ตอนที่ 93 ภัยคุกคาม
ชีวิตในวัยเด็กของเช่าหวานั้น หล่อนไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย เพราะหล่อนไม่ได้รับความสนใจจากพ่อแม่เท่าที่ควร นั่นจึงทำให้หล่อนคิดว่าการที่ลูกสาวจะโดนพ่อแม่ดุด่าและทารุณมันก็เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งหล่อนก็ยังคิดว่าชีวิตของจางฉุ้ยเหลียนนั้น ไม่มีอะไรน่ายกย่องและน่าภาคภูมิใจอีกด้วย
ก่อนหน้านี้จางฉุ้ยเหลียนไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เช่าหวาทำกับเธอแต่อย่างใด แต่หลังจากที่เธอได้กลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ เธอก็ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยามากมายหลายเล่ม ถึงแม้ข้อมูลต่าง ๆ ในยุคสมัยนี้จะยังไม่ก้าวหน้าและสมบูรณ์เท่ากับในยุคสมัยใหม่ แต่ถึงอย่างไรจางฉุ้ยเหลียนก็ยังสามารถคิดไตร่ตรองได้ว่า ภายในจิตใจของเช่าหวาและจางกว่างฝูนั้น พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
ชีวิตของพวกเขาทั้งสองคนอาศัยอยู่ใต้ปีกของผู้อื่นมาโดยตลอด นั่นจึงทำให้พวกเขาเป็นคนที่มีปัญหา ยกตัวอย่างเช่นตั้งแต่เล็กจนโต เช่าหวาเติบโตมาในครอบครัวที่มีแม่เป็นใหญ่ เอาแต่ใจ และไม่มีเหตุผล เช่าหวาไม่ได้เกิดมาเป็นลูกชายหรือลูกคนสุดท้อง นั่นจึงทำให้หล่อนไม่ได้รับความรักและความสนใจจากพ่อแม่ อีกทั้งพ่อแม่ของหล่อนยังเป็นคนที่มีบุคลิกที่แปลกประหลาด พวกเขาใช้วิธีการกดขี่ข่มเหงในการเลี้ยงดูลูก เพราะอย่างนี้มันจึงปลูกฝังเข้าไปในหัวใจของหล่อนว่าหล่อนมีชีวิตที่เลวร้ายและมองไม่เห็นความดีของคนอื่น
ส่วนจางกว่างฝู เขาเป็นลูกชายคนสุดท้อง และเขาควรได้รับความรักมากกว่านี้ แต่เพราะพี่ชายของเขาแข็งแกร่งกว่าเขาในทุก ๆ ด้าน เพราะอย่างนั้นตั้งแต่เด็ก ๆ เขาจึงคุ้นเคยกับการซ่อนตัวอยู่ใต้ปีกของพ่อแม่และพี่ชายมาตลอด เขาไม่มีแม้ความกล้าที่จะเปิดฝาหม้อ ถ้าพ่อแม่และพี่ชายของเขายังกินข้าวอยู่ เพราะอย่างนั้นเขาจึงอ่อนแอและไม่มีความทะเยอทะยานที่จะก้าวหน้าอยู่แบบนี้
พวกเขาสองสามีภรรยาไม่มีแรงจูงใจและไม่สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ พวกเขาต้องพึ่งพาผู้อื่นเพื่อความอยู่รอด อิจฉาผู้อื่นที่ได้ดีมากกว่าตนเอง อีกทั้งพวกเขาก็ไม่อยากให้คนที่พวกเขารักมีชีวิตที่ดีด้วยเช่นกัน ความสับสนวุ่นวายเหล่านี้มันได้ทรมานพวกเขาและผลักดันให้พวกเขากดดันลูก ๆ ของตัวเอง
นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่พวกเขาเกลียด ถูกจับขังไว้ในฝ่ามือของพวกเขาเหมือนเป็นตัวตลกอย่างไรอย่างนั้น
ก็เหมือนกับคนที่ไม่ชอบกินหัวไชเท้า การที่เขาเห็นผู้อื่นดูแลหัวไชเท้านั่นราวกับว่ามันเป็นโสม เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกสิ้นดี ต่อมาเขาก็ได้ทิ้งหัวไชเท้าที่เน่าเสียนั้นไป แต่อยู่มาวันหนึ่งหัวไชเท้าเน่าเสียที่เขาทิ้งไปนั้น มันกลับเป็นโสมที่มีอายุมากกว่า100 ปี เขารับไม่ได้กับความโง่เขลาของตัวเอง จึงทำได้เพียงหลอกตัวเองว่าโสมที่เขาทิ้งไปนั้นเป็นเพียงแค่หัวไชเท้าธรรมดา ๆ เพื่อทำให้ตนเองสบายใจก็เท่านั้น
ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็ได้เข้าใจกระบวนการคิดทางจิตใจของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอแล้ว และเธอก็เดาได้ว่าหลังจากนี้ต่อไปพวกเขาจะทำอะไร
สำหรับสองสามีภรรยาคู่นี้ พวกเขาไม่สามารถทำใจยอมรับชีวิตที่ดีของจางฉุ้ยเหลียนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเธอมีชีวิตที่ดีมากกว่าลูกชายของตัวเอง
ในมุมมองของพวกเขา การที่จางฉุ้ยเหลียนได้เข้าเรียนวิทยาลัย ไม่ใช่เพราะเธอจะได้วุฒิบัตรและมีการมีงานที่ดีทำแต่อย่างใด แต่พวกเขาคิดว่ามันทำให้เธอเป็นที่นิยมในแวดวงของการดูตัวมากกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องการเธอทำไม ?
