ตอนที่ 160 เข้าหอ (2)
จางฉุ้ยเหลียนลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่อยู่พักหนึ่ง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็คลี่ยิ้มออกมา เพราะเธอกำลังอยู่ที่บ้านของตัวเอง
แม้ผ้าม่านจะยังปิดอยู่ แต่เมื่อมองผ่านช่องว่างระหว่างผ้าม่านออกไป ก็จะมองเห็นแสงสว่างจ้าจากด้านนอกส่องเข้ามา อีกทั้งจางฉุ้ยเหลียนก็ยังได้ยินเสียงนกร้อง และห่างออกไปยังมีเสียงของพวกผู้หญิงคุยกันดังสะท้อนเข้ามาทางนี้ด้วย
กู้จื้อเฉิงตื่นไปทำงานตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ จางฉุ้ยเหลียนยืดแขนบิดขึ้นเกียจและขยับคอไปมา เธอหันไปมองดูนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังตอนนี้ก็เป็นเวลา 11.45 น. แล้ว และนั่นก็หมายความว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันของเช้าวันถัดมาแล้ว
วันที่สองของการที่ได้เป็นภรรยา จางฉุ้ยเหลียนก็สามารถตื่นสายได้แล้ว และมันก็ถือว่าเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมากสำหรับเธอ เธอไม่รู้ว่ากู้จื้อเฉิงจะกลับมากินอาหารกลางวันที่บ้านไหม เพราะอย่างนั้นเธอจึงรีบลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
ผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์ยาวนานมาแล้วอย่างเธอ มองดู ‘สนามรบ’ ที่ดุเดือดเผ็ดมันจากการเข้าหอคืนแรก คราบน้ำยังติดอยู่บนร่างกายของตัวเอง และผ้าห่มผืนใหม่ที่ใช้กันเมื่อคืน หรือว่าเพิ่งย้ายเข้ามาวันที่สองเธอก็ต้องซักผ้าห่มตากที่ลานบ้านแล้วอย่างนั้นหรือ ? นั่นไม่ได้เป็นการบอกเพื่อนบ้านว่า เมื่อคืนพวกเธอทำอะไรกันบ้างหรือ !
จางฉุ้ยเหลียนทำหน้าลำบากใจ เธอไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ทำไมเขาไม่เหมือนกู้จื้อเฉิงในชาติที่แล้วที่เธอเคยรู้จักเลย เขาเป็นคนที่ใจเย็นและเป็นตัวของตัวเองมาโดยตลอด ทั้งสองคนใช้ชีวิตร่วมกันมามากว่า 20 ปี แต่เธอก็ไม่เคยเห็นเขาบ้าเหมือนเมื่อคืนเลยสักครั้ง
แต่ทันใดนั้นเองจู่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูบ้านเข้ามา เธอรีบเข้าไปซ่อนอยู่ในผ้าห่มทันที
กู้จื้อเฉิงเปิดประตูห้องเข้ามาเบา ๆ จากนั้นก็เดินมาที่เตียงอย่างช้า ๆ พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนทำตัวเหมือนเต่าซ่อนตัวอยู่แต่ในผ้าห่ม นี่มันก็ตรงกับสุภาษิตที่ว่า ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงเลยไม่ใช่หรือ? เขาจึงส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ “ลุกขึ้นมาเถอะ ฉันซื้ออาหารจากโรงอาหารมาให้แล้ว”
(ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง คืออยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้)
หลังจากพูดจบเขาก็เดินออกไปจากห้อง จางฉุ้ยเหลียนได้ยินว่าเขาซื้ออาหารกลับมา และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังเดินไปหยิบถ้วยชาม จางฉุ้ยเหลียนเลยก้มมองร่างกายตัวเองแล้วรู้สึกอายขึ้นมา
