแล้วไปพับเก็บไว้ด้านล่าง และตอนนี้ขาของมันก็ไม่ได้กว้างเท่าก่อนหน้านี้แล้ว จากนั้นเธอก็รวบแนวกางเกงเพื่อเน้นส่วนโค้งของสะโพกและต้นขา
จากนั้นก็เลือกเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมาตัวหนึ่ง และส่วนที่พิเศษของเสื้อตัวนี้ก็คือ ทรงใบบัวตรงหน้าอกที่สวยงามจนคนต้องมอง จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าเสื้อตัวนี้เป็นสินค้ายอดนิยมในร้านของติงเขอ เพราะเด็กสาวที่ได้ก้าวเท้าเข้ามาในร้านแล้วก็ต้องซื้อกลับไปแทบทุกคน
ท่อนบนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทรงใบบัว ส่วนท่อนล่างก็สวมกางเกงขากว้างสีน้ำตาล ตรงเอวมีเข็มขัดสีเดียวกันคาดอยู่ หลังจากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ถือกระเป๋าหนังวัวขึ้นมาแล้วหยิบกุญแจและกระเป๋าตังใส่ลงไป
หลังเปิดประตูห้องนอนออกมา จางฉุ้ยเหลียนก็เห็นว่าตอนนี้ป้าหยูกำลังยืนชมต้นเชอร์รี่อยู่ที่สวน ขณะหันมามองจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังล็อคประตูบ้าน หล่อนก็อุทานออกมาด้วยความตกใจว่า “ไอ้หยา เธอนี่ใจกล้าจริง ๆ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนตกใจ หันไปมองป้าหยูด้วยสายตาประหลาดใจ “มีอะไรหรือคะ ? ”
ป้าหยูสาวเท้าเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ แล้วก้มหน้าเอื้อมมือไปดึงกางเกงของจางฉุ้ยเหลียน “ทำไมเธอใส่กางเกงแบบนี้ออกมาจากบ้านล่ะ น่าเกลียดจะตายไป”
จางฉุ้ยเหลียนถึงกับผงะ เธอก้มหน้าลงไปมองกงเกงของตัวเองแล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อว่า “น่าเกลียดยังไง ? ” กางเกงตัวนี้เป็นสิ่งที่จู่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็นึกภาพของมันขึ้นมาได้ และภาพออกแบบเสื้อผ้าที่เธอส่งให้ติงเขอก็มีกางเกงแบบนี้อยู่ด้วย ติงเขอบอกว่ากางเกงขากว้างแบบนี้ตกยุคแล้ว ทุกคนเต็มใจใส่กางเกงที่เห็นสัดส่วนกันมากกว่า แต่จางฉุ้ยเหลียนคนนี้กลับชอบมันเป็นพิเศษ เธอบอกว่ามันเข้ากันได้ดีกับชุดสูท
ในเวลานี้พอได้ยินป้าหยูเอะอะแบบนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็เริ่มรับไม่ได้ ป้าหยูพูดเสียงสูงขึ้นมาทันทีว่า “จะอะไรอีกล่ะ ก็กางเกงตัวนี้ของเธอน่ะสิ”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปที่ป้าหยูอย่างไม่สบอารมณ์ ทันใดนั้นเสียงของหล่อนก็อ่อนลงและฟังดูไม่มั่นใจขึ้นมาในทันที “แม้แต่ของลับของเธอ ฉันยังเห็นเลย เหมือนกับกางเกงรัดรูปไม่มีผิด สีนี่ก็อย่างกับสีดิน มีแค่เสื้อสีขาวนี่แหละที่ดูดีหน่อย มีดอกไม้สวยดี ! ”
