ตอนที่ 156 เรียนจบแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนเห็นเซี่ยจวินทำหน้าไม่มีความสุข เธอเลยใช้โอกาสที่อันหลงเดินออกไป หันไปกระซิบข้าง ๆ หูของเขา “นี่เป็นความคิดของหนูเอง หนูไม่อยากอึดอัดใจที่จะต้องอยู่บ้านพวกเขาคนเดียว พ่ออย่าสร้างปัญหาให้หนูเลยนะ หนูอยากกลับไปอยู่ที่บ้าน”
พอเห็นใบหน้าเจ้าอารมณ์ของลูกสาว และคิดว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของเธอ ไม่ว่าเซี่ยจวินจะโมโหอะไรมามันก็หายไปทันที ในเมื่อจางฉุ้ยเหลียนไม่อยากอยู่บ้านแม่สามี งั้นเขาก็จะไม่ยุ่งด้วยแล้ว ลูกสาวยินดียอมกลับบ้านแม่ เขาก็ดีใจจะตายไป
กู้เต๋อไห่ดีใจแทนลูกชายที่ในที่สุดเขาก็ได้แต่งงานสักที ส่วนอันหลงก็ปลื้มใจที่ลูกชายแต่งงานแล้วแต่ก็ยังไม่ลืมแม่ของเอง เซี่ยจวินกับตงลี่หวาดีใจที่จางฉุ้ยเหลียนยังอยู่ที่บ้านตัวเองต่อ ส่วนเช่าหวากับจางกว่างฝูก็มีความสุขที่เห็นสองบ้านทะเลาะกัน แม้ว่าแต่ละคนจะมีความคิดในใจเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังกินอาหารมื้อนี้กันอย่างเอร็ดอร่อย
ตอนที่กู้จื้อเฉิงไปส่งภรรยาของเขากลับไปที่บ้านตระกูลเซี่ย เขารับประกันแล้วรับประกันอีกกับเซี่ยจวิน จากนั้นถึงได้กลับมาที่บ้านของตัวเอง และเมื่อเขาเปิดประตูบ้านเข้าไป เขาก็เห็นอันหลงกำลังนั่งรอเขาอยู่ที่โซฟา
“แม่ เป็นอะไรหรือครับ ? ” กู้จื้อเฉิงคิดว่าอันหลงน่าจะอยากบ่นเขาต่อ
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แม่แค่คิดว่าวันนี้ไม่เหมือนลูกชายของแม่ได้แต่งงานเลย วันนี้ไม่มีอะไรคึกคักหรือมีสีสันเลยสักนิด มีเพียงแค่ความเงียบเหงาเท่านั้น” อันหลงนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ที่โซฟา เริ่มเสียใจกับเงินสินสอดที่ตัวเองทุ่มไปยิ่งกว่าเดิม
“แม่ครับ พวกเราไม่ได้คุยกันแล้วหรือว่าปีใหม่เราจะมาจัดงานแต่งงานอีกที ผมเองก็มีความจำเป็นเหมือนกัน ขนาดครอบครัวฝั่งเจ้าสาวยังไม่ว่าอะไรเลย แล้วแม่จะทำแบบนี้ไปทำไม ? ” ใช่สิ ครอบครัวฝั่งนั้นก็ยังไม่ว่าอะไรเลย แต่มันก็เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจกฎประเพณีอะไรเลย ลูกสะใภ้ที่แต่งเข้ามาง่ายดายขนาดนี้ จะใช้ประโยชน์อะไรก็ใช้ไม่ได้
“แม่ก็แค่รู้สึกเศร้าแทนลูกนี่ ! ” อันหลงเช็ดจมูก “ลูกคิดดูสิว่าวันนี้ควรเป็นวันเข้าหอของลูก แต่ลูกก็ยังกลับไปเป็นโสดเหมือนเดิม แม่คิดว่าวันนี้เธอน่าจะมาอยู่ที่บ้านของเราสักคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่บ้านแม่ก็ได้นี่ ! ”
เสียงของอันหลงเพิ่งเงียบลง กู้เต๋อไห่ที่เดินออกมาจากห้องน้ำก็ต่อว่าหล่อนขึ้นมายกหนึ่ง คำพูดแบบนี้คนเป็นแม่เขาพูดกันหรือ ? ภรรยาของลูกจะนอนที่ไหนก็ยังจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง
“แม่ครับ แม่ไม่ต้องไปทะเลาะกับพ่อแล้ว ที่พ่อพูดมาก็ถูก แม่จะให้ผมเข้าห้องหอกับภรรยาที่บ้านนี้หรือ ? ” ใบหน้ากู้จื้อเฉิงเต็มไปด้วยความหดหู่ เขาชี้ไปที่ประตูห้องที่กำลังปิดอย่างแน่หนา และพูดออกไปว่า “เสี่ยวชิวก็กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั้น ส่วนพี่ชายกับพี่สะใภ้ของหล่อนก็กำลังทำอะไรกันอยู่ในห้องข้าง ๆ อย่างนั้นหรือครับ แม่ นี่แม่เสียสติไปแล้วรึเปล่า ? ”
อันหลงหน้าแดงขึ้นมาทันที คำพูดของสองพ่อลูกทำให้หล่อนอยากจะเอาหน้ามุดดิน ความอายเปลี่ยนเป็นความโกรธ หล่อนจึงโยนผลไม้ลงไปในถาดอย่างแรง หลังจากด่าเสร็จหล่อนก็เดินออกไปทันที
“อย่าไปสนใจแม่แกเลย หล่อนก็เป็นคนแบบนั้นแหละ ! ” กู้เต๋อไห่ตบบ่าของกู้จื้อเฉิงเบา ๆ แล้วนั่งลงข้าง ๆ ลูกชาย
“ตอนนี้แกก็แต่งงานแล้ว มีบางเรื่องที่พ่อต้องสอนแก” กู้เต๋อไห่หันไปมองที่ห้องของตัวเอง จากนั้นก็พูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “แม่สามีกับลูกสะใภ้เกิดมาก็เพื่อเป็นศัตรูกัน ไม่ว่าก่อนแต่งงานมันจะดีมากแค่ไหนก็ตาม วันนี้แกก็เห็นแล้วใช่ไหมว่า แม่ของแกเปลี่ยนไปแล้ว หล่อนไม่ได้มองว่าจางฉุ้ยเหลียนดีอย่างโน้นอย่างนี้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ตอนนี้หากลูกสะใภ้ทำผิด หล่อนก็จะไม่ยอมรามือแน่ ตอนนี้แม่ของแกก็เหมือนย่าของแกเมื่อก่อนนั่นแหละ”
พอคิดถึงศึกแม่สามีลูกสะใภ้ครั้งนั้นแล้ว เพียงแค่เขากลับไปบ้าน อันหลงก็จะต้องร้องไห้และพูดเสมอว่าตัวเองโดนรังแก ตอนแรกเขาก็รู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย แต่พอผ่านไปนานเข้าเขาก็ได้ยินมันจนรู้สึกชินชาไปแล้ว เรื่องเล็ก ๆ พวกนั้นก็ไม่เป็นเรื่องสลักสําคัญอะไรกับเขาอีกต่อไป
“เรื่องนี้แกก็จัดการได้ไม่เลว แกทำให้แม่สามีกับลูกสะใภ้ไม่ต้องอยู่ด้วยกันแบบนี้ได้ก็ดีแล้ว” กู้เต๋อไห่ถอนหายใจออกมาด้วยความอิจฉา “ฉุ้ยเหลียนเป็นเด็กที่รู้ความจริง ๆ ให้ความสำคัญกับแกเป็นอันดับแรกแล้วค่อยคิดถึงตัวเองเสมอ และก็ยังเป็นเด็กที่ฉลาดมากอีกด้วย ถ้ามีเรื่องอะไรเธอก็จะให้แกเป็นคนพูดกับแม่ของแก”
คำพูดในวันนี้ของกู้จื้อเฉิง แค่ฟังก็รู้แล้วว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นคนสอน แม้ว่ากูเต๋อไห่จะไม่ชอบวิธีการแบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่ามันสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นภรรยาของเขาและลูกสะใภ้คงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่
จางฉุ้ยเหลียนกำลังนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง เธอไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย เธอยกมือขึ้นมาเพื่อดูแหวนทองบนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง แล้วก็อดที่จะหัวเราะกู้จื้อเฉิงออกมาไม่ได้ แหวนโล่ง ๆ นี่มันช่างน่าเกลียดจริง ๆ ไม่มีการตกแต่งอะไรเลยสักนิด แม้แต่แหวนที่สลักเป็นรูปดอกไม้เพียงดอกเดียว มันก็ยังดูดีกว่านี้เลย