กู้จื้อเฉิงผลักประตูเข้ามา เขาก็เห็นร่างกายของเธอถูกคลุมไปด้วยผ้าห่มและขาขาว ๆ ทั้งสองข้างก็โผล่พ้นผ้าห่มออกมา เขาจึงถามเธอออกไปอย่างขำ ๆ ว่า “คิดอะไรอยู่ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอก้มหน้างุดด้วยความเขินอายและไม่กล้าพูดอะไรออกมา กู้จื้อเฉิงเห็นเธอทำตัวเหมือนเจ้าสาวป้ายแดง ไม่เหมือนภรรยาที่แยกเขี้ยวพูดถึงความหมายของการแต่งงานที่แท้จริง เพียงเพราะอยากจะเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ที่ตัวเองไม่ชอบให้ได้เมื่อวานนี้เลย
เขาเลยเดินเข้าไปหาเธอ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไหนเธอว่ามาสิ เธอเป็นอะไร ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้น แล้วพูดเบา ๆ “ฉันอยากอาบน้ำ ! ”
กู้จื้อเฉิงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เตียงครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเตียงไม่ได้เสียหายอะไร เขาก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องนอน ขณะที่ยืนอยู่ในห้องครัว เขาก็ผิวปากไปต้มน้ำร้อนไปด้วยอย่างอารมณ์ดี
เมื่อเห็นว่าเขาเดินออกไปแล้ว จางฉุ้ยเหลียนถึงได้ลุกขึ้นมาจากเตียง เธอเดินไปล็อคประตูห้อง หยิบชุดกระโปรงที่ฉีกขาดตัวนั้นขึ้นมาดู ท้ายที่สุดเธอก็เปิดตู้เสื้อผ้าแล้วนำชุดนอนผ้าฝ้ายตัวใหม่ออกมา
พับผ้าห่มจัดห้องให้เรียบร้อย หลังจากที่เปิดผ้าม่านเสร็จ กู้จื้อเฉิงก็เดินมาเคาะประตูห้องบอกว่าเธอไปอาบน้ำได้แล้ว
จางฉุ้ยเหลียนเปิดประตูห้องด้วยใบหน้าแดงก่ำ เธอไม่กล้าเข้าใกล้ผู้ชายที่กำลังยืนพิงขอบประตูรับลมชมวิวอย่างภาคภูมิใจคนนั้นเลยแม้แต่น้อย เธอรีบวิ่งตรงไปที่ห้องน้ำแล้วล็อคประตูทันที จากนั้นก็เริ่มบรรจงอาบน้ำ
กู้จื้อเฉิงดูออกว่าการกระทำของจางฉุ้ยเหลียนไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก เขารู้ว่านั่นเป็นเพราะผลงานชิ้นเอกของตัวเองเมื่อคืน ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างมากกว่าเดิม เขาฮัมเพลงเบา ๆ และเดินไปนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว
หลังจากรอให้จางฉุ้ยเหลียนค่อย ๆ เดินมานั่งลงข้างเขาแล้ว กู้จื้อเฉิงก็ตักซุปให้เธอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“พี่จะเปลี่ยนโต๊ะกินข้าวให้ฉันเมื่อไหร่ แล้วก็เจ้าเก้าอี้น่าเกลียดสองตัวนี่ด้วย” จางฉุ้ยเหลียนแกล้งทำพูดเป็นพูดอย่างใจเย็น แต่ก็ไม่กล้ามองตากู้จื้อเฉิงเพราะกลัวว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองกำลังเขินอยู่
กู้จื้อเฉิงไม่ได้พูดจาหาเรื่องแต่อย่างใด เขากินหมั่นโถวไปและพูดออกไปตามความเป็นจริง “ฉันโทรถามร้านแล้ว รอให้ถึงวันหยุดก่อนแล้วฉันจะเอาไปเปลี่ยนให้”
พอได้ยินแบบนั้น จางฉุ้ยเหลียนถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ประโยคถัดมาของกู้จื้อเฉิงก็เกือบจะทำให้เธอสำลักตาย
เขาพูดออกมาว่า “ถ้าเธอเจ็บ เธอก็ไม่ต้องทำอาหารหรอก เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะซื้ออาหารมาเอง ! คืนนี้พวกเราก็พักกันหน่อย ไม่ต้องทำแล้ว ! ”
พูดอย่างกับว่าเมื่อคืนเธอขอให้เขาทำอย่างนั้นแหละ นี่มันยังมีเหตุผลอยู่บ้างไหมเนี่ย !
