ตอนที่ 158 บ้านใหม่
จางฉุ้ยเหลียนยืนอยู่หน้าประตูบ้าน เธอยิ้มหวานทักทายเพื่อนบ้านที่อยู่รอบ ๆ ทีละคน ๆ ขณะเดียวกันก็หยิบขนมมงคลออกมาจากกระเป๋าสองห่อ และถือโอกาสตอนที่พวกเขาอยู่ที่นี่ มอบขนมมงคลของเธอให้กับพวกเขาคนละชิ้นสองชิ้น
หลังจากนายทหารสองสามนายช่วยงานเสร็จแล้ว เธอก็หยิบบุหรี่หลายกล่องออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นมันไปให้กับพวกเขา
นายทหารทั้งหลายไม่กล้ารับ พวกเขาโบกไม้โบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธ และมองไปทางกู้จื้อเฉิงที่กำลังยืนยิ้มหน้าบานอยู่ กู้จื้อเฉิงยกมือขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุขว่า “รับไว้เถอะ ที่พี่สะใภ้ให้ก็เป็นบุหรี่มงคลทั้งนั้น” เพราะอย่างนั้นพวกนายทหารทั้งหลายถึงกล้ารับบุหรี่มาจากจางฉุ้ยเหลียน จางฉุ้ยเหลียนเข้ามาจับแขนของกู้จื้อเฉิงพร้อมรอยยิ้มหวาน “ไปกันเถอะ พาฉันไปเดินดูบ้านของเราหน่อย”
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงพาจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในบ้าน เขาก็เอื้อมมือไปปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนาทันที ทันใดนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ได้ยินเสียงของพวกผู้หญิงหัวเราะดังลั่นจากข้างนอก “ไอ้หยา เจ้าบ่าวเจ้าสาวล็อคประตูแล้ว ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! ”
พวกผู้หญิงที่อยู่ด้านนอกต่างพากันหัวเราะออกมา อีกทั้งยังมีบางคนขยิบตาให้กันอย่างมีเลศนัยอีกด้วย จางฉุ้ยเหลียนหน้าแดงขึ้นมาทันทีด้วยความเขินอาย และทำตัวอึดอัดราวกับเด็กน้อยที่ได้เจอกับคนแปลกหน้า “ไอ้หยา ทำไมพวกหล่อนน่ารำคาญแบบนี้นะ ! ” หลังจากพูดจบเธอก็เอื้อมมือไปหยิกแขนกู้จื้อเฉิง แม้จะไม่รู้สึกเจ็บแต่กู้จื้อเฉิงก็แกล้งทำเป็นเจ็บมากและร้องตะโกนออกมาว่า ‘โอ๊ย’ ทำเอาจางฉุ้ยเหลียนต้องเอื้อมมือไปลูบแขนของเขาเพื่อบรรเทาความเจ็บ เมื่อเงยหน้าขึ้นเธอก็เห็นลานหน้าบ้านเล็ก ๆ ของตัวเอง
ทางเดินตรงกลางปูด้วยอิฐสีแดง มันทอดยาวไปถึงหน้าประตูบ้าน และเป็นตัวแบ่งลานหน้าบ้านออกเป็นสองฝั่ง
ลานบ้านเล็ก ๆ ของพวกเขาไม่เหมือนกับบ้านหลังอื่น ๆ เพราะประตูใหญ่เชื่อมต่อกับโกดังทางด้านตะวันออกและตะวันตก กู้จื้อเฉิงทำโกดังหลังหนึ่งเป็นโรงเก็บฟืนและถ่าน อีกหลังทำเป็นห้องเก็บของ
