ตอนที่ 95 ทะเลาะ
แม้ว่าระหว่างจางฉุ้ยเหลียนและฟู่ซินจะไม่ได้มีเรื่องชู้สาวกัน แต่เธอก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ในใจอยู่ดี การที่เธอได้ยินชื่อของฟู่ซินออกมาจากปากของกู้จื้อเฉิงโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ มันก็ทำให้เธอตกใจและไม่สามารถเอ่ยปากพูดอธิบายอะไรออกไปได้
แม้ว่าเธอจะกลับมาเกิดใหม่ แม้ว่าเธอกับเขาจะยังคู่กัน หรือแม้ว่าเธอจะมีความทะเยอทะยานน้อยมากในการที่จะทำลายกำแพง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกผิดหวังและหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที เธอมองไปทางกู้จื้อเฉิงด้วยใบหน้าน่าสงสาร “พี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง ? ”
“ทำไมเธอถึงไม่บอกฉัน ? ” กู้จื้อเฉิงเริ่มถามคำถามออกไป ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่แสดงออกมาถึงความโกรธ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาก็ยังแผ่รังสีอำมหิตออกมา และนั่นมันก็ทำให้พนักงานเสิร์ฟที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับต้องหันหน้าหนีไปทางอื่นเลยทีเดียว
ตอนนี้ผักและเนื้อแกะในหม้อไฟก็สุกได้ที่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะได้กิน เธอก็เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัวแล้ว กู้จื้อเฉิงไม่ได้บีบบังคับให้เธอพูดอธิบายแต่อย่างใด เขาหยิบตะเกียบและคีบเนื้อแกะเหล่านั้นไปวางไว้ในจานของเธออย่างต่อเนื่อง
เธอก้มศีรษะลงและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองทะลุผ่านกลุ่มควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมาจากหม้อ ไปยังชายที่นั่งทำหน้าตาเคร่งครึมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอเลยแม้แต่น้อย
จางฉุ้ยเหลียนอดไม่ได้ที่จะเข้าข้างตัวเองในใจว่า เธอไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วทำไมเธอต้องรู้สึกผิดด้วยล่ะ ? ทำไมเธอถึงไม่กล้าปฏิเสธเขาไปตรง ๆ ทำไมเธอต้องรู้สึกราวกับโดนสอบปากคำแบบนี้ด้วย ? ทำไมชาติที่แล้วเธอถึงอยู่เหนือเขาได้ แต่ตอนนี้เธอกลับกลัวเขาจนหัวหดราวกับลูกสะใภ้ตัวน้อย ๆ กับแม่สามีอย่างไรอย่างนั้น
“กินก่อน กินไปด้วยแล้วค่อยพูดไปด้วย ! ” กู้จื้อเฉิงพูดออกมาเบา ๆ จางฉุ้ยเหลียนจึงหยิบตะเกียบและเริ่มกินทันที เธอรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้มันไร้รสชาติสิ้นดี และทำให้เธอหมดอารมณ์กินไปเลย
เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นสีหน้าหมดอาลัยตายอยากของจางฉุ้ยเหลียน อารมณ์หึงหวงของเขาจึงประทุขึ้นมาอีกครั้ง “อธิบายไม่ได้อย่างนั้นหรือ ? งั้นเธอก็อธิบายเรื่องโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่เธอไปรับจ้างออกแบบนั่นสิ ! ”
ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนเริ่มมีอารมณ์ขุ่นเคืองขึ้นมาบ้างแล้ว “พี่สืบเรื่องของฉันงั้นหรือ ? พี่ให้คนมาตามสืบเรื่องของฉันใช่ไหม ทำไมพี่ถึงทำแบบนี้ ? ”