แต่นี่มันก็เป็นสไตล์ของกู้จื้อเฉิง เรียบง่ายไม่หวือหวามีเท่าไหร่ก็ให้เธอเท่านั้น ไม่เหมือนกับแหวนลวดลายต่าง ๆ พวกนั้น ท่าทางดูมีน้ำหนักแต่ที่จริงแล้วมันก็เป็นแค่ภาพลวงตา
ก่อนที่จางฉุ้ยเหลียนจะออกไปทำงาน ตงลี่หวาก็ห่อขนมมงคลให้จางฉุ้ยเหลียนไปด้วยหนึ่งห่อ หล่อนบอกให้เธอเอาไปแจกเพื่อนที่ทำงาน จางฉุ้ยเหลียนไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจของหล่อนได้ เพราะด้านในมันเต็มไปด้วยใจของหล่อนที่เตรียมให้
เมื่อมาถึงโรงเรียนยังไม่ทันที่เธอจะได้หยิบมันออกมา เธอก็เห็นหลิวเหยียนวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาเธอแล้ว จากนั้นเขาก็ยื่นซาลาเปามาให้จางฉุ้ยเหลียนสองลูก “ครูจาง นี่ครับ”
จางฉุ้ยเหลียนดันมันกลับไป “ไม่เป็นไรค่ะครูหลิว ฉันกินข้าวเช้ามาแล้ว” หลิวเหยียนยังคงไม่เชื่อ เขาคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนแค่อายก็เท่านั้น เขาเลยพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็เอาไว้กินตอนเที่ยงก็ได้ครับ ! ความจริงแล้วถึงครูจะกินข้าวมาแล้ว แต่ซาลาเปานี่มันก็กินพื้นที่ในท้องของครูไม่เท่าไหร่หรอกครับ”
ทั้งสองคนผลักซาลาเปากันไปมาอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายจางฉุ้ยเหลียนก็ต้องรับซาลาเปาทั้งสองลูกนั้นไว้ พอเข้ามาในห้องพักครูแล้วบรรยากาศภายในห้องกลับดูผิดปกติ ผู้หญิงที่ตามจีบครูหลิวจ้องเธอตาไม่กระพริบ ครูคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่เคยใส่ร้ายว่าเธอบอกข้อสอบเด็กก็แสยะยิ้มออกมา และพูดออกมาด้วยเสียงสูงว่า “เธอกับครูหลิวทำอะไรกันหรือ ? ”
หลังจากที่หล่อนพูดจบ หล่อนก็ใช้หางตาเหลือบไปมองทุกคน ราวกับกำลังบอกว่าคอยดูเถอะระหว่างพวกเขาสองคนต้องมีเรื่องอะไรกันแน่
จางฉุ้ยเหลียนไม่อยากสร้างปัญหา เธอคลี่ยิ้มและหยิบขนมมงคลในกระเป๋าออกมา แล้วเอาไปให้ครูท่านอื่นทีละคน ๆ “นี่เป็นขนมมงคลของหนูเอง ฮ่า ฮ่า อันนี้ให้ครูซ่งค่ะ”
หลิวเหยียนหน้าเปลี่ยนสีทันที เขามองจางฉุ้ยเหลียนด้วยความประหลาดใจ “ครูจาง ครูแต่งงานแล้วหรือ ? ไม่หรอกมั้ง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนแกล้งทำเป็นไร้เดียงสา พูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ใช่แล้วค่ะ ฉันเพิ่งไปจดทะเบียนสมรสมาเมื่อวาน ก่อนหน้านี้ฉันก็บอกครูไปแล้วไม่ใช่หรือคะ ! ”
หลิวเหยียนส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “ครูบอกแค่ว่าครูมีคนรักแล้ว แต่ครูไม่ได้บอกว่ากำลังจะแต่งงาน”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมา “ไม่แต่งงานแล้วจะมีคนรักไปทำไมล่ะคะ ? ”
