ตอนที่ 157 สินเดิม
ปลายเดือนกรกฎาคม จางฉุ้ยเหลียนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะย้ายไปอยู่สุ่ยหยวนแต่อย่างใด และครั้งนี้มันก็ทำให้อันหลงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา หล่อนมากระตุ้นลูกสะใภ้ที่บ้านตระกูลเซี่ยครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไอ้หยา อีกแค่สองวันผลการเรียนของเสี่ยวชิวก็จะออกแล้ว ฉันคิดว่าถ้าเสี่ยวชิวสอบติดแล้ว ฉันก็จะได้โล่งใจสักที แล้วก็จะได้เชิญพวกญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อหนึ่ง และจะได้ถือโอกาสบอกทุกคนด้วยว่า ตอนนี้ลูกชายของฉันแต่งงานแล้ว และรอให้ถึงวันปีใหม่ เราก็จะจัดงานแต่งงานกัน” ตงลี่หวาเข้าใจความหมายที่อันหลงต้องการสื่อดี หล่อนกำลังบอกว่าอยากให้จางฉุ้ยเหลียนรีบย้ายไปอยู่ที่โน้นเร็ว ๆ
“วันที่ 1 เดือนสิงหาคมนี้ก็ย้ายไปไม่ทันแล้ว แต่ก็คงจะย้ายไปวันที่ 11 เดือนสิงหาคมนี้ใช่ไหม ? ” อันหลงมองตงลี่หวาอย่างใจเย็น แต่ในใจของหล่อนกลับรู้สึกกระวนกระวายจนจะบ้าตายอยู่แล้ว
“ของที่จำเป็นก็ส่งไปหมดแล้ว แต่ยังเหลือโคมไฟอีก 2 ชิ้นที่ต้องรอส่งมาจากต่างประเทศ พอของส่งมาถึง ฉุ้ยเหลียนก็จะไปแล้วล่ะ ถ้าของมาถึงเร็วก็คงไม่ได้ไปส่งเสี่ยวชิวแล้ว” จางฉุ้ยเหลียนเองก็เคยพูดว่า เธอไม่อยากออกไปข้างนอกกับอันหลงอีก เรื่องไปส่งกู้จื้อชิวที่มหาวิทยาลัยก็ให้บ้านของพวกเขาไปกันเองดีกว่า
“โคมไฟอะไรหรือ ถึงกับต้องซื้อจากต่างประเทศเลยหรือ ? นั่นมันราคาเท่าไหร่กัน ! ” อันหลงทำหน้าไม่สบอารมณ์ แสดงแววตาดูถูกออกมาอย่างไม่อาจปิดบัง
“ไม่ได้ซื้อเองหรอก เพื่อนของเธอซื้อให้ เธอมีเพื่อนเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ ทั้งสองคนสนิทกันมาก พอได้ยินว่าฉุ้ยเหลียนแต่งงานแล้ว หล่อนก็บอกว่าต้องส่งอะไรสักอย่างมาเป็นของแทนความทรงจำ ฉุ้ยเหลียนเลยบอกหล่อนไปว่า ให้หล่อนส่งโคมไฟตั้งพื้นมาให้เธอสักชุดน่ะ” ตงลี่หวาก้มหน้าเย็บผ้าต่อไป และไม่ว่าอันหลงจะพูดอะไรหล่องก็ยังคงควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี
“ยังต้องการโคมไฟตั้งพื้นอีกหรือ ต่างประเทศก็ไม่มีของดีอะไรสักหน่อย จะเอาไปทำไม เป็นพวกเอาเนื้อหมาขึ้นโต๊ะไม่ได้จริง ๆ ” อันหลงปากไวไปหน่อย หล่อนเผลอพูดคำที่ไม่น่าฟังออกมา
ตงลี่หวาถึงกับต้องเงยหน้ามามองหล่อนทันที อีกทั้งสีหน้าของตงลี่หวาตอนนี้มันก็เต็มไปด้วยความโกรธ “แม่สามี เธอพูดอะไรของเธอ เธอเป็นคนมีฐานะ และยังเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ทำไมถึงพูดอะไรแบบนี้ออกมาจากปากได้ล่ะ ? เธอหมายความว่ายังไง ? เธอกำลังดูถูกลูกสาวของเราอยู่ใช่ไหม ? ”