กู้จื้อเฉิงไม่ได้พูดอธิบายอะไรออกไป เขาทำเพียงแค่พูดตอบกลับไปว่า “ฉันรู้ไม่ได้เลยงั้นหรือ ? ฉันไม่สมควรรู้เรื่องของเธอเลยงั้นสิ ? ฉันเคยบอกเธอไปแล้วไม่ใช่หรือว่า ให้เธอเขียนมาเล่าให้ฉันฟังว่าเธอทำอะไรบ้าง แต่ตอนนี้เธอกลับคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องหยุมหยิม เธอทำแบบนี้ เธอต้องการอะไร ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกผิดขึ้นมาในใจ แต่เธอก็พูดออกไปอย่างดื้อดึงว่า “ฉันเป็นอิสระนะ ฉันจะบอกหรือไม่บอกพี่มันก็เป็นสิทธิ์ของฉัน และฉันก็โตแล้ว ทำไมฉันจะต้องรายงานให้พี่รู้ทุกเรื่องด้วยล่ะ ? แล้วอีกอย่าง ฉันบอกพี่แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรกัน ? ”
ความโกรธภายในใจของกู้จื้อเฉิงก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เขาเหยียดยิ้มออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นจึงพูดออกไปว่า “มีประโยชน์อะไรงั้นหรือ ? ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฟู่ซินมันเป็นยังไงกันแน่ ทำไมเธอถึงบอกฉันไม่ได้ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนโกรธมาก เธอโยนตะเกียบที่อยู่ในมือลงไปบนพื้นอย่างแรง จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “แล้วฉันจะไปมีความสัมพันธ์อะไรกับเขาได้ล่ะ ? ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของฉันอยากให้ฉันแต่งงานกับเขา”
เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนโยนตะเกียบอผ่านหน้าเขาไป เขาจึงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาชี้ไปที่ตะเกียบที่เธอโยนลงไปบนพื้น จากนั้นพูดออกมาอย่างออกคำสั่งว่า “เธอหยิบมันขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ? ”
ในชาติที่แล้วชีวิตของเธอนั้นอยากลำบากมาก เพราะความสัมพันธ์ของเธอและแม่สามีไม่ดีเท่าไหร่นัก นั่นจึงทำให้เธอทะเลาะกับกู้จื้อเฉิงบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่เขาจะโกรธเธอมากขนาดนี้ ไม่ว่าเธอจะโยนหม้อหรือสิ่งของต่าง ๆ มากมายลงไปบนพื้น กู้จื้อเฉิงก็ไม่เคยที่จะชี้นิ้วไปที่ของเหล่านั้นแล้วสั่งให้เธอเก็บมันขึ้นมาเลยสักครั้ง
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางกู้จื้อเฉิงด้วยความรู้สึกตกตะลึง เธอชักสีหน้าเอาแต่ใจและจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา “ฉันไม่เก็บ พี่จะทำไม ? ”
กู้จื้อเฉิงจะทำอะไรได้ ? นอกจากเขาจะจ้องเธอด้วยความโกรธ แล้วเขาจะทำอะไรได้อีก ?
ทั้งสองต่างมองหน้ากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา หลังจากที่นั่งนิ่งมานาน กู้จื้อเฉิงจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนว่า “เธอได้บอกเรื่องของเราให้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอทราบแล้วรึยัง”
จางฉุ้ยเหลียนหันหน้าหนี และพูดออกมาอย่างโกรธ ๆ ว่า “ถ้ามันง่ายขนาดนั้น ตอนนี้เราจะมาพูดเรื่องนี้กันทำไมล่ะ ? พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันมีทางออกของฉัน”
เหมือนกู้จื้อเฉิงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับไม่พูดมันออกมาซะอย่างนั้น จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับพูดออกไปว่า “พี่รู้เรื่องที่ฉันออกแบบเสื้อผ้าได้ยังไง ? ”
