ตอนที่ 161 เพื่อนบ้านไม่ธรรมดา
“ไอ้หยา ติงเหมย เธอมองอะไรอยู่หรือ ? ” ผู้หญิงผิวคล้ำคนหนึ่งพูดขึ้น หล่อนสวมหมวกกันแดด ใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีขาวหลวม ๆ ส่วนท่อนล่างก็สวมกางเกงขาบานสีดำ หล่อนเดินเข้ามาพร้อมจอบ
“พี่เกา หนูไม่ได้มองอะไรอยู่หรอก หนูแค่กำลังคิดว่าทำไมบ้านผู้บัญชาการกู้ไม่ออกไปไหนกันเลย” ติงเหมยยืนอยู่ระหว่างบ้านของทั้งสองครอบครัว พร้อมกับสีหน้าไร้เดียงสา
“เธออายุยังน้อยไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก เขาเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามัน และกำลังได้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน เพราะอย่างนั้นตอนนี้ทั้งสองคนก็กำลังพลอดรักกันอยู่ อีกอย่างครอบครัวของผู้บัญชาการกู้ก็เป็นคนในเมือง คนในเมืองเขาบอบบางกันจะตาย จะไปเหมือนเธอเมื่อสมัยนั้นได้ยังไง” หญิงผิวคล้ำพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ดึงกางเกงของตัวเองให้ติงเหมยดู “เธอดูนี่สิ กางเกงของฉันเป็นไงบ้าง น้องสาวของสามีส่งเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่แล้วมาให้ฉัน เนื้อผ้ากางเกงตัวนี้ดีมากเลยนะ ใส่ทำงานสะดวกดีด้วย”
ติงเหมยดึงมือของพี่เกามากุมเอาไว้ แล้วถามขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วทำหน้าลำบากใจ “พี่ พี่ว่าหนูเอาพื้นที่ปลูกผักของบ้านผู้บัญชาการกู้มาใช้แบบนี้ หล่อนจะโกรธหนูไหม ? ”
พี่เกาคนนี้คือผู้อาวุโสของที่นี่ บ้านของหล่อนก็อยู่นอกกำแพงนี่เอง ครอบครัวไหนที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่หล่อนก็มักจะมาเยี่ยมเสมอ หากใครต้องการความช่วยเหลืออะไรก็จะไปหาหล่อน พอนานวันเข้าหล่อนก็กลายเป็นพี่ใหญ่ของที่นี่ เหมือนยัยป้าหยูนิติหมู่บ้านที่ไม่มีอะไรที่หล่อนไม่รู้มาก่อนคนนั้น
“จะกลัวอะไรล่ะ ตอนเธอจะปลูกเธอก็ถามสามีของหล่อนแล้วไม่ใช่หรือ เขาก็ไม่ได้มาปลูกแล้วยังจะปล่อยให้ที่ดินว่างไว้เปล่า ๆ อย่างนั้นหรือ ? ถ้าเขาอยากปลูกก็ให้เขามาปลูกปีหน้าสิ ไม่เป็นไรหรอกน่า ! ” พี่เกาตีมือติงเหมยเบา ๆ “ฉันเป็นคนอาบน้ำร้อนมาก่อน ฉันพูดอะไรเธอก็ฟังไว้เถอะ ภรรยาของผู้บัญชาการกู้หน้าตาแบบนั้นคงทำงานพวกนี้ไม่เป็นหรอก”