อันหลงย่อมรู้ตัวว่าตนเองนั้นพูดผิดไป หล่อนจึงรีบลุกขึ้นมาขอโทษทันที “ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“ไม่ได้หมายความแบบนั้นแล้วมันหมายความว่าแบบไหน ? ฉันได้ยินเต็มสองหู เธอคิดจะทำอะไร ? ” ตอนนี้ตงลี่หวารู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เพราะอันหลงเหยียบจมูกขึ้นหน้าหลายต่อหลายครั้งแล้ว เพื่อให้ลูก ๆ ทั้งสองมีชีวิตที่สวยงาม ตงลี่หวาจึงไม่เคยพูดจาไร้สาระมาก่อน แต่วันนี้อันหลงก็ทำเกินไปแล้วจริง ๆ
(เหยียบจมูกขึ้นหน้า การที่ฝั่งหนึ่งให้เกียรติอีกฝั่งหนึ่ง แต่อีกฝ่ายไม่คิดสนใจ กลับกันยังวางท่าได้ใจยิ่งกว่าเดิม)
“ไอ้หยา ฉันก็แค่ใจร้อนเฉย ๆ ใจร้อนแทนลูกชายน่ะ เธอคิดดูสิว่าตอนนี้ฉุ้ยเหลียนก็เรียนจบมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่ย้ายไปสักที แล้วอีกอย่าง บ้านเธอเองก็ไม่ได้พูดว่าจะทำยังไง แล้วยังไม่ให้ฉันถามอีกหรือ ? ” อันหลงหลบสายตา คำพูดที่พูดออกมาก็ฟังดูไม่ค่อยมั่นใจ
“แล้วลูกสาวของฉันอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ ? เธอก็เห็นว่าหล่อนก็กำลังเตรียมของอยู่ไม่ใช่หรือ ? สุ่ยหยวนก็บ้านนอกขนาดนั้น ของอะไรก็ไม่มี วันนี้ลูกสาวของฉันก็เพิ่งจะส่งโทรศัพท์ไป พรุ่งนี้ก็ต้องไปส่งตู้เย็น แล้วนี่มันยังไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกรึไง จนถึงตอนนี้ลูกเขยก็ยังไม่จัดการเรื่องงานให้เรียบร้อยเลย แต่เธอก็มาใส่อารมณ์กับพวกเราแล้ว พูดถึงเรื่องใส่อารมณ์ บ้านของเธอได้ไปซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือ เธอเป็นแม่สามีนะ แต่เธอก็ไม่คิดที่จะส่งผ้าห่มไปให้ลูกชายสักสองผืนบ้างเลยรึไง ! ”
แม้ตงลี่หวาจะไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นบ่อย ๆ แต่หล่อนก็เกิดมาพร้อมเสียงที่สดใส ยิ่งพูดเสียงสูงมากเท่าไหร่ น้ำเสียงก็ยิ่งดูมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น เดิมทีอันหลงเป็นคนพูดไม่เข้าหูเอง แต่คราวนี้หล่อนกลับโดนตงลี่หวาบีบมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สีหน้าของหล่อนที่แย่อยู่แล้ว มันก็ยิ่งแย่ลงไปอีก และมันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว ๆ ขาว ๆ ลงไปทุกที
“ไอ้หยา แม่ยายดูเธอสิ พูดจารีบร้อนเชียว ฉันเป็นคนยังไงเธอก็รู้ดี ฉันก็เห็นว่าเธอทำผ้าห่ม 8 ผืนเอาไว้แล้ว เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยคิดว่าพวกเขาสองคนคงไม่ต้องการแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ส่งอะไรไปนะ ฉันเองก็เตรียมผ้าห่มไว้ 8 ผืนแล้วเหมือนกัน แต่ถ้ายังส่งผ้าห่มไปให้พวกเขาอีก มันก็จะไปกองรก ๆ ที่บ้านของพวกเขาเปล่าๆ แต่ถ้าเธอไม่เชื่อ เธอจะไปดูที่บ้านของฉันตอนนี้เลยก็ได้นะว่าฉันเตรียมเอาไว้แล้วจริง ๆ บ้านใหม่ของพวกเขาสองคนก็ว่างอยู่ตลอด ด้านในพวกเขาก็ให้ฉันเปลี่ยนสไตล์การตกแต่งใหม่ ฉุ้ยเหลียนจะได้กลับมาอยู่บ้านได้ทุกเมื่อ”
อันหลงพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วน แอบโกรธตัวเองที่พูดอะไรออกไปโดยที่ไม่ระวัง ตงลี่หวาเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก หล่อนกลัวว่าหากพูดอะไรออกมาอีกพวกเธอทั้งสองคนก็อาจจะทะเลาะกันขึ้นมา
ไม่มีใครเอาเรื่องนี้ไปบอกจางฉุ้ยเหลียน ในเวลานี้เธอกำลังยืนรอของขวัญแต่งงานที่ติงเขอส่งมาให้จากมณฑลกวางตุ้งที่สถานีรถไฟ
พอได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนจะแต่งงาน เพื่อน ๆ ต่างก็มาร่วมแสดงความยินดีกับเธอ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมหอพักในวิทยาลัยอย่างจางเหว่ย หลี่ม่าน เกาปิน และหวังโต้วโต้ว พวกเธอใช้โอกาสที่ยังอยู่ในเมืองมาเป็นแขกที่บ้านของจางฉุ้ยเหลียนอยู่พักหนึ่ง แต่พวกเธอก็ไม่รู้เลยว่าจางฉุ้ยเหลียนจะจัดงานเลี้ยงแต่งงานตอนไหน พวกเธอต่างก็อยากจะให้เงินเป็นของขวัญแต่งงานแต่กลับโดนจางฉุ้ยเหลียนปฏิเสธ
เธอบอกกับพวกหล่อนไปว่าเธอไม่อยากได้เงิน แต่อยากได้ของแทนความทรงจำแทน เพราะถ้าเป็นของขวัญเธอก็จะสามารถเอาไปที่โน้นได้ เวลาที่เธอคิดถึงเพื่อน ๆ เธอก็จะได้รำลึกได้ในวันข้างหน้า และด้วยความที่ทุกคนรู้จักกันมาหลายปีและความสัมพันธ์ของพวกเธอก็ลึกซึ้ง เพราะอย่างนั้นพวกเธอจึงรู้ดีว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ และคำพูดที่เธอพูดออกมามันก็มาจากใจของเธอ
พวกเพื่อน ๆ ต่างก็เป็นคนที่จริงใจมาก ทุกคนรวมเงินกันซื้อชุดน้ำชาให้จางฉุ้ยเหลียนชุดหนึ่ง และจางฉุ้ยเหลียนก็รับมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเธอก็แพ็คมันลงในกล่องลังเตรียมส่งมันไปให้กู้จื้อเฉิงพร้อมกับหนังสือของตัวเองทางรถไฟ
สำหรับติงหลงหลง ติงเขอ และฟู่ซิน จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้เกรงใจพวกเขาแต่อย่างใด เธอบอกรายการของที่ตัวเองซื้อไม่ไหวหรือของที่ตัวเองซื้อไม่ลงให้พวกเขาได้รับรู้
ติงหลงหลงซื้อโคมไฟตั้งโต๊ะและตั้งพื้นให้เธอหนึ่งชุด นอกจากนี้หล่อนยังให้ชุดโคมไฟคล้ายเทียนที่สามารถติดบนฝาผนังและโคมไฟในสวนให้กับเธอด้วย สไตล์ที่ดูดีของมันทำให้จางฉุ้ยเหลียนถึงกับวางไม่ลง เธอห่อพวกมันด้วยกระดาษชั้นแล้วชั้นเล่า และเธอก็ไม่กล้าส่งมันไปทางรถไฟ เพราะอย่างนั้นเธอจึงตัดสินใจจะขนมันไปพร้อมกับตัวเองแทน