ทั้งสองกินอาหารกันง่าย ๆ หลังจากกินเสร็จ กู้จื้อเฉิงก็ออกไปทำงาน ส่วนจางฉุ้ยเหลียนขอติดรถเขาไปเข้าห้องน้ำด้วย จากนั้นเขาก็พาเธอมาส่งที่ประตูใหญ่ ระหว่างนั้นสองสามีภรรยาก็คุยกันอยู่นานสองนาน พอเห็นว่าต้องกลับไปทำงานแล้วกู้จื้อเฉิงถึงได้จำใจออกมา
จางฉุ้ยเหลียนปิดประตูใหญ่แล้วตรงไปที่ห้องน้ำรวมแถวบ้านติงเหมย ตอนที่เธอเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอก็เห็นป้าหยูที่อยู่บ้านข้าง ๆ มองสำรวจตัวเธอด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ
“สวัสดีตอนเที่ยงค่ะ ! ” มันน่าอึดอัดจริง ๆ ที่โดนป้าหยูจ้องแบบนี้ จางฉุ้ยเหลียนยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี เธอเลยเผลอพูดสามคำนั้นออกไป ทำให้ป้าหยูระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
“ไอ้หยา ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า! สวัสดีตอนเที่ยงนะ สวัสดีตอนเที่ยง” เสียงหัวเราะของป้าหยูทำให้จางฉุ้ยเหลียนไปไม่ถูก เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคำพูดที่เธอทักทายเมื่อกี้มันฟังดูตลกมากจริง ๆ
“ตอนเที่ยงกินอะไรมาล่ะ ? ” ป้าหยูเห็นจางฉุ้ยเหลียนทำท่าทางเขินอาย เลยเดินเข้าหาจางฉุ้ยเหลียนพร้อมกับยกมือขึ้นไปบีบใบหน้ารูปไข่ของเธอเบา ๆ
จางฉุ้ยเหลียนเม้มปากพร้อมกับเดินเข้าไปที่ใต้ชายคา จากนั้นก็ทำมือพัดไปมาพร้อมกับพูดออกไปว่า “พวกเราซื้ออาหารจากโรงอาหารมากินกันค่ะ ที่โรงอาหารมีอะไรก็กินอันนั้นแหละค่ะ”
ป้าหยูพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ได้ซื้อผักมาไว้ที่บ้านล่ะสิ ให้ฉันพาเธอไปซื้อไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณป้า สามีของหนูบอกหนูแล้วว่าเขาขายผักกันที่ไหน หนูจะเก็บกวาดบ้านอีกหน่อยแล้วค่อยออกไปซื้อ หนูไม่รีบค่ะ ! ”
พอป้าหยูได้ยินคำว่า “สามี” ออกมาจากปากของจางฉุ้ยเหลียน ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนึกอะไรขึ้นมาได้ถึงได้หลุดขำออกมา แต่ก็กลัวเจ้าสาวป้ายแดงอย่างจางฉุ้ยเหลียนจะโมโห หล่อนเลยโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “เก็บกวาดอะไรหรือ เมื่อสองวันก่อนฉันก็ไปดูบ้านเธอมาแล้ว บ้านเธอสะอาดเงาวับอย่างกับกระจก ไม่มีฝุ่นอยู่เลยสักที่ ไม่ต้องเก็บกวาดแล้ว รีบไปซื้อข้าว แป้ง น้ำมัน ผักมาทำอาหารเถอะ ถึงอาหารโรงอาหารจะถูก แต่ก็สู้ปลูกผักเองไม่ได้หรอก”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ “นั่นก็จริงค่ะ แต่ว่าบ้านเราจะไม่ปลูกผักกันน่ะค่ะ ว่าจะซื้อข้างนอกเอา”