กู้จื้อเฉิงกำลังคิดว่าเขาจะพูดอธิบายกับเธอออกไปยังไงดี ว่าเขารู้มาจากจดหมายที่เซี่ยจวินเขียนส่งมาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เขาฟัง ยังไม่ทันที่เขาจะอธิบายอะไร เขาก็ได้ยินจางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาอย่างเย็นชาซะก่อน “ช่างเถอะ ครั้งนี้ฉันจะถือว่าแล้วไป ฉันเพิ่งจะได้ค่าออกแบบมาส่วนหนึ่ง แล้วฉันก็ไม่ได้ทำงานอย่างอื่นด้วย ที่ฉันไม่ได้บอกพี่ก็เพราะฉันไม่อยากให้พี่คิดว่าฉันต้องทำงานอย่างหนักทั้งวันเพื่อหาเงินและไม่ตั้งใจเรียน”
เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จื้อเฉิงก็คิดว่าเธอมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำงานแบบนี้ เขาจึงถามออกไปด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เธอไม่ทำหน้าที่ของตัวเองแต่กลับไปทำอย่างอื่น นักศึกษาก็ควรจะตั้งใจเรียนหนังสือ แล้ววัน ๆ เธอทำอะไรบ้าง ? แล้วดูเธอแต่งตัวสิมันเหมือนคนปกติไหม ? ฉันไม่ได้ให้เงินเธอไว้ใช้จ่ายรึไง ทำไมถึงต้องออกไปทำงานหาเงินด้วย ? ”
ประโยคที่ว่าไม่เหมือนคนปกติ นั่นมันทำให้จางฉุ้ยเหลียนเกิดความรู้สึกเจ็บอยู่ในใจไม่น้อย เธอจึงลุกขึ้นและถามออกไปด้วยความโกรธว่า “พี่ว่าใครไม่เหมือนคนปกติ ? ฉันก็มีมือมีเท้า ทำไมฉันจะต้องขอเงินพี่ด้วย ? พี่เป็นใคร พี่คิดว่าพี่กับฉันเราเป็นอะไรกัน แล้วทำไมฉันจะต้องใช้เงินพี่ด้วยล่ะ ? ”
เมื่อกู้จื้อเฉิงได้ยินคำพูดที่ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแย่ของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว เขาก็ตบโต๊ะอย่างแรง จากนั้นก็ตำหนิออกไปเสียงดังว่า “ดื้อด้าน ! นั่งลง ! ทำไมเธอถึงพูดแบบนี้ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่เคยเห็นกู้จื้อเฉิงโกรธมากขนาดนี้มาก่อน มันดูไม่เหมือนกับกู้จื้อเฉิงที่เธอเคยรู้จักเลยแม้แต่น้อย เธอนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เธอได้มาเกิดใหม่ในครั้งนี้ ทุก ๆ ย่างก้าวที่เธอต้องเผชิญ ก็เพื่อเธอและเขาจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข คิดถึงการที่เธอต้องดิ้นรนและจัดการกับปัญหาทุกอย่างเพียงลำพัง คิดถึงชีวิตในชาติก่อนที่แตกต่างกับตอนนี้ ที่เขายังคอยเอาใจแม่และน้องสาวของตัวเอง ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกผิด ยิ่งเธอคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมามากเท่าไหร่ ตาของเธอก็ยิ่งร้อนผ่าวขึ้นมามากเท่านั้น
เธอไม่อยากจะร้องไห้ต่อหน้าของกู้จื้อเฉิง เธอจึงพูดในสิ่งที่ไม่น่าฟังออกไปว่า “พี่ถามว่าทำไมฉันถึงพูดแบบนี้อย่างนั้นหรือ ? แล้วตัวพี่เองล่ะ ทำไมถึงพูดกับฉันแบบนี้ ? ที่พี่พาฉันออกมากินข้าวที่นี่มันเพื่ออะไรกัน เพื่อที่พี่จะมาอวดเบ่งนิสัยทหารของพี่กับฉันอย่างนั้นหรือ”
เมื่อกู้จื้อเฉิงได้ยินคำพูดเสียดสีของจางฉุ้ยเหลียน และคิดว่าเขาและเธอต่างก็พูดคุยกันมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรกันเลย เขาจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “ที่เธอพูดมามันหมายความว่ายังไง ? พูดมาให้เข้าใจหน่อยสิ ! ”