ครูที่อยู่ข้าง ๆ ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ครูจาง ครูแต่งงานเร็วขนาดนี้เชียวหรือ ? ไอ้หยา แล้วทางวิทยาลัยเห็นด้วยไหม ? ฝึกงานก็ยังไม่เสร็จเลยนะ ทำไมถึงรีบร้อนขนาดนี้ล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะคิกคัก “คนรักของหนูเป็นทหาร เขาต้องส่งรายงานการแต่งงานเพื่อขออนุมัติ และการจดทะเบียนสมรสก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ครั้งนี้เขาลากลับบ้านมาได้ 4 วัน ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับก็ 2 วันแล้ว ดังนั้นถ้าไม่จดทะเบียนสมรสตอนนี้ ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อไหร่”
ดวงตาของคุณครูที่ถามจางฉุ้ยเหลียนออกมาก่อนหน้านั้นก็มีแสงประกายแห่งความฉลาดปรากฎขึ้นมาเล็กน้อย หล่อนถอดแว่นออกและถามออกไปว่า “เธอจะย้ายไปอยู่ในกรมทหารอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยืนคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นพร้อมรอยยิ้ม “ได้ยินว่าที่นั่นมีโรงเรียนอยู่หนึ่งแห่ง แต่จะไปทำงานที่นั่นได้ไหมก็ยังต้องดูก่อนว่าทางองค์กรจะจัดการเรื่องนี้ให้ได้ไหม แม้ว่าหนูจะเป็นครูแต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ทำอะไร”
ครูคนนั้นจึงตอบกลับอย่างสุภาพว่า “ไอ้หยา งั้นเธอก็คงต้องลำบากแล้วล่ะ มีที่ดี ๆ กลับไม่ไป ดูจากที่เธอพูดแล้วคนรักของเธอก็คงจะไม่ได้มีอำนาจอะไรมากมายที่นั่นล่ะสิ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ต้าซิงอันหลิง สภาพแวดล้อมย่ำแย่และบางแห่งก็ค่อนข้างล้าหลังด้วยค่ะ”
“แบบนั้นเธอยังจะแต่งงานกับเขาอีกหรือ ? ” มีนักศึกษาฝึกสอนคนหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ หลังจากมองไปที่หลิวเหยียน เขาก็เอาแต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำถามนั้น
“ในเมื่อเลือกที่จะเป็นภรรยาของทหารแล้วก็ต้องทำใจ ไอ้หยา ต่อไปก็ยังมีโอกาสได้ย้ายกลับมา ถ้าจะต้องเลือกการแต่งงานกับอาชีพ แค่มีหัวใจดวงเดียวกับฉันก็พอแล้วล่ะค่ะ ! ” หลังจากจางฉุ้ยเหลียนพูดประโยคนี้จบ บางคนก็พยักหน้าเห็นด้วย บางคนก็เบะปากอย่างไม่สบอารมณ์
ต่อจากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็เอาขนมมงคลไปให้นักศึกษาฝึกสอนที่ใส่ชุดสีน้ำเงิน พวกเธอทั้งสองคนไม่เคยคุยกันมาก่อน อาจจะเป็นเหตุมาจากที่หล่อนตามจีบหลิวเหยียน หรืออาจเป็นเพราะหลิวเหยียนปฏิบัติต่อจางฉุ้ยเหลียนต่างออกไป
วันนี้พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนแต่งงานแล้ว หล่อนก็เหมือนกำจัดมารหัวใจรายใหญ่ไปได้ หล่อนจับมือของจางฉุ้ยเหลียนเอาไว้อย่างมีความสุข และยังพูดด้วยรอยยิ้มอีกว่า “รีบให้เจ้าสาวเอาขนมมงคลมาให้ฉันเร็ว ให้ฉันมงคลไปด้วยหน่อย”