ติงเหมยบุ้ยปากและทำหน้าหนักใจ “หนูได้ยินมาว่าคนในเมืองมักใจแคบ ไม่จริงใจเหมือนคนบ้านนอกอย่างพวกเรา อีกอย่างเขาก็เป็นคนมีการศึกษา และยังเป็นคนละเอียด……” ยังไม่ทันที่ติงเหมยจะพูดจบ พี่เกาก็หน้าเปลี่ยนสี และน้ำเสียงของหล่อนก็สูงขึ้นหลายเท่า “ละเอียดอะไรก็ไม่สำคัญ พอแต่งงานแล้วชีวิตก็จะเปลี่ยนไป มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่มีชีวิตเพื่อลูกเพื่อสามี มีการศึกษาแล้วยังไง สุดท้ายก็ยังต้องวิ่งมาปลูกผักทำกินเหมือนพวกเราไม่ใช่รึไง ? ”
หลังจากพูดจบหล่อนก็ถ่มน้ำลาย “เธอดูตัวเองสิว่าเธอสูงห้าหนาสามเหมือนโอ่งน้อยไม่มีผิด ทำไมถึงได้อนาถขนาดนี้นะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าพื้นที่เพาะปลูกของตัวเองโดนคนอื่นเอาไปใช้แล้ว หลังจากเก็บตัวอยู่ในบ้านมาสองสามวันในที่สุดเธอก็รู้สึกเบื่อ และน้ำในถังในห้องครัวก็เหลืออยู่ก้นถังแล้ว เรื่องอาหารการกินกู้จื้อเฉิงก็หามาให้ น้ำอาบเขาก็ยังต้มให้อีก แต่จะปล่อยให้เขาทำคนเดียวหมดก็ไม่ได้ เดี๋ยวตัวเองจะกลายเป็นตาลุงแก่ ๆ เอา
เธอเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดสีขาว ด้านล่างเป็นกระโปรงยาวคลุมเข่าสีน้ำเงินลายจุดที่เข้ากันดี เปลี่ยนจากร้องเท้ามีส้นมาเป็นรองเท้าแตะ แล้วเดินเข้าไปในครัว เธอตักน้ำในถังออกก่อน แล้วขัดถังน้ำรอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยกถังไปที่สวน เปิดประตูสวนแล้วเดินออกมาตักน้ำที่บ่อน้ำ
ส่วนทางด้านแปลงปลูกผักที่อยู่ห่างออกไป บางคนก็กำลังเก็บถั่วฝักยาว หรือไม่บางคนก็กำลังกำจัดวัชพืช พอพวกเธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นจางฉุ้ยเหลียนที่แต่งตัวสวยกำลังยืนตักน้ำอยู่ พวกเธอก็เริ่มขานเรียกทักทายและเข้ามาล้อมวงด้วยความตื่นเต้น
จางฉุ้ยเหลียนนำถังน้ำถังที่สามออกมาจากบ้าน พอเห็นเธอเดินออกมา ติงเหมยที่กำลังตักน้ำอยู่ก็ยิ้มทักทายเธอทันที
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว แต่ตอนนี้ก็มีผู้หญิงสองสามคนกำลังนั่งพักผ่อนกันอยู่ใต้ร่มไม้ในสวนของบ้านข้าง ๆ และดูเหมือนการขานทักทายกันเมื่อครู่ จะดึงดูดให้ทุกคนหันมามอง
“ไอ้หยา พี่สาว ทำไมพี่ถึงมาตักน้ำเองล่ะ ? ” ติงเหมยตักน้ำขึ้นมาจากบ่อด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว และถามจางฉุ้ยเหลียนด้วยน้ำเสียงสงสัย
“น้ำในถังหมดแล้วน่ะ ! ” จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าคำถามนี้ฟังดูน่าเบื่อมาก จะมีใครที่เขาออกมาตักน้ำทั้ง ๆ ในบ้านยังมีน้ำเหลืออยู่บ้างล่ะ ?