“ตอนนี้กางเกงแบบนี้เป็นที่นิยมกันในทางตอนใต้ และยังเป็นที่นิยมในเมืองหลวงอีกด้วย มีอะไรให้น่าตกใจขนาดนั้นกัน ! ” จางฉุ้ยเหลียนทำให้ป้าหยูตกใจ หล่อนจึงรีบวิ่งตามหลังจางฉุ้ยเหลียนมาเพื่อพูดอธิบาย “เราอยู่ที่ชนบท ทุกคนรับสไตล์การแต่งตัวของเธอไม่ได้หรอก เธอดูตัวเองสิยังใส่รองเท้าส้นสูงอีกต่างหาก มันเป็นรองเท้าที่ผู้หญิงไร้ยางอายเขาใส่กันนะ”
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเดินออกมาจากสวนบ้านของตัวเองแล้ว เธอก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างไม่แยแส “ใครอยากพูดก็พูดไปสิ หนูไม่สนว่าเขาจะคิดกันยังไง ถ้าคนพวกนั้นบอกว่าหนูไม่ดี หนูก็ต้องเป็นแบบนั้นรึไง ? ”
เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนเริ่มโมโห ป้าหยูก็กังวลว่าพื้นที่ปลูกผักที่หล่อนควรจะได้จะหลุดลอยไป หล่อนเลยรีบพูดออกไปว่า “นั่นก็จริง จะไปสนคนพวกนั้นทำไม มา มา มา ฉันจะให้เธอยืมรถจักรยาน”
จางฉุ้ยเหลียนโบกมือไปมาอย่างปฏิเสธ “ไม่ต้องแล้วล่ะค่ะคุณป้า หนูปั่นไม่เป็นหรอก เดี๋ยวปั่นไปเข็นไปก็จะลำบากเปล่า ๆ ”
หลังจากพูดจบเธอก็หมุนตัวแล้วเดินออกไปทันที ทำให้ป้าหยูโมโหจนแทบอยากจะยกเท้าขึ้นไปถีบเธอ “คนในเมืองนี่เรื่องเยอะจริง ๆ ไม่ทันได้ทำอะไรให้ก็โมโหแล้ว ดูชุดที่เธอใส่ คงจะเอาไปอ่อยพวกผู้ชายล่ะสิ ! เหอะ ! ”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินมาถึงหน่วยบริการ ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็หันมามองการแต่งตัวของจางฉุ้ยเหลียนกันเยอะมากจริง ๆ จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกพอสมควร แต่เธอก็ไม่ได้เปลือยกายให้พวกผู้ชายดูสักหน่อย
พอซูหย่าซิ่วเห็นจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็กล่าวทักทายเธอออกมาอย่างเป็นมิตร พอได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนกำลังหาซื้อวัตถุดิบไปทำอาหาร หล่อนก็พาเธอไปหาเพื่อนร่วมงานของหล่อนแล้วแนะนำราคาขายส่งให้ นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกแกรงใจขึ้นมาทันที
“ฉุ้ยเหลียน เธอนี่สวยจริง ๆ เลยนะ! เสื้อผ้าชุดนี้ดูมีสไตล์สุด ๆ เธอนี่แต่งตัวเก่งจริง ๆ !” ซูหย่าซิ่วพูดออกมาตามตรง แววตาจริงใจไม่หลอกลวง
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้ม “นี่เป็นชุดที่ฉันซื้อตอนแต่งงาน คนในเมืองเขาใส่ชุดแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ ! ”
“เธอซื้อเสื้อผ้าในเมืองหรือ ? ถึงว่าล่ะ ฉันได้ยินว่าคนที่นั่นแต่งตัวดีกันหมด ! ” ซูหย่าซิ่วทำหน้าอิจฉา “เธอดูสิพวกเราสองคนก็อายุเท่ากัน แต่เธอกลับแต่งตัวเก่งกว่าฉันอีก ! ”
ปีนี้ซูหย่าซิ่วก็อายุแค่ 23 ปีเท่านั้น แต่หล่อนกลับเป็นแม่คนแล้ว บ้านของหล่อนทำสวน เพราะอย่างนั้นความคิดเรื่องการเดินทางก็ยังคงล้าสมัย ตอนที่หล่อนอายุได้แค่ 18 ปี หล่อนก็ต้องออกไปดูตัวแล้ว ถ้าไม่ได้เป็นเพราะหล่อนแต่งงานกับทหาร ตอนนี้หล่อนก็คงจะมีลูกไปสามคนแล้ว