ทุกคนเห็นหลิวเหยียนหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้หน้าประตูด้วยความอึดอัดใจ
จางฉุ้ยเหลียนจับพิรุธครูชุดฟ้าคนนี้ได้ “ครูฟานหน้าตาดี อีกทั้งยังดวงดีอีกด้วย เดี๋ยวก็หาคนรักได้ค่ะ ในอนาคตครูต้องได้แต่งงานกับผู้ชายที่ครูหวังไว้ และมีความสุขไปทั้งชีวิตแน่นอน”
การฝึกสอนกำลังจะสิ้นสุดลง สิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนทำใจไม่ได้มากที่สุดก็ไม่ใช่คุณครูพวกนี้ แต่เป็นนักเรียนห้องเธอ โดยเฉพาะเฉิงเทียนอี เพราะทั้งสองคนก็เป็นเหมือนเพื่อนกัน
จางฉุ้ยเหลียนบอกเรื่องเวลาฝึกสอนของเธอกำลังจะสิ้นสุดลงกับเฉิงเทียนอี ทันใดนั้นเด็กน้อยคนนี้ก็ดูหดหู่ขึ้นมาทันที ตอนเข้าเรียนก็ดูไม่มีชีวิตชีวา ทำท่าทางเหม่อลอยอยู่เสมอ
“เธอกลัวว่าจะไม่ได้กินอาหารอร่อย ๆ อีก หรือกลัวว่าต่อไปจะไม่ได้เจอครูอีกล่ะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนลูบหัวเฉิงเทียนอี แล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนว่าต้องกลัวว่าจะไม่ได้เจอครูอีกสิครับ” เฉิงเทียนอีบุ้ยปาก “เอาแบบนี้ไหม เดี๋ยวผมไปพูดกับพ่อ บอกให้ครูมาเป็นครูประจำชั้นของผมต่อ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าพ่อแม่ของเฉิงเทียนอีเป็นข้าราชการระดับสูง ส่วนเรื่องทำงานอยู่ในตำแหน่งอะไร เธอก็ไม่เคยรู้มาก่อน วันนี้พอได้ยินเฉิงเทียนอีทำเสียงเหมือนคุณชายน้อย ถึงจะไม่ไปสืบดูแต่เธอก็พอจะเดาออกอยู่บ้าง
เธอจะต้องไปอยู่ในกรมทหารแล้ว ไม่จำเป็นต้องขอให้ผู้ปกครองของนักเรียนช่วยหรอก และพอคิดมาถึงเรื่องที่ “คนรุ่นสอง” สร้างปัญหาให้คนรุ่นหลังในอนาคต จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่อยากปลูกฝังให้เฉิงเทียนอีใช้ทางลัดในการใช้ชีวิตแบบนี้
“เด็กโง่ ถึงฉันจะเป็นครูประจำชั้นของเธอแล้วยังไงล่ะ เธอลองคิดดูสิว่า เธอก็เรียนอยู่ที่นี่อีกแค่ปีเดียว เธอก็จะเรียนจบแล้ว พอถึงตอนนั้นเธอก็ต้องไปเรียนมัธยมต้น ฉันยังต้องตามไปสอนที่ชั้นมัธยมต้นด้วยรึไง ? ” จางฉุ้ยเหลียนขยี้หัวเฉิงเทียนอีแรง ๆ แล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “พวกเราสามารถเขียนจดหมายหากันได้ หรือจะโทรหากันก็ได้ พอปิดเทอมแล้ว เธอก็มาเล่นที่บ้านของฉันได้ แล้วเธอจะกังวลอะไรอีกล่ะ ! ”
พอเฉิงเทียนอีได้ยินจางฉุ้ยเหลียนพูดแบบนั้น โลกของเขาก็สว่างขึ้นมาทันที สุดท้ายเขาก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง ความรู้สึกเศร้าเสียใจพวกนั้นก็หายไปในทันที
จางฉุ้ยเหลียนให้เบอร์โทรศัพท์กับเฉิงเทียนอี “นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์บ้านครู ต่อไปถ้าครูไปทำงานที่นั่นแล้ว จะโทรมาบอกที่อยู่ที่นั่นกับเธออีกทีนะ ! ”