ดวงตาของป้าหยูเป็นประกายเล็กน้อย แต่พอคำพูดมาถึงปลายลิ้นหล่อนก็กลืนมันลงไปอีกครั้ง แล้วส่งเสียงหัวเราะออกมาแทน “ลานบ้านพวกเธอเก็บกวาดกันจนสะอาดเรียบร้อย แต่เธอกลับไม่คิดจะเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่หน่อยหรือ พรวนดินเล็ก ๆ ก่อนก็ได้ เอาไว้ปลูกพวกต้นหอม กุยช่าย แล้วก็ผักชี เธออยากกินเมื่อไหร่ก็กินได้ แล้วก็ต้นเชอร์รี่ในลานบ้านของเธอน่ะมันก็ไร้ประโยชน์ ก่อนหน้านี้บ้านของพวกเราก็มีต้นไม้พวกนั้นเหมือนกัน แต่ต่อมาเราก็เอามาทำเป็นฟืนไว้ทำอาหาร พื้นที่ว่างก็เอาไว้ปลูกผัก เธอดูลานถั่วฝักยาวที่บ้านฉันสิ กินทั้งปีก็ยังกินกันไม่หวาดไม่ไหว มันช่วยให้ประหยัดเงินสุด ๆ เลยนะ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้ารับแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ป้าหยูสังเกตเห็นว่าเธอไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เลยไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาอีก เพียงแค่อธิบายสถานการณ์ที่ลานใหญ่ด้านในกับลานใหญ่ด้านนอกว่ามีอะไรให้ใช้ได้บ้างก็เท่านั้น
ป้าหยูพูดเสียงดัง ทำให้ฟ่านจินเฟิ่งที่อยู่บ้านหลังถัดไปออกมาดู หล่อนพูดกับเจ้าสาวป้ายแดงด้วยรอยยิ้มว่า “ไอ้หยา ออกมาแล้วหรือ ? เหมือนว่าเธอเพิ่งจะตื่นตอนเที่ยงนี้นะ ผู้บัญชาการกู้นี่ก็ร้ายกาจจริง ๆ เลย ! ”
ในหัวจางฉุ้ยเหลียนมีเสียงระเบิดดัง ตูม! ไม่ว่าจะด้านไหนก็เป็นเพื่อนบ้านของเธอทั้งนั้น อีกทั้งบ้านของฟ่านจินเฟิ่งยังอยู่ใกล้ห้องนอนของเธออีกต่างหาก หรือว่าบ้านของหล่อนจะได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหมดแล้ว
ฟ่านจินเฟิ่งเห็นใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียนหน้าแดงจนแทบจะมีเลือดไหลออกมา ต่อจากนั้นก็ซีดขาวลงจนน่ากลัวทันที
หล่อนเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน แค่คิดก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น หล่อนเลยอธิบายพร้อมรอยยิ้มว่า “ฉันไม่ได้ยินอะไรหรอก ฉันทำงานตลอดทั้งเช้า เลยไม่เห็นว่าบ้านของเธอจะเปิดประตูออกมาสักที ฉันก็เลยเดาว่าเธอยังไม่ตื่น ตอนเที่ยงหลังจากที่ฉันทำอาหารเสร็จ ฉันก็เห็นว่าผู้บัญชาการกู้กลับบ้านมาพร้อมกับอาหาร หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ได้ยินเสียงเธอแปรงฟันแถวสวน เธออย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าบ้านเราได้ยินทะลุกำแพงเชียว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เราไม่ได้ยินเลยสักนิด……”
จางฉุ้ยเหลียนอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี เธอรู้อยู่แล้วเวลาผู้หญิงวัย 40 กว่า ๆ มาอยู่ด้วยกัน พวกเธอย่อมคุยเก่งกว่าพวกผู้ชายอยู่แล้ว ไม่อายที่จะจินตนาการ แม้แต่ท่าทางและแววตาในการเล่าเรื่องก็ยังมีชีวิตชีวายิ่งกว่าในโทรทัศน์ซะอีก
“เธออย่าไปสนใจหล่อนเลย ใครจะไม่เคยผ่านเรื่องนี้มาก่อนบ้างล่ะ ตอนที่หล่อนอายุยังน้อยหล่อนก็โดนพวกพี่สาวคนอื่น ๆ หยอกล้อเหมือนกันนั่นแหละ หล่อนลืมไปแล้วหรือว่าตอนนั้นหล่อนโดนหมีคนทำให้น้ำตาตกน่ะ ? ” ป้าหยูมีพรสวรรค์สามารถเข้าใจสายตาของคนอื่นได้ หล่อนรีบมายืนอยู่ข้างจางฉุ้ยเหลียนแสร้งทำเป็นพี่สาวที่กระตือรือร้นในทันที