“ฉันก็เห็นว่าเมื่อวานผู้บัญชาการกู้ก็ออกมาตักน้ำแล้วนี่ บ้านของพวกเธอใช้น้ำกันเยอะขนาดนั้นเชียวหรือ ? เธอเอาไปซักผ้าหรือ ? ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้อายุราว ๆ 40 ปีเห็นจะได้พูดขึ้น
“อ้อ ใช่ค่ะ” จางฉุ้ยเหลียนยิ้มแบบเขิน ๆ ติงเหมยจึงแนะนำหญิงสาววัยกลางคนคนนี้ให้จางฉุ้ยเหลียนได้รู้จัก “นี่คือภรรยาของซูยต้าหย่ง พี่สะใภ้หยู่ฮวา ! ”
หลี่หยู่ฮวาอยู่บ้านหลังแรกของฝั่งตะวันออก ส่วนฟ่านจินเฟิ่งก็อยู่บ้านหลังที่สอง และหลังที่สามก็คือบ้านของจางฉุ้ยเหลียน คนที่อยู่บ้านหลังที่สี่คือป้าหยู หลังที่ห้าคือซูหย่าซิ่ว และหลังที่หกก็คือติงเหมย
“ไอ้หยา เธอนี่สวยจริง ๆ เลยนะ และกระโปรงตัวนี้ก็ดูดีมากด้วย” ซูหย่าซิ่วมองกระโปรงของจางฉุ้ยเหลียนด้วยความอิจฉา จากนั้นก็ชี้มาที่ขาของเธอ “เธอนี่ขาวจริง ๆ ตอนอยู่บ้านคงไม่ได้ทำอะไรเลยล่ะสิท่า ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรออกมา ติงเหมยก็ชิงพูดออกไปก่อนแล้วว่า “พี่สาวของหนูเรียนถึงระดับวิทยาลัยเชียวนะ และเพิ่งจะเรียนจบปีนี้ด้วย ใช่ไหมคะ พี่สาว ! ” ติงเหมยทำหน้าภาคภูมิใจ ราวกับจางฉุ้ยเหลียนเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของหล่อน
“พี่สาว เวลาทำงานพี่จะใส่ชุดแบบนี้ไม่ได้นะ พี่ดูตัวเองสิ ใส่รองเท้ามีส้นแบบนี้ได้ยังไง มันจะทำให้ข้อเท้าแพลงได้นะ ! ” ติงเหมยชี้ไปที่รองเท้าของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นก็กลับมาชี้ที่กระโปรงของเธอ “กระโปรงดี ๆ แบบนี้ เอาไว้ใส่ตอนออกจากบ้านเถอะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนก้มลงไปมองกระโปรงของตัวเอง เธอบ่นในใจว่า นี่ก็เป็นชุดทั่วไปที่เธอใส่อยู่บ้านนะ แต่แล้วเธอก็พยักหน้าตอบรับอย่างรู้ความ เพื่อให้ตัวเองไม่ดูเย่อหยิ่งจนเกินไป เธอเดินเข้าไปอยู่ตรงกลางวง และเริ่มพูดคุยกับทุกคน
การคุยกันครั้งนี้ทำให้เธอได้รู้เรื่องราวอะไรมากขึ้น เช่น ป้าหยูอยู่ที่นี่มานานที่สุด และเธอก็ยังได้รู้อีกว่ามีผู้หญิงหลายคนที่ทำงานอยู่ที่นี่
หลี่หยู่ฮวาช่วยงานอยู่ในโรงอาหาร ซูหย่าซิ่วขายของอยู่ที่หน่วยบริการ และการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็ยังล้าหลังกว่าเมือง Q ประมาณ 10 ปีเห็นจะได้ ความชอบของพวกเขายังคงอยู่ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ป้าหยูตัดผมหน้าม้าเต่อ ติงเหมยถึงกับบอกให้จางฉุ้ยเหลียนทำทรงผมแอฟโฟรเพราะมันดูเข้ากับกระโปรงของเธอ
พอพูดไปพูดมาสุดท้ายพวกสาว ๆ ทั้งหลายก็ยิงคำถามมาที่จางฉุ้ยเหลียน ป้าหยูสงสัยว่าทำไมช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้กู้จื้อเฉิงถึงซื้ออาหารจากโรงอาหารมากินที่บ้านตลอด จางฉุ้ยเหลียนเลยบอกว่าในบ้านยังไม่มีวัตถุดิบในการทำอาหาร แต่ป้าหยูไม่เพียงแต่จะไม่เชื่อแล้วเท่านั้น หล่อนยังหัวเราะเยาะเธอด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครืออีกต่างหาก