ไม่มีใครเชื่อว่านิสัย พรสวรรค์ และความสามารถของจางฉุ้ยเหลียน จะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ชายต้องการที่จะแต่งงานกับเธอ และจางฉุ้ยเหลียนก็ต้องเลือกผู้ชายที่ดีที่สุด และนี่คือสิ่งที่คนฉลาดเขาทำกัน
และในตอนนี้เช่าหวากับจางกว่างฝูกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกับจางฉุ้ยเหลียน โดยที่พวกเขากำลังนั่งหันหน้าเข้าหาเธอ
ผู้คนจำนวนมากที่เดินเข้าออกโรงอาหารแห่งนี้ ต่างก็มองมาทางพวกเขาทั้งสามคนด้วยความสงสัยว่า พวกเขากำลังทำอะไรกัน จางฉุ้ยเหลียนไม่มีทางเลือก เธอจึงเดินไปสั่งอาหารมาทั้งหมด 3 ชุด ซึ่งมันก็ประกอบไปด้วย ข้าวคนละ 2 ถ้วย ผัดผักคนละ 1 จาน และน้ำซุปฟรีคนละ 1 ถ้วย
จางกว่างฝูขบฟันเหลือง ๆ ของตนเอง และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงถากถางว่า “แกก็กินดีอยู่ดีไม่ใช่หรือ ทำไมแกต้องเอาแต่พูดว่าชีวิตของแกลำบากด้วยล่ะ แกก็ได้กินอิ่มครบทุกมื้อนี่ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนถึงกับรู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาทันที เธอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ที่พ่อกับแม่มาหาหนูที่วิทยาลัยนี่ ก็เพื่อที่จะมาดูว่าหนูได้กินข้าวอิ่มรึเปล่าแค่นั้นใช่ไหมคะ ? แล้วอีกอย่างหนูก็ไม่เคยพูดมาก่อนนะว่าชีวิตหนูไม่ดี หนูแค่พูดย้ำอยู่เสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูมีมันไม่ได้มาจากพ่อกับแม่ก็เท่านั้นเอง”
เช่าหวากระแทกตะเกียบลงไปกับโต๊ะอย่างแรง จากนั้นหล่อนจึงเอ่ยปากถามจางฉุ้ยเหลียนไปว่า “แกมีคนรักแล้วงั้นหรือ ? แล้วเขาก็ทำงานเป็นทหารด้วยใช่ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้อยู่แล้วว่า ถ้าเธอพูดเรื่องนี้กับฟู่ซินออกไปแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเหตุการณ์ในวันนี้มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เธอพยักหน้ายอมรับ “ใช่ค่ะ หนูมีคนรักอยู่แล้ว พ่อกับแม่ไม่จำเป็นจะต้องไปหาผู้ชายให้มาแต่งงานกับหนูแล้ว เรื่องการแต่งงานมันเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ”
“แกมันไร้ยางอายสิ้นดี !” เพราะเสียงที่เช่าหวาพูดออกมานั้นมันดังเกินไป จางกว่างฝูจึงใช้ศอกกระทุ้งสีข้างของหล่อนเพื่อเป็นการเตือน จากนั้นเช่าหวาจึงได้ลดเสียงให้เบาลง หล่อนทำหน้าบึ้งตึง กัดฟันและพูดว่า “แกไม่มียางอายเลยรึไง ? แกอยากจะได้ผู้ชายจนตัวสั่นขนาดนั้นเลยหรือ ถึงต้องหาคนรักเอง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเลิกคิ้วขึ้นสูง แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเช่าหวาแต่อย่างใด “ตอนนี้ประเทศกำลังสนับสนุนให้คนมีความรักอย่างอิสระ หนูไม่ได้ไปปล้นหรือว่าฆ่าใครสักหน่อย ทำไมหนูต้องอายด้วยล่ะ ? หนูอยากจะแต่งงานกับคนที่หนูรัก และหนูก็ไม่ได้อยากจะขายตัว ! ”