แต่จางฉุ้ยเหลียนแค่เห็นใจเด็กน้อยเท่านั้น เธอไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองจะได้เจอเซอร์ไพรส์ที่สุดแสนจะอลังการ และโชคชะตาที่ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อน
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องของอนาคต หลังจากสอนสองสัปดาห์สุดท้ายเสร็จ การฝึกสอนของจางฉุ้ยเหลียนก็สิ้นสุดลง
วันเวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงกลางเดือนมิถุนายน นักศึกษาทุกคนต่างก็ทยอยกันกลับมาที่วิทยาลัย พวกเธอต่างก็ต้องมาดำเนินการทำเรื่องทั้งหมด 3 อย่างนั่นก็คือ นําเสนอวิทยานิพนธ์ ถ่ายภาพรับปริญญา และรอการมอบหมายงาน
วิทยานิพนธ์จบการศึกษาของจางฉุ้ยเหลียนทำเสร็จตั้งแต่ตอนที่เธอฝึกสอนแล้ว และแนวโน้มที่ทางวิทยาลัยจะให้เธอผ่านก็อยู่ที่ 100 เปอร์เซ็นต์
การถ่ายรูปจบการศึกษาถูกกำหนดให้อยู่ในวันที่มีแดดร้อนจัด หลังจากถ่ายรูปเสร็จ นักศึกษาทุกคนต่างก็ไปทานอาหารร่วมกัน
และขณะที่รับประทานอาหารกันอยู่นั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ได้ยินข่าวที่ทำให้เธอประหลาดใจว่า หลี่เหยาแต่งงานแล้ว ! และยังไม่เหมือนงานแต่งงานของเธอด้วย เพราะงานแต่งของหลี่เหยาคึกคักมาก และหล่อนก็ได้เชิญเพื่อนนักศึกษาไปร่วมงานแต่งงานของหล่อนมากมาย
“ผู้ชายคนนั้นเคยแต่งงานมาแล้ว อายุก็มากกว่าหลี่เหยาตั้งสิบปี และยังมีลูกติดอีกต่างหาก น่าสงสารจริง ๆ เพิ่งแต่งงานเข้าไปก็ต้องไปเป็นแม่เลี้ยงแล้ว ! ”
บนโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ลมผ่านไม่ได้ เพื่อให้ได้อยู่ในเมืองและมีงานทำ หลี่เหยาถึงกับแต่งงานกับผู้ชายที่มีอายุห่างจากเธอถึง 10 ปี และยังเชิญเพื่อนนักศึกษามากมายไปร่วมงานแต่งของหล่อนอีกด้วย
หนึ่งในนั้นย่อมไม่มีเพื่อนร่วมหอพักอย่างจางฉุ้ยเหลียนอยู่แล้ว แต่ข่าวนี้มันก็แพร่สะพัดไปทั่ววิทยาลัย
“ฉันก็ว่าอยู่ว่าทำไมหล่อนถึงได้ใส่แหวนทอง ที่แท้หาอยู่นานสองนานหล่อนก็ได้กับผู้ชายมือสองนี่เอง ไอ้หยา เพื่อให้ได้มีงานทำในเมืองต่อ ช่างมีฝีมือจริง ๆ ”
“ในยุคสมัยนี้ไม่มีคนแบบไหนบ้างล่ะ ? ตอนนั้นหล่อนก็ไม่ได้ไปอยู่กับพ่อหนุ่มการรถไฟนั่นหรือ แถมยังไปอยู่ในบ้านเขามาแล้ว แล้วการที่หล่อนแต่งงานกับผู้ชายมือสองมันจะไปแปลกอะไร ! ”
“ไอ้หยา โลกเปลี่ยนไปทุกวัน โลกเปลี่ยนไปทุกวันจริง ๆ ฉันว่าเราไปเป็นครูอยู่ในชนบทเถอะ ที่นั่นก็ไม่เลวเลยนะ ! ”
ทุกคนพูดกันไปต่าง ๆ นานา บางคนอิจฉาที่หล่อนมีชีวิตดี ๆ บางคนอิจฉาที่บ้านแม่สามีของหล่อนได้เตรียมงานไว้ให้แล้ว บางคนแดกดันว่าหล่อนทำเกินไป บางคนเยาะเย้ยว่าหล่อนกลายเป็นแม่เลี้ยง
วันนี้ก็เป็นเหมือนกับการดื่มน้ำ มีทั้งเย็นและอุ่น ชีวิตของใคร ใครย่อมรู้ดี ด้านหน้าดูมีวิวทิวทัศน์ที่ไม่จำกัด แต่เบื้องหลังก็ยังมีความทุกข์ที่คนอื่นไม่รู้เช่นกัน