ท้ายที่สุดจางฉุ้ยเหลียนจึงได้แต่อ้างว่าตัวเองยังมีงานบ้านที่ยังไม่ได้ทำ จากนั้นก็ถือถังน้ำกลับเข้าไปในบ้านทันที
ช่วงพักกลางวันกู้จื้อเฉิงก็กลับมาที่บ้าน เขาบอกกับจางฉุ้ยเหลียนว่าเดี๋ยวบ่ายวันนี้โต๊ะอาหารในห้องนั่งเล่นก็จะถูกส่งมาแล้ว จางฉุ้ยเหลียนเลยถือโอกาสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้าให้กู้จื้อเฉิงฟัง “ทำไมถึงมีแต่พวกแม่บ้าน แล้วยังมีพวกที่กลับบ้านก่อนทั้ง ๆ ที่ยังไม่เลิกงานด้วย”
กู้จื้อเฉิงกินไปขมวดคิ้วไป “ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่อยู่ที่นี่ก็เรียนจบแค่ชั้นมัธยมต้นเท่านั้น และยังมีพวกที่เรียนประถมไม่ถึง 2 ปีด้วยซ้ำ และด้วยความที่พวกหล่อนทำงานตอนกลางวันก็เลยไม่มีเวลาดูแลลูก สุดท้ายก็ต้องใช้เวลาที่งานไม่ยุ่งวิ่งกลับไปให้นมลูกที่บ้าน ! พวกหล่อนไม่ได้ใช้ชีวิตกันง่าย ๆ เธออย่าได้ไปดูถูกพวกหล่อนล่ะ เดี๋ยวจะเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัว ! ”
จางฉุ้ยเหลียนคิดถึงสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของคนเหล่านี้ในตอนเช้าและมุมมองที่แตกต่างกันของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ทันใดนั้นเองเธอก็คิดว่าคำเตือนของกู้จื้อเฉิงดูน่าเชื่อถือสุด ๆ ในเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ งั้นก็ต้องคบค้าสมาคมกับคนอื่นบ้าง แต่จะพูดเยอะก็ผิดเยอะ เพราะฉะนั้นเธอต้องพยายามไม่แสดงท่าทีรำคาญหรือเอาแต่ใจจนเกินไป
จางฉุ้ยเหลียนที่ตัดสินใจแล้วว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญก็จะไม่ออกจากบ้าน แต่เธอกลับคาดไม่ถึงว่าแม้เธอจะไม่เริ่มเข้าหาพวกเขาก่อน พวกเขาก็มาหาเธอได้เหมือนกัน
ในเวลานี้ก็เป็นเวลา 13.00 น. แล้ว อากาศข้างนอกก็ยังร้อนระอุ จางฉุ้ยเหลียนยังไม่มีอะไรให้ทำ เธอเลยนั่งอ่านนิยายอยู่ที่โซฟา แต่ทันใดนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงคนมาตะโกนอยู่ด้านนอก และเสียงตะโกนนั้นมันก็ใกล้มากจริง ๆ “ไอ้หยา สะอาดขนาดนี้ใครจะกล้าเข้าล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนตื่นตัวลุกขึ้นยืนทันที หลังจากรีบเดินออกจากห้องนั่งเล่น เธอก็เห็นป้าหยูยืนอยู่หน้าประตูบ้าน เมื่อหล่อนเห็นว่าเธอเดินออกมา หางตาของหล่อนก็กรีดกลายเป็นรูปรอยยิ้มทันที “บ้านของเธอเป็นระเบียบมากจริง ๆ หน้าบ้านก็ยังมีตู้ด้วย นี่คงเป็นที่ใส่รองเท้าแตะอะไรพวกนั้นใช่ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนต้อนรับหล่อนด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่ต้อง” ป้าหยูยืนอยู่ข้างตู้รองเท้า ทำท่าจะถอดรองเท้า “ไม่ต้องงั้นหรือ ? ถ้างั้นจะทำยังไงล่ะ อย่าให้ฉันทำบ้านของพวกเธอสกปรกเลย”