เช่าหวาไม่คิดว่าจางฉุ้ยเหลียนจะหน้าหนาถึงเพียงนี้ หนาถึงขนาดที่ว่าเธอสามารถพูดคำที่น่าละอายพวกนี้ออกมาได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร หล่อนถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ จนจางกว่างฝูต้องสะกิดหล่อนเพื่อให้สติของหล่อนกลับมา “แล้วบ้านของไอ้หนุ่มนั่นทำงานอะไรล่ะ ? เดือนหนึ่งได้เงินเท่าไหร่ ? แล้วเขาจะให้ค่าสินสอดแกเท่าไหร่ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยักไหล่อย่างไม่แยแส “บ้านของพวกเขาอยู่ในเมือง ครอบครัวของเขามีสมาชิกทั้งหมด 4 คน น้องสาวของเขากำลังเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนแม่ของเขาเป็นแม่บ้าน และพ่อของเขาก็เป็นทหารเช่นเดียวกับเขา เพราะแม่ของเขาเป็นนายทุน ตลอดชีวิตของเขาจึงไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดี”
การที่ในปีนั้นเช่าหวาได้แต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้ที่บ้านตระกูลจาง นั่นก็เป็นเพราะว่าพ่อแม่ของหล่อนต้องการจะได้ชามข้าวเหล็กจากการที่ให้หล่อนแต่งงานกับคนงาน แล้วอีกอย่างพ่อของจางกว่างฝูก็ได้ไหว้วานให้คนรู้จักช่วยรับพี่ชายของหล่อนให้เข้าไปทำงานในโรงงานด้วย
และตอนนี้หล่อนก็ได้เรียนรู้ทุกอย่างจากบทเรียนเหล่านั้นแล้ว หล่อนจึงอยากให้จางฉุ้ยเหลียนไปทำงานกับฟู่ซินที่โรงงานทรายของเขา และหาเงินจากเขามาให้เยอะ ๆ
ตอนที่หล่อนได้ยินว่าคนรักของจางฉุ้ยเหลียนเป็นแค่ทหารจน ๆ ในใจของหล่อนก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้ว บ้านของผู้ชายคนนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีอนาคตและไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับหล่อนเลยแม้แต่น้อย หล่อนแอบเสียใจที่ก่อนหน้านี้หล่อนไม่จับให้จางฉุ้ยเหลียนหมั้นกับฟู่ซินเสียก่อน ตอนนี้หล่อนจึงเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว
“คนแบบนั้นมันจะมีดีอะไรล่ะ ? ฉันอยู่กับพ่อของแกในเมืองมาทั้งชีวิต ฉันเจอมาหมดแล้ว ? เป็นทหารมันไร้ประโยชน์แกรู้รึเปล่า ? แกบอกว่าเขาอยู่ในกรมทหารและออกมาข้างนอกไม่ได้ แล้วตอนแกเกิดมีลูก แกจะทำยังไง แล้วตอนที่แกเลี้ยงลูกอีกล่ะ แกจะต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แล้วแกยังต้องดูแลพ่อแม่ของเขาอีก ไม่ว่าจะในบ้านหรือนอกบ้าน แกก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวของแกเอง แล้วมันต่างกับแม่ม่ายตรงไหนกัน แกอยากจะใช้ชีวิตแบบนั้นคนเดียวที่บ้านอย่างนั้นหรือ ? ” เช่าหวานั้นรู้จุดอ่อนของจางฉุ้ยเหลียนดี หล่อนจึงเริ่มพูดหว่านล้อมเธอออกไป
เมื่อถึงตอนนั้นจางฉุ้ยเหลียนจะต้องรู้สึกเห็นแก่ตัว และท้ายที่สุดเธอก็จะไม่สามารถทนต่อความยากลำบากของการมีสามีเป็นทหารได้ แล้วการไปเป็นสะใภ้บ้านเขามันจะไปมีประโยชน์อะไร ? ฟังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเล่าแล้ว ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้เป็นทหารยศใหญ่โตอะไร และตลอดชีวิตนี้ทั้งชีวิตของเขาก็ไม่สามารถเจริญก้าวหน้าได้ อีกทั้งเงินเดือนของเขาก็ยังน้อยมากอีกต่างหาก
จางฉุ้ยเหลียนก็ยังอายุน้อย ทำไมเธอถึงไม่ใช้โอกาสนี้หาผู้ชายดี ๆ แล้วอย่างนี้ในอนาคตเธอจะไม่มานั่งเสียใจทีหลังรึไงที่ไปแต่งงานกับไอ้ทหารจน ๆ นั่น ?