สวนทางฝั่งตะวันออกทำตามที่จางฉุ้ยเหลียนต้องการทุกอย่าง เขาไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยสักนิด ปล่อยว่างไว้ให้เธอปลูกดอกไม้ในปีหน้า เขาชี้ไปยังตำแหน่งที่ติดกับหน้าต่างห้องครัวแล้วพูดว่า “โต๊ะหินที่เธอพูดถึงยังไม่มาถึง น่าจะถึงในอีกสองวัน คู่กับม้านั่งหินอีกสองตัว เธอคิดว่ามันเป็นยังไงบ้าง ? ” หลังจากพูดจบเขาก็ถอนหายใจออกมา “เห้อ ! เพราะเนื้อที่ไม่พอ ไม่อย่างนั้นฉันก็จะทำชิงช้าให้เธอได้นั่งเล่นแล้ว”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้ม “ชิงช้าอะไรกัน ถ้าพี่จะทำให้ฉัน พี่ก็ทำเก้าอี้โยกให้ฉันสักตัว แค่นั้นฉันก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
สวนทางด้านขวามือของพวกเขาก็เป็นต้นเชอร์รี่ที่มีกิ่งก้านสาขาที่งดงามสองต้น จางฉุ้ยเหลียนจำได้ว่าเดิมทีที่ตรงนี้มันมีต้มแอปเปิลแค่ต้นเดียว แต่กู้จื้อเฉิงคิดว่าควรมีเป็นคู่ถึงจะดี เขาเลยตัดต้นแอปเปิลนั้นทิ้ง เหลือพื้นที่โล่งบริเวณหนึ่งไว้ เผื่อต่อไปจางฉุ้ยเหลียนอยากจะเลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ด
“พอเลย ๆ ฉันไม่เลี้ยงหรอก พี่ไม่ได้เป็นคนบอกเองหรือว่าที่หน่วยบริการมีขายทุกอย่าง เพราะอย่างนั้นฉันซื้อกินเอาไม่ได้หรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ปีกในบ้าน อีกอย่างนอกกำแพงกรมทหารก็เป็นหมู่บ้าน แล้วจะไปหาซื้อเอาข้างนอนไม่ได้เลยรึไงกัน ปลูกดอกไม้ ปลูกหญ้า เลี้ยงปลาทอง เรื่องพวกนี้ต่างหากที่เธอชอบ เพื่อให้ได้กินเพียงแค่ไม่กี่คำ เธอไม่มีทางเลี้ยงแม่ไก่หรอก
กู้จื้อเฉิงคิดไม่ถึงว่าจางฉุ้ยเหลียนจะเดินจูงมือเขาเข้าไปในบ้านแบบนี้ เพิ่งเข้ามาข้างในจางฉุ้ยเหลียนก็เริ่มเอ่ยชมทันที “ไอ้หยา กำแพงนี่ขาวจริง ๆ แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้ทาสีหลอก ๆ ” เธอเอื้อมมือไปแตะ “ใช่จริง ๆ พี่ทาสีโป๊วลงไปแล้วก็ทาสีทับอีกรอบหรือ ? ”
“ภรรยาที่รัก เธอนี่ฉลาดจริง ๆ เลยนะ” กู้จื้อเฉิงทำหน้าปลื้มใจและภูมิใจ “เธอรู้ไหมฉันทาสีขาวตั้งสองรอบเลยนะ แล้วก็ยังขัดด้วยกระดาษทรายอีกรอบ สุดท้ายก็ทาสีขาวยางพาราทับอีก ฉันทำเองคนเดียวหมดเลย” กู้จื้อเฉิงทำหน้าน้อยใจ “แต่มันก็เหนื่อยมาก เหนื่อยกว่าการที่ฉันฝึกทหารในค่ายทหารซะอีก”
พอจางฉุ้ยเหลียนเห็นกู้จื้อเฉิงทำท่าทางแบบนั้น เธอก็ทำหน้าปวดใจทันที เพราะอย่างนั้นเธอจึงยื่นมือทั้งสองไปจับหน้าเขาเอาไว้ “ไอ้หยา ฉันทำให้สามีของตัวเองเหนื่อยแย่เลย สามีของฉันต้องลำบากแย่แน่ ! ”
ในยุคสมัยนี้คนที่ใช้คำว่า ‘สามี’ ก็มีค่อนข้างน้อย ปกติทุกคนจะเรียกด้วยชื่อ หรือไม่ก็เรียกว่า “นี่” คำว่าสามีและเสียงหวาน ๆ ของจางฉุ้ยเหลียนก็ทำให้ใจของกู้จื้อเฉิงรู้สึกเปราะบางขึ้นมาเลยทีเดียว เขาสัมผัสได้ว่าเลือดร้อน ๆ ทั่วกายไหลไปอยู่ตรงบริเวณเดียว