ในยุคสมัยนี้ทางรัฐบาลก็ได้ประกาศออกมาแล้วว่า ครอบครัวหนึ่งมีลูกได้แค่คนเดียว แต่ละครอบครัวเลยมีลูกได้แค่คนเดียว เด็กที่เกิดหลังปี 80 ตราบใดที่พ่อแม่ของพวกเขารับราชการกินเบี้ยหลวง พวกเขาก็ไม่กล้ามีลูกคนที่สองอีก
ซูหย่าซิ่วได้ให้กำเนิดลูกสาว ว่ากันว่าบ้านของหล่อนไม่พอใจกันสุด ๆ พอย้ายมาอยู่บ้านญาติแล้วถึงดีขึ้นมาหน่อย ตอนนี้เด็กอายุ 2 ขวบแล้ว แต่ก็ยังกินนมแม่อยู่ หล่อนฝากลูกให้ญาติที่อยู่บ้านฝั่งตะวันออกช่วยเลี้ยง และจ่ายค่าดูแลให้เขาทุกเดือน
จางฉุ้ยเหลียนเห็นซูหย่าซิ่วพึ่งพาตัวเองและยังคงทำงานหนัก แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังไม่บ่นว่าชีวิตมันเลวร้ายหรือพูดจาว่าร้ายคนอื่น เธอเลยรู้สึกชอบพออีกฝ่าย ยิ่งได้จับมือเดินคุยกัน เธอก็เริ่มรู้สึกชอบหล่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังออกมาจากหน่วยบริการแล้ว ซูหย่าซิ่วก็หันไปพูดกับเพื่อนร่วมงานสองสามประโยค จากนั้นหล่อนก็ปั่นจักรยานพาจางฉุ้ยเหลียนมาที่โรงอาหาร
“เธออย่าไปฟังที่ป้าหยูแกพูดเลย เมื่อก่อนตอนที่พวกเธอสองบ้านยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ พื้นที่เพาะปลูกของบ้านครูฝึกโจวกับบ้านของเธอ ป้าแกเป็นคนปลูกเองหมด ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิติงเหมยชิงพื้นที่ปลูกผักบ้านของเธอไปได้ก่อน ป้าแกก็เลยโมโห จงใจเอาเปรียบพื้นที่เพาะปลูกของพวกเธอทั้งสองบ้าน ขนาดว่าทำแบบนั้นแล้ว ป้าแกก็ยังไม่พอใจเวลาเจอใครก็จะพูดว่าติงเหมยไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้”
ซูหย่าซิ่วอยู่บ้านหลังที่ห้า ด้านหนึ่งของบ้านก็เป็นบ้านของป้าหยู ส่วนอีกด้านหนึ่งที่อยู่ติกับหล่อนก็เป็นบ้านของติงเหมย เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยรู้เรื่องความขัดแย้งของพวกหล่อนทั้งสองคนดี
“ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะว่า อย่าไปผสมโรงกับสองคนนี้เด็ดขาด ถึงเธอจะไม่ได้ย้ายมา ในฤดูใบไม้ร่วงนี้เพื่อที่ตัวเองจะได้ปลูกผักกาดขาว พวกหล่อนทั้งสองคนก็ต้องมีเรื่องกันแน่นอน แล้วอีกอย่างเรื่องที่เธอโดนเอาเปรียบเรื่องพื้นที่เพาะปลูกครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย ถ้าบ้านของเธอมีผักไม่พอกิน เธอก็มาเอาที่บ้านของฉันก็ได้ อย่าทำให้สามีของเธอต้องเสียหน้าไปกับเธอด้วยเลย ! ”
จางฉุ้ยเหลียนคิดไม่ถึงเลยว่าซูหย่าซิ่วที่ไม่ได้มีการศึกษาสูงอะไรมากมาย จะมองเรื่องทุกอย่างได้กระจ่างขนาดนี้
“วันเสาร์นี้เธอหยุดงานไหม ? เธอมากินข้าวเย็นที่บ้านฉันสิ ผู้บัญชาการกงสามีของเธอก็มานะ” จางฉุ้ยเหลียนกอดเอวซูหย่าซิ่ว แล้วชวนอย่างอบอุ่น
“ได้สิ เดี๋ยวฉันจะไปช่วยเธอทำอาหารเอง”
MANGA DISCUSSION