“พวกเราก็ทำความสะอาดบ้านกันเอง คุณป้าใส่รองเท้าแตะเข้ามาเถอะค่ะ ที่เราเอาตู้มาวางไว้หน้าบ้าน ก็เพราะเอาไว้เก็บรองเท้าเท่านั้น ! ” พอได้ยินจางฉุ้ยเหลียนอธิบายแบบนั้น ป้าหยูก็ถามด้วยรอยยิ้มเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง “ไม่ต้องถอดรองเท้าจริง ๆ หรือ ? ”
“ไม่ต้องถอดจริง ๆ ค่ะ ! ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ป้าหยูถึงได้ถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาในบ้าน ด้วยความที่โครงสร้างของบ้านทุกคนก็เหมือนกันหมด เพราะอย่างนั้นแค่หล่อนมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าบ้านของผู้บัญชาการกู้มีห้องเล็ก ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งห้อง
“ไอ้หยา ทำไมถึงมีห้องเล็กอีกห้องหนึ่งล่ะ ? มันคือห้องอะไรหรือ ต่อไปแม่สามีของเธอจะมาอยู่ที่นี่ด้วยหรือ ? ” ป้าหยูไม่ได้เข้าไปดูในห้องเล็กนั่น กลับกันหล่อนกลับเดินเข้าไปดูในครัวแทน
หล่อนมองภายในห้องครัวพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “สะอาดมากจริง ๆ นี่มันบ้านของคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่แน่หรือ หม้อกระทะพวกนี้ก็เงาสวยดีจริง ๆ ไม่เหมือนหม้อกระทะที่แขวนบนผนังบ้านของฉันเลย ! ”
หลังจากพูดจบหล่อนก็หันไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทตรงข้ามกับห้องครัว แล้วบ่นพึมพำว่า “เหมือนบ้านหลังนี้จะไม่เคยมีห้องนี้มาก่อนนะ ผู้บัญชาการกู้ทำห้องนี้ขึ้นมาทำไมหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ใช่เจ้าสาวป้ายแดงที่ไม่รู้เรื่องอะไร พอเธอได้ยินป้าหยูพูดว่า ‘ต่อไปแม่สามีของเธอจะมาอยู่ที่นี่ด้วยหรือ ? ’ เธอก็รู้ได้ในทันทีว่า ยัยป้าคนนี้จะต้องเป็นคนพูดมากชอบจู้จี่จุกจิกแน่นอน
เมื่อกี้ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนได้ยินหล่อนถาม เธอก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะอย่างนั้นอีกฝ่ายจึงถามขึ้นมาอีกครั้ง เธอเลยจำใจตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า “อ้อ ห้องนอนหลักมันใหญ่เกินไป หนูเลยแยกออกมาทำเป็นห้องน้ำ จะได้เอาไว้ล้างหน้าหรือไม่ก็ซักผ้าน่ะค่ะ”
พอป้าหยูได้ยินแบบนั้น ตาของหล่อนก็เป็นประกายขึ้นมาทันที หล่อนไม่ขออนุญาตจางฉุ้ยเหลียนก่อนเลยสักคำ จู่ ๆ หล่อนก็ผลักประตูเข้าไปทันที หล่อนทำตัวราวกับยายหลิวที่ได้เข้ามาในอุทยานต้ากวน ค่อย ๆ เปิดผ้าม่านออกและสุดท้ายก็ได้เห็นถังน้ำที่วางตั้งอยู่ในนั้น
“ไอ้หยา ชีวิตเธอนี่ดีจริง ๆ ผู้บัญชาการกู้ของเธอนี่เอาใจเก่งจริง ๆ เลยนะ” หลังจากพูดจบหล่อนก็หันมามองจางฉุ้ยเหลียนด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง “สะใภ้ในเมืองมักเรื่องเยอะ รักความสะอาดชอบอาบน้ำ”