เธอบอกกับติงเขอว่าตัวเองต้องการชุดจามชามช้อนส้อม และเธอยังเจาะจงอีกว่าขอแค่ทั้งเซ็ตนั้นดูดีแค่นั้นก็พอแล้ว พอติงเขอได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง โดยเฉพาะสาวน้อยที่เพิ่งจะแต่งงานใหม่ ๆ เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงไปเลือกซื้อชุดจานชามที่เมืองกว่างโจว จนสุดท้ายหล่อนก็เจอชุดจามชามที่คุ้มค่าในราคา 60 หยวน พวกมันมีลายดอกไม้สีทองอร่าม ให้อารมณ์เหมือนกับของที่ใช้กันในราชวงศ์อย่างไรอย่างนั้น
ราคาของมันแพงมากจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังฝืนใจซื้อมันกลับมา หล่อนนำพวกมันแต่ละชิ้นมาห่อด้วยกระดาษหนา ๆ ตรงกลางใช้โฟมกั้นเอาไว้เพื่อแยกมันออกจากกัน ด้านนอกบรรจุด้วยกล่องโฟม และสุดท้ายก็ใส่มันลงไปในกล่องไม้อีกชั้น แล้วห่อด้วยเทปอีกรอบ ทุกด้านเขียนไว้ว่ายกเบา ๆ วางเบา ๆ ท่าทางระวังเช่นนั้นของหล่อนก็ทำให้สามีของหล่อนอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
มันถูกส่งตรงไปหากู้จื้อเฉิง และกู้จื้อเฉิงก็ออกไปรับพัสดุบ่อย ๆ ตอนนี้เพื่อนบ้านทุกคนต่างก็รู้กันหมดแล้วว่า ภรรยาป้ายแดงของเขากำลังจะเข้ามาอยู่ที่นี่
มีข่าวลือว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นคนที่ร้ายกาจ อีกทั้งยังบอบบาง แม้แต่ตัวยังมาไม่ถึงก็ทำให้ผู้ชายทรมานเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้แล้ว
ติงเหมยกำลังมาตักน้ำที่บ่อหน้าบ้าน หล่อนเห็นกู้จื้อเฉิงขับรถทหารกลับเข้ามา จากนั้นนายทหารสองนายก็ขนกล่องใบใหญ่ลงมาจากท้ายรถ ตรงตัวกล่องยังเขียนข้อความเอาไว้ว่ายกเบา ๆ วางเบา ๆ อีกด้วย
หล่อนอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดูที่บ้านตระกูลกู้ หล่อนอยากจะเห็นว่าของที่ส่งมานี้เป็นสมบัติล้ำค่าอะไร “ผู้บัญชาการกู้มีของใหม่มาอีกแล้วหรือ ? แล้วเจ้านี่คือของล้ำค่าอะไรหรือ ? ”
พอกู้จื้อเฉิงหันหลังกลับไป เขาก็เจอกับภรรยาของครูฝึกโจวที่กำลังยืนอยู่หน้าบ้านของเขา ยังไม่รอให้กู้จื้อเฉิงได้พูดอะไรออกมา ติงเหมยก็พูดออกมาก่อนว่า “ไอ้หยา เป็นคนเรียบร้อยจริง ๆ ผู้บัญชาการกู้ คุณนี่ก็เป็นคนละเอียดมากเหมือนกันนะ บ้านของคุณสะอาดจนฉันไม่กล้าเหยียบเข้าไปเลย”
หลังจากพูดจบหล่อนก็เอื้อมมือไปผลักประตูห้องน้ำให้เปิดออก “ไอ้หยา พวกคุณปรับปรุงบ้านใหม่หรือ แล้วนี่กำลังจะทำเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ ? ” หล่อนเอื้อมมือไปเปิดม่านอาบน้ำ พอเห็นถังน้ำและฝักบัวติดอยู่ที่ผนัง หล่อนก็ถามขึ้นมาอย่างงุนงงว่า “พวกคุณจะอาบน้ำกันในบ้านหรือ ? แล้วมันจะอาบได้ยังไง ? ที่นี่ไม่มีท่อน้ำทิ้งสักหน่อย ? ”