จางฉุ้ยเหลียนไม่เห็นว่ากู้จื้อเฉิงผิดปกติไป เธอก้มตัวถอดรองเท้าแล้วเอารองเท้าแตะออกมาจากตู้เก็บรองเท้า ต่อจากนั้นเธอก็เปิดประตูและเดินเข้าไปดูในห้องน้ำ พอเดินเข้าไปทางด้านซ้ายมือก็เห็นชั้นวางอ่างล้างหน้า ตัวอ่างล้างหน้าเป็นสีแดงแห่งความมงคล ข้างชั้นวางอ่างล้างหน้าก็มีตู้อยู่หนึ่งตู้ ด้านบนมีแชมพู สบู่ ยาสีฟัน และกาน้ำอีกหนึ่งอันวางอยู่ ด้านในมีผงซักฟอก ข้าง ๆ มีรองเท้าบูทกันฝน 2 คู่และร่มขอเกี่ยวสีดำ 2 อัน ม่านอาบน้ำถูกแขวนไว้บนผนังที่มีความสูงประมาณ 10 เซนติเมตร เมื่อเปิดผ้าม่านออกก็จะพบว่ามีกระเบื้องปูไว้บนผนัง จากสภาพที่เห็นก็คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
สำหรับห้องน้ำที่กู้จื้อเฉิงทำ จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกมีความสุขมาก กู้จื้อเฉิงเห็นจางฉุ้ยเหลียนมีความสุขเขาเลยชี้ไปที่รูระบายน้ำตรงพื้นห้องน้ำ “ถ้าปวดหนักเธอก็ออกไปข้างนอก ถ้าปวดเบาก็ใช้รูตรงนี้ได้ จากนั้นก็ใช้น้ำราดเอา เดี๋ยวมันก็จะไหลไปหาต้นเชอร์รี่ข้างนอกเอง ถือเป็นการเติมปุ๋ยให้มันด้วย”
หน้าของจางฉุ้ยเหลียนตอนนี้มันเต็มไปด้วยความเอือมระอา เธอกลอกตาไปมาและหมดคำพูดในทันที จากนั้นเธอก็เหลือบตาไปมองที่ห้องครัว มันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก เธอเลยหมุนตัวกลับไปมองห้องนั่งเล่นที่เธอออกแบบไว้ ตอนนี้มันก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้ว
ห้องนั่งเล่นถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยมีชั้นวางหนังสือเป็นตัวขั้นกลาง ฝั่งที่ติดกับด้านนอกเป็นชุดเฟอร์นิเจอร์แบบครบเซ็ต ตรงกลางเป็นโทรทัศน์ ขนาบข้างด้วยลำโพง ชั้นวางโทรทัศน์ถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีแดง ทำให้ห้องนั่งเล่นฝั่งนี้ดูทันสมัยขึ้นมาก
โต๊ะน้ำชาอยู่ห่างออกไปเพียงสองก้าว ตัวโต๊ะน้ำชาเป็นสีดำทรายแบบโบราณ ที่ตรงนั้นไม่ได้มีเพียงพนักพิงที่จางฉุ้ยเหลียนทำเองแล้วเท่านั้น แต่มันยังมีตุ๊กตาหน้าตาน่าเกลียดวางอยู่ด้วยอีกหนึ่งตัว