หลังจากพูดจบสายตาอันคมกริบของหล่อนก็หันไปเห็นขวดที่วางอยู่ตรงหน้าต่าง หล่อนเดินเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นในทันที พอเห็นว่ามันขวดเหล่านั้นมันคือแชมพูและครีมนวดผม หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะเบะปาก
เมื่อเดินมาที่ห้องนอน หล่อนก็เห็นเตียงนอนขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้มันได้หายไปแล้ว เหลือเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น หล่อนเลยถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “ถ้ามีแขกมาที่บ้านจะให้นอนที่ไหนล่ะ ? ในอนาคตพอแม่สามีของเธอมาอยู่ที่นี่ด้วย เธอจะให้หล่อนนอนที่ไหน ? ”
ตอนที่ป้าหยูเห็นห้องนั่งเล่นถูกแบ่งด้วยชั้นหนังสือ หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะชี้ไปที่ชั้นหนังสือแล้วถามว่า “นี่เป็นของเธอทั้งหมดเลยหรือ ? ไอ้หยา เรียบจบแล้วจะเก็บไว้อีกทำไม ? ”
แต่ก็ไม่รู้ตรงไหนที่ไปกระตุ้นหล่อนเข้า เมื่อกี้ป้าหยูยังเป็นเหมือนยายหลิวที่เห็นทุกอย่างเป็นของหายาก แต่ในเวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นคนเข้าถึงยากขึ้นมาซะดื้อ ๆ
หล่อนเดินไปนั่งบนโซฟาพร้อมออกแรงขย่มเล็กน้อย แล้วแสดงความคิดเห็นออกมาราวกับเป็นผู้นำคนหนึ่ง “อือ ใช้ได้ ไม่เลวเลย นุ่มดี บ้านเธอสวยดีนะ แต่ห้องน้ำมันไร้ประโยชน์ ไม่มีน้ำประปา อาบน้ำก็ไม่ได้ เธอจะขับถ่ายในบ้านก็ไม่ได้เหมือนกัน สุดท้ายก็ยังต้องออกไปข้างนอกอยู่ดี ! ”
มุมปากจางฉุ้ยเหลียนกระตุก เธอนั่งอยู่บนเบาะนั่งข้าง ๆ ยกชาและแตงโมที่เหลืออยู่ไม่กี่ชั้นมาวางตรงหน้าป้าหยู “ป้าคะ มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ ? ”
ดวงตาของป้าหยูเป็นประกาย จากนั้นหล่อนก็ยิ้มออกมาเหมือนมีเลศนัย “ฉันจะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ ก็แค่มาเยี่ยมเธอเฉย ๆ ”
จางฉุ้ยเหลียนตอบกลับสั้น ๆ แค่คำว่า ‘อ้อ’ เท่านั้น แล้วเอาไม้จิ้มฟันออกมาจากใต้โต๊ะชา จากนั้นก็จิ้มลงไปที่แตงโม ท่าทางไม่รีบไม่ร้อนทำให้ป้าหยูทำตัวเหมือนแมวที่อยากตะครุบตลอดเวลา
“นี่สาวน้อย ฉันแค่อยากจะมาถามอะไรเธอหน่อย และเธอก็อย่าไปพูดที่ไหนนะว่าฉันเป็นคนพูด พวกเราพูดกันตรงไหน ก็ให้มันจบลงตรงนั้น ตกลงไหม ? ” ป้าหยูขยิบตาให้จางฉุ้ยเหลียน แล้วทำสีหน้าจริงใจ
จางฉุ้ยเหลียนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้ว ที่แท้ป้าหยูก็มานินทาคนอื่นให้เธอฟังนี่เอง
“ได้ค่ะ ! คุณป้าพูดมาเถอะ หนูไม่เอาไปบอกใครแน่นอน ! ” จางฉุ้ยเหลียนยื่นแตงโมไปให้ป้าหยู หล่อนรับไว้ด้วยรอยยิ้ม “เธอนี่น่ารักจริง ๆ กินแตงโมก็ยังต้องละเอียดอ่อนขนาดนี้ งับ งับ งับ ! ”
หลังกินไปได้สองชิ้น หล่อนถึงได้ยอมพูดต่อ “เธอรู้รึเปล่าว่า ติงเหมยเอาพื้นที่ปลูกผักของบ้านเธอไปใช้แล้ว ! ”
MANGA DISCUSSION