จางฉุ้ยเหลียนมาที่ห้องของอธิการบดี เพื่อที่จะเอาขนมมงคลมาให้เขา พอท่านอธิการบดีเห็นห่อขนมสีแดงตรงหน้า เขาก็ส่ายหัวและถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
“ท่านอธิการบดีคะ บนโลกมีเส้นทางนับร้อยนับพัน หนูต้องเดินบนเส้นทางที่เหมาะที่สุดแน่นอนค่ะ ท่านวางใจได้หนูจะเป็นนักศึกษาที่ดีที่สุดของท่าน” จางฉุ้ยเหลียนยิ้มปลอบใจท่านอธิการบดี คำพูดพวกนี้แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าเธอจะทำได้
“ไอ้หยา ! คนเรามีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง พี่ชายสุดหล่อของเธอก็พูดเอาไว้แบบนั้น” อธิการบอีถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ไม่แน่นะต่อไปวิทยาลัยของเราอาจจะมีนักเขียนชื่อดังอีกก็ได้ เขาจะได้เป็นหน้าเป็นตาให้ฉันเหมือนกับเธอ ! ”
หลังบอกลาท่านอธิการบดีแล้ว เธอก็เดินไปหาลุงยามตง จางฉุ้ยเหลียนยืนอยู่หน้าวิทยาลัย มองเพื่อน ๆ พวกนั้นกำลังถ่ายรูปกัน มองประตูวิทยาลัยที่เธอเคยเดินเข้าไปอย่างมีความสุขเป็นบ้าเป็นหลัง ราวกับวันเวลาพวกนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ยังมีความรู้สึกเสียใจมากมายและสิ่งที่เธออยากจะลองทำ
พอคิดไปถึงชาติที่แล้ว เธอก็เคยเดินเข้าเดินออกประตูมหาวิทยาลัยมาหลายต่อหลายครั้ง เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กพวกนั้น ในมือหอบหนังสือ แล้วเธอก็รู้สึกปวดร้าวในใจ
เมื่อได้มาเกิดใหม่แล้ว ถึงจะมีเรื่องไม่พอใจมากมายเกิดขึ้น แม้นักศึกษาในวิทยาลัยทั้งหมดจะต่างจากที่เธอเคยคิดเอาไว้ แต่เธอก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เพราะเธอได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ความปรารถนาแรกของเธอเป็นจริงแล้ว
สุดท้ายวันเวลาในวิทยาลัย ก็จบลงอย่างเงียบ ๆ เช่นนี้ ต่อจากนี้สิ่งที่เธอต้องทำก็คือเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไปสถานที่ที่ตัวเองไม่เคยไปมาก่อน เธอไม่รู้ว่าจะต้องพบเจอกับคนแบบไหน และต้องเผชิญกับเรื่องราวอะไร
จะมีงานทำหรือเปล่า จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันได้ไหม หรือจะคลอดเชี่ยวเชี่ยวออกมาได้รึเปล่าเธอก็ยังไม่รู้เลย แต่โชคดีที่ข้างกายเธอก็ยังมีกู้จื้อเฉิงเสมอ
ขอแค่ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะต้องเจอกับเรื่องราวแบบไหน เธอก็รับได้เสมอ เพราะเธอจะทำให้เขาได้ใช้ชีวิตที่ดีที่สุด เขาจะไม่จน ไม่ลำบาก ไม่ต้องล่องลอยไปทั่ว และต้องแก่ตัวลงอย่างไม่เหลืออะไร
“จางฉุ้ยเหลียน สู้ ๆ ! ” จางฉุ้ยเหลียนยืนอยู่หน้าวิทยาลัย เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ว่างเปล่า มือกำหมัดแน่นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง “เธอจะต้องมีความสุข เธอจะต้องมีความสุขมาก ๆ ! ”
MANGA DISCUSSION