บนชั้นหนังสือมีหนังสือที่จางฉุ้ยเหลียนส่งมาก่อนหน้านี้จัดเรียงเอาไว้ พวกมันถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ หลังจากเดินผ่านชั้นหนังสือมาแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เห็นโต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่งวางติดกับหน้าต่าง ด้านซ้ายมือเป็นรูปแต่งงานของทั้งสองคน ด้านขวามือมีโคมไฟตั้งโต๊ะเน่า ๆ เก่า ๆ เต็มไปด้วยคราบสกปรกตั้งอยู่ ตัวเก้าอี้เข้ากับโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าเขาเอาเก้าอี้สภาพเก่าหนังสีดำที่ตรงกลางทรุดตัวแล้วแบบยุค 50 มาจากไหน
ส่วนผนังห้องน้ำที่หันไปทางประตูหน้าบ้าน กู้จื้อเฉิงก็ตั้งโต๊ะกินข้าวเอาไว้ตรงนั้น ด้านบนวางแก้วชาใบใหญ่ เหยือกน้ำหนึ่งใบ และแก้วใบเล็ก ๆ อีกสองใบ ทั้งยังคลุมมันด้วยผ้าสีแดงเพื่อความมงคล และบนผนังฝั่งนั้นก็ยังแปะคำว่ามงคลไว้แผ่นใหญ่ ๆ อีกด้วย
ห้องนั่งเล่นที่หรูหรา โดนเขาตกแต่งจนน่าเกลียดจนเธอแทบอยากจะร้องไห้ออกมา
กู้จื้อเฉิงเห็นสีหน้าของจางฉุ้ยเหลียนที่เปลี่ยนไปแล้วเปลี่ยนไปอีก เขาเลยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเครียดหน่อย ๆ ว่า “เป็นอะไรไป ? ไม่ตรงใจเธอหรือ ? ฉันก็ทำตามรูปที่เธอวาดมาเลยนะ ไม่ผิดไปเลยสักนิด ! ”
นี่มันยังเรียกว่าไม่ผิดไปอีกหรือ ? สิ่งของที่เขาเพิ่มเข้ามาเองพวกนี้มันส่งผลต่อภาพรวมเต็ม ๆ เลย มันก็เหมือนกับ วาดงูเติมขา เขาเข้าใจรึเปล่า ? แต่เป็นเพราะกู้จื้อเฉิงตั้งใจทำมาก เธอเลยต้องชมเขาหน่อย
จางฉุ้ยเหลียนเอ่ยชมกู้จื้อเฉิงอย่างไม่ลังเล ราวกับว่าบนโลกใบนี้มีเพียงแค่กู้จื้อเฉิงเพียงคนเดียวที่สามารถทำแบบนี้ได้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะ งานศิลปะชิ้นนี้เป็นอะไรที่เท่สุด ๆ
ตอนนี้ก็สายมากแล้ว เพราะอย่างนั้นกู้จื้อเฉิงเลยออกไปซื้ออาหารที่โรงอาหาร ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็เก็บของอยู่ที่บ้าน ขณะที่เธอมองกล่องใบใหญ่ที่ตัวเองขนมาด้วย เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรที่จะเริ่มลงมือจากตรงไหนก่อนดี
“โชคดีที่เขียนไว้ เริ่มจัดการห้องครัวก่อนก็แล้วกัน” จางฉุ้ยเหลียนเอาเครื่องครัวที่เธอเอามาด้วยออกมา จากนั้นก็นำไปวางที่ชั้นวางในห้องครัว และแล้วเธอก็หันไปเห็นกระสอบข้าวและถุงแป้ง แล้วก็อดที่จะถอยใจออกมาเฮือกใหญ่ไม่ได้ “นี่เขาคิดว่าวัน ๆ ต้องกินแค่ข้าวกับแป้งจริง ๆ หรือ ? ” เพราะสิ่งที่ห้องครัวทุกบ้านจะขาดไม่ได้เลยก็คือแป้งข้าวโพด ข้าวฟ่างเม็ดเล็ก ถั่วแดง ถั่วเขียว แต่ของพวกนี้กลับไม่มีอยู่เลยในห้องครัวของเธอตอนนี้ เพราะอย่างนั้นเธอจึงคิดว่าเดี๋ยวรอเธอจัดของเสร็จแล้ว เธอค่อยออกไปซื้อก็ได้
ขณะมองชุดจานชามช้อนซ้อมของติงเขอที่ยังไม่ได้ถูกแกะออกจากลังไม้ จางฉุ้ยเหลียนก็แทบอยากจะตะโกนเรียกให้กู้จื้อเฉิงกลับมาช่วยแกะมันซะตอนนี้เลย