“ไอ้หยา ฉันพูดพาดพึงถึงพี่ พี่ก็ยังไม่เข้าใจอีกอย่างนั้นหรือ ฉันนึกว่าพี่จะรู้ทุกเรื่องซะอีก พี่คิดว่าการที่พี่มีสถานะที่ดีกว่าฉัน อายุมากกว่าฉัน แล้วพี่จะสามารถควบคุมชีวิตฉันได้งั้นหรือ ? ฉันจะบอกอะไรพี่ให้นะว่า ฉันไม่ได้ใช้เงินเดือนของพี่เลยแม้แต่เฟินเดียว เพราะฉันไม่สนใจเงินเดือนอันน้อยนิดนั่นของพี่หรอก ! ” จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็พูดต่อไปอย่างโกรธเคืองว่า “พี่ต้องการที่จะให้ฉันเลิกทำงานนี้ แต่ฉันขอบอกได้เลยว่าไม่มีทาง ฉันจะเขียนต้นฉบับนิยาย และฉันก็จะวาดออกแบบเสื้อผ้าต่อ ถึงแม้ว่าในอนาคตฉันจะแต่งงานกับพี่แล้ว พี่ก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้ฉันเลิกทำ เหอะ ! ”
กู้จื้อเฉิงสับสนเล็กน้อย ว่าเรื่องที่เขาและเธอทะเลาะกันมันเริ่มมาจากตรงไหนกันแน่ เขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะไปควบคุมชีวิต ของเธอเลยแม้แต่น้อย ทำไมเธอถึงต้องพูดแบบนี้ด้วยล่ะ
กู้จื้อเฉิงที่กำลังจะพูดขัดจางฉุ้ยเหลียนออกไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดก็ได้ยินคำพูดที่ชวนน่าหึงหวงของเธอเข้าซะก่อน
“ไหน ๆ ก็พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันจะบอกความจริงกับพี่ก็ได้ ฟู่ซินเป็นคนที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของฉันอยากให้ฉันแต่งงานด้วย พวกเขาตกลงค่าสินสอดทองหมั้นกันที่ 8,000 หยวน แต่ฉันไม่ยินยอมที่จะแต่งงานกับเขา และฉันก็คิดว่าในอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขาก็คงจะขาดกันไม่ได้ด้วย เพราะฉันต้องการที่จะลงทุนทำโรงงานทรายกับเขา สถานที่ตั้งโรงงานก็กำหนดเอาไว้แล้ว และฉันก็ลงทุนไปแล้วด้วย ตอนนี้ก็รอแค่ธนาคารอนุมัติเงินกู้และหาวันเปิดกิจการก็เท่านั้น ”
กู้จื้อเฉิงมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนที่เหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา แต่จางฉุ้ยเหลียนที่ยังคงมีอารมณ์โกรธอยู่นั้น เธอก็พูดขึ้นมาว่า“ฉันไม่สนใจหรอกนะ ว่าพี่จะยอมรับเรื่องนี้ได้หรือเปล่า แต่ถึงยังไงฉันก็ทำมันไปแล้ว”
กู้จื้อเฉิงที่โดนความรู้สึกหึงหวงเข้าครอบงำ เขาปัดจานชามที่วางอยู่บนโต๊ะลงพื้น เขาชี้นิ้วไปที่จางฉุ้นเหลียน จากนั้นจึงตะโกนออกไปว่า “ไหนเธอลองพูดใหม่อีกทีสิ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ก็ยังคงทำเป็นใจดีสู้เสือ “จะให้พูดอีกสักกี่ครั้งมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ฉันเป็นคนตัวตรงไม่หวั่นเงาเฉียง ฉันกับเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกันด้วย ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ความสัมพันธ์ของเราสองคนก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ถ้าพี่ยอมรับได้ก็ยอมรับไป แต่ถ้ายอมรับไม่ได้… ”
“ถ้าฉันยอมรับไม่ได้ล่ะ ? ” เขากัดฟันและถามด้วยเสียงต่ำ “เธอไม่อยากคบกับฉันแล้วใช่ไหม ? เธอกำลังขี่ลามองหาม้าอยู่หรือ ? เธอเจอคนที่ใช่ เธอก็ถีบหัวส่งฉันแบบนี้ใช่ไหม ? ถึงยังไงเธอก็ยังอยู่ในวัยเรียนอย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องแต่งงานเลยดีกว่า เลือกคนที่ดี หน้าตาดี และฐานะดี คบกันแบบคนรักไปก่อนไม่ดีกว่าหรือ ? ” ก่อนหน้านี้เขายังตลกเรื่องที่จิ้นเหวินไม่ได้แต่งงานอยู่เลย แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง
จางฉุ้ยเหลียนมองไปที่กู้จื้อเฉิง และเธอก็คิดว่าเธอกับเขาคงพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว กู้จื้อเฉิงไม่เข้าใจสิ่งที่เธอทำ แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรกัน?