กู้จื้อเฉิงเริ่มรู้สึกไม่พอใจ แต่เขาก็ยังตอบกลับไปด้วยความอดทน “ก็แค่เติมน้ำอุ่นลงไป ใช้แก้ขัดไปก่อนก็เท่านั้น ! ถ้าพี่สะใภ้ชอบ ก็บอกให้ครูฝึกโจวทำให้สิ”
ติงเหมยคลี่ยิ้ม เดินออกมาจากห้องน้ำแล้วพูดกับกู้จื้อเฉิงว่า “พี่สะใภ้อะไรกัน พวกเราอ่อนกว่าคุณอีก คุณเรียกฉันว่าน้องก็พอแล้ว ! ”
กู้จื้อเฉิงเค้นเสียงตอบออกมาสั้น ๆ ว่า “อือ” จากนั้นก็พูดกับทหารทั้งสองนายว่า “พอแล้วล่ะ พวกเราไปกันเถอะ” จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับติงเหมยว่า “น้องสะใภ้ ฉันยังมีงานที่ต้องไปทำอีก”
ติงเหมยหัวเราะออกมาพร้อมกับพยักหน้าเป็นการตอบรับให้กู้จื้อเฉิง “คุณไปเถอะ ฉันเองก็ต้องไปทำงานแล้วเหมือนกัน”
พอเดินออกมาที่สวนบ้านตระกูลกู้ ติงเหมยก็มองสำรวจมันไปรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ในสวนบ้านเขามีต้นเชอร์รี่อยู่ 2 ต้น พวกมันมีกิ่งก้านสาขาที่งดงาม และพื้นอีกด้านหนึ่งก็ถูกเก็บกวาดจนสะอาด แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่มี หล่อนสงสัยในใจว่าผู้บัญชาการกู้คนนี้ไม่ปลูกผักอะไรเอาไว้เลยหรือ ถ้าภรรยาของเขามาอยู่ที่นี่แล้วจะกินอะไรกันล่ะ?
พอเดินออกมาแล้ว ติงเหมยก็เห็นกู้จื้อเฉิงขับรถออกไป เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยรีบวิ่งไปคุยกับบ้านที่อยู่สุดฝั่งตะวันตกหลังนั้นทันที
กู้จื้อเฉิงกลับมาที่ห้องทำงาน เขาต่อสายไปหาจางฉุ้ยเหลียน เพื่อบอกเธอว่าของจากกว่างโจวมาถึงแล้ว และถามเธอว่ามันคืออะไร จางฉุ้ยเหลียนบอกเขาว่ามันเป็นชุดจานชาม กู้จื้อเฉิงเพียงแค่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรอย่างอื่นอีก
ฟู่ซินให้ใบเสร็จจองหนังสือกับจางฉุ้ยเหลียน เวลาจางฉุ้ยเหลียนอยากซื้อหนังสืออะไรจะได้ไปเลือกด้วยตัวเอง จางฉุ้ยเหลียนรับมาด้วยความยินดี จากนั้นเธอก็ไปเลือกหนังสือที่อยากอ่านจากร้านหนังสือมาลังใหญ่
พอซื้อตั๋วรถไฟแล้ว วันออกเดินทางก็ถูกกำหนด เพราะอย่างนั้นเซี่ยจวินจึงเชิญตระกูลกู้มาร่วมรับประทานอาหารที่บ้านของเขา จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นกู้เต๋อไห่ อันหลง กู้จื้อชิว เซี่ยจวินและตงลี่หวา ก็พากันมาส่งจางฉุ้ยเหลียนที่สถานีรถไฟ
ขณะมองรถไฟวิ่งออกไปไกล อันหลงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่หล่อนก็รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่า จางฉุ้ยเหลียนย้ายบ้านแต่ทำไมแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอถึงไม่มาส่งเธอเลย
พอจางฉุ้ยเหลียนขึ้นรถไฟแล้ว เซี่ยจวินก็โทรไปหากู้จื้อเฉิง “อือ ขึ้นรถไฟไปแล้วล่ะ ตอนที่เธอไปรับหล่อนก็อย่าลืมพาคนไปด้วยสักสองคนล่ะ หล่อนขนของไปเยอะน่ะ พวกเธอ 2 คนขนกันไม่ไหวหรอก”