ฟ่านจินเฟิ่งคลี่ยิ้มนึกถึงเรื่องราวอันงดงามเมื่อปีนั้น จากนั้นหล่อนก็โม้ให้จางฉุ้ยเหลียนฟัง “เธอไม่ต้องเขินหรอก เธอมีอะไรให้เขินกันล่ะ ปีนั้นตอนที่ฉันเพิ่งแต่งงานใหม่ ๆ มีคนตั้งเยอะตั้งแยะที่ได้ยินเสียงพวกเราเข้าหอกัน แค่ฉันร้องก็มีคนหัวเราะแล้ว ทำให้ฉันตกใจจนไม่กล้าร้องออกมาอีก ตอนนั้นยังสาวร่างกายก็ดี เพราะอย่างนั้นเราเลยไม่ได้นอนกันทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นสามีของฉันก็ออกไปทำงาน หลังจากล็อคประตูเสร็จแล้วฉันก็กลับไปนอนต่อ จนกระทั่งตกเย็นสามีของฉันกลับมาจากที่ทำงานแล้ว แต่กลับเปิดประตูบ้านไม่ได้ เขาเลยตะโกนเรียกให้ฉันออกมาเปิดประตู ตอนนั้นแหละฉันถึงได้ตื่นขึ้นมา ไอ้หยา นอนหลับสบายหนึ่งวันเต็ม ๆ ทำให้พวกเพื่อนบ้านอิจฉาตาเป็นมันเลยล่ะ”
หากเอาคำพูดนี้ไปพูดให้เจ้าสาวมือใหม่ฟังคงมีคนเชื่อจริง ๆ แต่เอามาพูดกับจางฉุ้ยเหลียนที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน ใครเขาจะไปเชื่อ ตอนนั้นยังไม่มีโทรทัศน์เลยด้วยซ้ำ ทุ่มสองทุ่มก็นอนกันแล้ว ทำติดต่อกัน 10 ชั่วโมงไม่พักไม่เหนื่อย ตลกสิ้นดีใครเขาจะไปมีแรงแบบนั้น
จางฉุ้ยเหลียนเพียงแค่คลี่ยิ้มออกมา พอป้าหยูได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะในใจ ขณะมองฟ่านจินเฟิ่งเดินบิดเอวกลับไปที่บ้าน หล่อนก็อดที่จะพูดออกมาเบา ๆ กับจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ “อย่าไปเชื่อที่หล่อนพูดเชียว พวกเราที่นี่ตั้งฉายาให้หล่อนว่ายัยลำโพงใหญ่”
จางฉุ้ยเหลียนเงียบไปครู่หนึ่ง วันนี้เธอและป้าหยูก็เพิ่งจะได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ เพิ่งเริ่มคุยกันได้ไม่นาน หล่อนก็เริ่มนินทาเรื่องของคนอื่นให้เธอฟังแล้ว และนี่ก็ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าถ้าหล่อนไม่ได้เป็นคนปากเสีย ก็คงเป็นคนนิสัยแย่
ป้าหยูหัวเราะคิกคัก “เธออย่าคิดมากล่ะ เพราะชื่อนี้ฉันก็พูดต่อหน้าหล่อนเหมือนกัน เพราะนิสัยของหล่อนก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เธอต้องฟังหูไว้หู หล่อนก็แค่ชอบขี้โม้ แต่ไม่ได้เป็นคนจิตใจแย่อะไร พออยู่ไปนาน ๆ แล้ว เดี๋ยวเธอก็จะรู้เองว่าปากร้ายใจดีเป็นแบบนี้แหละ”
หลังจากพูดมานานสองนานหล่อนก็ยังเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่หือไม่อือ หล่อนก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนต้องเป็นศรีภรรยาที่น่าเบื่อแน่นอน วัน ๆ ไม่พูดไม่จา ปากก็มีไว้แค่กินข้าวอย่างเดียว
หลังจากที่ป้าหยูลูบขาของตัวเองและบอกว่าเหนื่อยแล้ว หล่อนก็บอกจะกลับไปนอนขี้เกียจที่บ้าน จางฉุ้ยเหลียนถึงได้รู้สึกเหมือนกับตัวเองได้รับอภัยโทษแล้วอย่างไรอย่างนั้น เธอรีบกลับบ้านของตัวเองทันที จากนั้นก็เริ่มนั่งเขียนนิยายของตัวเอง มองแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามากระทบชั้นหนังสือ สายลมที่พัดผ่านเข้ามา ทำให้ได้กลิ่นหอมของน้ำหมัก และเธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
“นี่ต่างหากที่เป็นวันของฉัน ! ”
MANGA DISCUSSION