เธอรู้สึกเสียใจที่ได้เกิดใหม่อีกครั้ง เพราะตอนนี้มันดูราวกับเป็นเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น
“นี่คือสิ่งที่พี่คิดกับฉันใช่ไหม ? ” จางฉุ้ยเหลียนกัดริมฝีปากของเธอแน่น “เหอะ ! ” เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น จากนั้นก็หายใจเข้าลึก ๆ “ไม่เป็นไร ! ”
เธอหันไปคว้าเสื้อกันหนาวและกระเป๋าของเธอที่ผนักเก้าอี้ จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้องอาหารโดยที่ไม่หันกลับมามองที่กู้จื้อเฉิงอต่อย่างใด พอเดินมาถึงหน้าประตูร้าน เธอก็สวมเสื้อกันหนาวเดินออกไปทั้งน้ำตาท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก
เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมกู้จื้อเฉิงถึงไม่เชื่อใจเธอเลย
เมื่อเดินออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็เห็นรถของกู้จื้อเฉิงที่จอดอยู่หน้าร้าน เธอจึงใช้เท้าเตะมันเพื่อระบายอารมณ์ของโกรธทันที เธอก็ไม่รู้เช่นกันว่า เธอกำลังคิดอะไรอยู่ที่เดินเข้าไปแอบซ่อนตัวอยู่ที่หลังร้านอาหารแบบนี้
จางฉุ้ยเหลียนซ่อนตัวอยู่ที่มุม ๆ หนึ่ง เธอเห็นกู้จื้อเฉิงที่ไม่ได้สวมเสื้อกันหนาววิ่งตามเธอออกมา เขามองไปรอบ ๆ จากนั้นจึงรีบเปิดประตูเข้าไปในรถ เธอเห็นพนักงานเสิร์ฟรีบวิ่งตามเขาออกมาเพื่อเอาเสื้อกันหนาวมาให้เขา หลังจากที่ได้ยินเสียงกึกก้องของเครื่องยนต์เสียงนั้นก็ค่อย ๆ เลือนลางหายไป
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกโกรธมาก เธอรู้ว่ากู้จื้อเฉิงต้องออกไปตามหาเธอแน่ ๆ แต่ตอนนี้เธอยังไม่อยากให้อภัยเขา เพราะจากเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ เธออยากจะคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ อย่างใจเย็นก่อน
พอมาคิด ๆ ดูแล้ว จางฉุ้ยเหลียนไม่สามารถกลับไปที่วิทยาลัยได้ และก็ไม่สามารถกลับไปที่บ้านของตัวเองได้เช่นกัน เมื่อเธอเห็นรถสามล้อวิ่งผ่านมาเธอจึงโบกรถ และตัดสินใจว่าคืนนี้เธอจะไปพักอยู่ที่บ้านของติงเขอ
ดูจากตาแดง ๆ ที่ผ่านการร้องไห้มาของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว ติงเขอก็รู้ทันทีว่าเธอต้องมีปัญหากับคนรักมาอย่างแน่นอน
“เธอทะเลาะกับคนรักมาหรือ ? คนที่อยู่หมู่บ้านเดียวกับพี่ชายฉันคนนั้นรึเปล่า ? ” ถึงแม้ว่าติงเขอจะไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของจางฉุ้ยเหลียนมาก่อน แต่หล่อนก็ยังพอรู้เรื่องอยู่บ้าง
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ ติงเขอจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา “พี่ชายกับพี่สะใภ้ของฉันย้ายบ้านไปอยู่ที่เมืองอื่นแล้ว แล้วตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้เก็บของออกไปจากบ้านหลังนั้น วันนี้เราไปพักที่นั่นกันไหม เธอว่าไง ? ”
เธอจะว่ายังไงได้ล่ะ ตราบใดที่เธอไม่ต้องกลับบ้าน ขอแค่มีสถานที่ให้เธอได้คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาแค่นั้นก็พอแล้ว ถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนั้นมันจะเป็นท่อน้ำทิ้งเธอก็ยังดีใจอยู่ดี
อีกด้านหนึ่ง กู้จื้อเฉิงที่กำลังตามหาคนรักของตัวเอง เขาทั้งรู้สึกร้อนใจทั้งรู้สึกเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน เขาขับรถวนหาเท่าไหร่ก็หาเธอไม่เจอ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปตามหาเธอที่วิทยาลัย จากนั้นจึงไปตามหาเธอที่บ้าน และมันก็ทำให้เขาตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะบนถนนสองข้างทางนั้นมันเต็มไปด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์ กู้จื้อเฉิงกังวลมากจนทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก ในหัวสมองของเขาคิดไปต่าง ๆ นานาว่าจางฉุ้ยเหลียนอาจจะถูกคนเลวที่ไหนจับตัวไปรึเปล่า หรือเธอไปเป็นลมที่ไหน หรือว่าเธอถูกรถชน
โดยที่เขาก็ไม่รู้เลยว่า ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามกับบ้านของตัวเอง เธอคลุมผ้าห่มร้องไห้ไปด้วย พร้อมกับที่ปากของเธอก็พร่ำเพ้อออกมาถึงเรื่องที่เธอไม่ได้รับความเป็นธรรมไปด้วย
MANGA DISCUSSION