ตอนนี้กู้จื้อเฉิงก็ดีใจจนเนื้อเต้น ในที่สุดภรรยาที่เขารอคอยมานานแสนนานก็เดินทางมาหาเขาสักที เธอขนของมาเยอะแล้วยังไงล่ะ ที่เธอขนของมาเยอะขนาดนั้นมันก็เป็นเพราะเธอจะมาอยู่ที่นี่กับเขาแล้ว
พอจางฉุ้ยเหลียนมาถึงเขตที่พักอาศัย ความฮือฮาก็ได้บังเกิด ไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านฝั่งนี้ที่ออกมาดูแล้วเท่านั้น เพราะแม้แต่คนที่พักอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็วิ่งออกมาดูด้วยเช่นกัน
ขณะมองกล่องลังต่าง ๆ ที่ถูกขนลงมาจากรถ ทุกคนต่างก็พากันซุบซิบนินทาด้วยความสงสัย และด้วยความที่ติงเหมยรู้จักกับจางฉุ้ยเหลียน หล่อนเลยวิ่งเข้าไปทักทายอย่างคุ้นเคย
“ไอ้หยา พี่สะใภ้ พี่มาได้สักที ฉันคิดถึงพี่มากเลย” หล่อนจับมือของจางฉุ้ยเหลียนอย่างสนิทสนม
จางฉุ้ยเหลียนยืนดูพวกนายทหารขนของอยู่ข้างรถ และถามพวกเขาออกไปเป็นครั้งคราวเพราะกลัวว่าเธอจะทำพวกเขาเหนื่อย และทำให้ภาพลักษณ์ของกู้จื้อเฉิงดูไม่ดี
“พี่สะใภ้ พี่จะขนของมาเยอะแยะขนาดนี้ทำไม ? แล้วของพวกนี้มันคืออะไร ? ฉันเห็นผู้บัญชาการกู้ไปรับของที่สถานีรถไฟทุกวัน ทำไมบ้านพี่ถึงได้ใหญ่จัง ! ” ติงเหมยอิจฉา เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงอดถามออกไปไม่ได้
“พูดอะไรของเธอน่ะ ! ” จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะคิกคักออกมา “พวกเราสองคนก็เพิ่งจะแต่งงานกัน เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่ สินเดิมของฉันก็มีพวกผ้าห่ม 8 ผืน หม้อ จาน ชาม กระทะ แล้วก็ของใช้ต่าง ๆ เพราะอย่างนั้นของมันก็ต้องเยอะเป็นธรรมดาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
พอได้ยินจางฉุ้ยเหลียนพูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวแบบนั้น ติงเหมยก็อดตกใจไม่ได้ “หา ? แม้แต่ผ้าห่มที่บ้านก็ขนมาด้วยหรือ งั้นบ้านใหม่ก็โล่งไม่มีใครอยู่น่ะสิ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนถอนหายใจออกมา และแกล้งทำเป็นผิดหวัง “มีบ้านใหม่ที่ไหนกันล่ะ พวกเราอยู่กับพ่อแม่สามี พื้นที่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรเก็บของได้ไม่หมด” ทันใดนั้นเธอก็เห็นติงเหมยแสดงสีหน้ามีความสุขออกมาอย่างที่เธอคิดไว้ เธอเลยพูดต่อไปอีกสั้น ๆ ว่า “ไม่เหมือนพวกเธอที่ได้อยู่บ้านเดี่ยวกัน พื้นที่กว้างขวางห้องก็ใหญ่ แต่ที่บ้านของพวกเรามีทั้งพ่อสามี แม่สามี น้องสาวของสามี และยังมีเราอีก 2 คน พอหมุนตัวก็ชนกันแล้ว เลยสู้ให้พวกเราย้ายออกมาอยู่ต่างหากดีกว่า เงียบสงบกว่ากันเยอะ ! ”
MANGA DISCUSSION