หลังจากที่จัดการกับห้องครัวเสร็จแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เอาของที่ติงหลงหลงส่งมาให้ออกมา พอเห็นกล่องทั้งหลายที่วางตั้งอยู่ในบ้าน เธอก็ไม่รู้ว่าควรชมหรือจะด่ากู้จื้อเฉิงดี
สำหรับของที่เพื่อน ๆ ของจางฉุ้ยเหลียนส่งมาให้ เขาไม่แตะต้องมันเลยสักนิดเพียงแค่วางไว้อีกทางด้านหนึ่งเท่านั้น ไม่แกะออก ไม่ประกอบ และก็ไม่ถามเธอเลยแม้แต่น้อย นี่มันเป็นการให้เกียรติเธอ หรือว่าไม่สนใจของที่เพื่อนเธอส่งมากันแน่นะ…
จางฉุ้ยเหลียนเริ่มไม่เข้าใจหน่อย ๆ บางทีเขาคงกะจะให้เธอมาแกะกล่องของขวัญด้วยตัวเองล่ะมั้ง
กล่องที่โดนแกะออกแล้วไม่อาจใส่อะไรได้อีก ส่วนกล่องที่ยังไม่ได้แกะก็ไม่ต้องจินตนาการเลย
จางฉุ้ยเหลียนบุ้ยปาก ท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจจะไปจัดเสื้อผ้าที่ตัวเองเอามาก่อน โชคดีที่กู้จื้อเฉิงเอาตู้เสื้อผ้ามาวางไว้ในห้องนอน แม้แต่ห้องนอนเธอก็ปรับปรุงใหม่ด้วยเช่นกัน
เตียงอิฐหลังใหญ่ก่อนหน้านี้ที่กินพื้นที่สองในสามส่วนของห้องและกินพื้นที่ใต้หน้าต่าง ตอนนี้มันก็โดนพังยับ และถูกสร้างใหม่เป็นเตียงอิฐที่มีขนาดเพียงครึ่งเดียวจากขนาดของเตียงเดิม ตำแหน่งตรงหน้าต่างจึงมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเยอะ
กู้จื้อเฉิงวางโต๊ะเครื่องแป้งตรงตำแหน่งเตียงอิฐเดิม และกระจกโต๊ะเครื่องแป้งก็ยังคงเป็นสีขาว ส่วนผนังที่ติดกับห้องนั่งเล่นถูกวางเอาไว้ด้วยตู้เสื้อผ้าสีเดียวกัน พอดูคู่กับผ้าม่านมันก็ดูมีรสนิยมมาก
พอจางฉุ้ยเหลียนเปิดตู้เสื้อผ้าออก และเธอก็พบกับผ้านวมของทหารหนึ่งผืน เธอนำผ้าห่มแปดผืนที่เอามาจากบ้านใส่เข้าไป จากนั้นก็ยัดเสื้อผ้าของตัวเองเข้าไป โชคดีที่เครื่องแบบทหารของกู้จื้อเฉิงแขวนไว้เหนือตู้วางรองเท้าก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้น มันต้องเหลือพื้นที่ให้เธอใส่ของได้ไม่มากแน่
ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่จางฉุ้ยเหลียนก็ยังพบว่าตอนนี้ตัวเองยังมีของอีกสองกล่องที่ไม่มีที่วาง หลังจากครุ่นคิดมาสักพักหนึ่งแล้ว เธอก็ยกผ้าห่มหกผืนออกมาแล้วใส่กลับเข้าไปในกล่อง เธอใส่มันลงไปในกล่องเสื้อกันหนาวที่ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องใส่เพราะอากาศยังไม่หนาวมาก จากนั้นก็นำมันไปวางไว้ที่ห้องเก็บของที่อยู่ตรงข้ามกับห้องเก็บฟืนและถ่านหิน
โกดังเก็บของของคนอื่นมักจะเอาไว้เก็บพวกพลั่ว อาหาร และของอื่น ๆ แต่โกดังของพวกเขากลับเปลี่ยนเป็นที่เก็บของส่วนตัวของจางฉุ้ยเหลียน สมบัติส่วนใหญ่ที่เธอเอามาจากเมือง Q ล้วนถูกเก็บไว้ในนี้ทั้งนั้น
ระหว่างไปซื้ออาหารที่โรงอาหาร กู้จื้อเฉิงก็ได้เจอกับเพื่อนทหารของเขาที่เพิ่งจะเลิกงาน ทุกคนต่างก็รู้ว่าตอนนี้ภรรยาของเขามาอยู่ที่นี่แล้ว เพราะอย่างนั้นพวกเขาเลยเข้ามาเอ่ยแซวและขอไปกินข้าวที่บ้านของเขา กู้จื้อเฉิงเองก็ดีใจ เขาเลยนัดกับเพื่อน ๆ ว่าจะกินมื้อเย็นกันในวันเสาร์หน้า หลังจากนั้นเขาก็ถืออาหารอร่อย ๆ สองสามอย่าง เดินกลับมาที่บ้านอย่างมีความสุข
เมื่อมาถึงบ้านแล้ว เขาก็พบว่าในบ้านมันต่างไปจากเดิมแล้ว ถึงแม้ว่าจะบ้านยังเป็นเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกของมันกลับเปลี่ยนไป
ในห้องครัวมีเครื่องครัวสีสว่างสดใส กาต้มน้ำอยู่บนเตาพร้อมน้ำร้อน แก้วชาใบใหญ่ เหยือกน้ำ และแก้วน้ำต่าง ๆ ที่เขาวางไว้บนโต๊ะกินข้าวตอนนี้มันก็ถูกย้ายออกไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอไม่พอใจในการตกแต่งตรงนี้
และบนเก้าอี้ก็ถูกคลุมด้วยผ้าสีแดง เขาเอามือไปจับในส่วนที่โดนแก้ไข หลังจากที่เขาหามานานสองนาน ในที่สุดเขาก็เจอหมุดที่มันทำให้ผ้าบนเก้าอี้ตึง
กู้จื้อเฉิงขมวดคิ้ว แม้จะไม่เข้าใจว่าหนังดำก็ดีอยู่แล้วทำไมถึงต้องใช้ผ้าคลุมอีก แต่พอมีผ้าคลุมอยู่แบบนี้แล้ว เก้าอี้พนักพิงที่จางฉุ้ยเหลียนเป็นคนทำ แล้วก็ยังมีตอไม้ตรงโต๊ะน้ำชาพวกนั้นมันก็ดูดีขึ้นมาก
“นั่นมันไม่ได้เรียกว่าตอไม้นะ!” จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาพร้อมชุดชา และสีหน้าที่หดหู่ “นั่นมันเรียกว่าเบาะสาน มันเป็นเก้าอี้ตัวน้อยที่เอาไว้ใช้นั่งตรงโต๊ะน้ำชา ! ”
ตอนนี้กู้จื้อเฉิงก็จำไม่ได้เลยว่า เจ้าตอไม้นี่เรียกว่าเก้าอี้น้อยหรือว่าเบาะสานกันแน่ เพราะดวงตาของเขาโดนชุดชาอันงดงามตรงหน้าดึงดูดไปแล้ว
“อย่าเพิ่งสนใจโต๊ะชาเลย พี่ช่วยแกะกล่องชุดจานชามนั่นออกมาให้ฉันก่อนเถอะ” จางฉุ้ยเหลียนชี้ไปที่มุมห้อง พร้อมกับบุ้ยจือปากสีแดงก่ำราวกับเด็กน้อยของเธอ
กู้จื้อเฉิงก้มลงไปมองที่แขนของตัวเองที่ตอนนี้โดนฉุ้ยเหลียนเอาไปกอด ทันใดนั้นความรู้สึกแปลกประหลาดนั่นก็กลับมาอีกครั้ง เลือดลมของเขาถูกสูบฉีดไปทั่วร่างพร้อมกับหัวใจที่เต้นเร็ว เลือดพวกนั้นพุ่งตรงไปอยู่ที่บางส่วน เขารู้สึกคันยุกยิกไปทั้งตัว แม้แต่การหายใจก็เปลี่ยนเป็นหอบ
แปลกจริง ๆ พอโดนตัวเธอทีไร ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกทีแบบนี้ล่ะ ?
MANGA DISCUSSION