“ฉันไม่อนุญาตให้แกคบกับไอ้ทหารนั่น นอกจากว่าไอ้ทหารนั่นจะหาเงิน 8,000 หยวนมาเป็นค่าสินสอดทองหมั้นให้แกได้” เพราะความที่เช่าหวากลัวว่าจางฉุ้ยเหลียนจะใช้ข้อบังคับกฎหมายย้ายชื่อของตัวเองออกจากทะเบียนบ้าน เช่าหวาจึงพูดยืนกรานไปว่า “ตอนนี้ชื่อของแกยังอยู่ในทะเบียนบ้านเรา ถ้าหาเงิน 8,000 หยวนมาเป็นค่าสินสอดไม่ได้ ฉันก็ไม่อนุญาตให้แกแต่งงาน และฉันก็จะไม่ให้แกแต่งงานอีกเลยและปล่อยให้แกเป็นสาวเทื้อ”
จางฉุ้นเหลียนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เธอคิดว่าเธอนั้นสามารถควบคุมเช่าหวาได้ แต่เธอดันลืมไปว่า ในยุคสมัยนี้การที่จะจดทะเบียนสมรสได้ คู่บ่าวสาวจะต้องนำทะเบียนบ้านของตัวเองไปที่สำนักงานเขตเพื่อรายงานต่อนายทะเบียนด้วย
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าไม้ตายสุดท้ายของเช่าหวาจะเป็นการเอาเรื่องทะเบียนบ้านของเธอขึ้นมาอ้าง เพื่อไม่ให้เธอแอบไปจดทะเบียนสมรสกับกู้จื้อเฉิง
จางฉุ้ยเหลียนกลับมาที่บ้านด้วยใบหน้าที่สิ้นหวัง เธอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กับเซี่ยจวินฟัง เมื่อเขาได้ยินในสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูด เซี่ยจวินก็ถึงกับตบฝ่ามือลงไปบนต้นขาของตัวเองด้วยอารมณ์โกรธทันที “ไอ้หยา พ่อก็ลืมย้ายทะเบียนบ้านของลูกให้มาอยู่ที่ทะเบียนของวิทยาลัยซะได้”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วแน่น “เดิมทีแล้วทะเบียนบ้านของหนูก็อยู่ในเมืองอยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะย้ายทะเบียนบ้านยังไง หนูก็ย้ายชื่อเข้าไปอยู่ในทะเบียนของวิทยาลัยไม่ได้หรอกค่ะ เพราะอย่างนั้นปัญหาตอนนี้ก็คือ เราจะย้ายชื่อของหนูออกมาจากทะเบียนบ้านของพวกเขาได้ยังไง”
ตงลี่หวาพูดออกไปด้วยความโกรธว่า “แม่ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าหล่อนจะใช้ไม้นี้มาข่มขู่ลูก เพื่อไม่ให้ลูกแต่งงานได้ ลูกบอกหล่อนไปสิว่าถึงอย่างไรลูกก็จะแต่ง ดูสิว่าหล่อนยังจะปฏิเสธได้อยู่อีกไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ถ้าหล่อนบอกว่าทะเบียนบ้านหายล่ะคะ ? ถ้าหล่อนไม่ยอมให้หนูแต่งงาน แล้วเราจะทำยังไงกันดี ? หรือถึงเวลานั้นหนูจะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจดี ? ถ้าพวกเขาไม่ยอมให้หนูแต่งงาน แล้วไปสร้างปัญหาก่อกวนที่บ้านของสามีหนู ชีวิตของหนูต่อจากนี้ก็คงจะไม่สงบสุขเป็นแน่”
ถึงแม้ว่าตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนจะยังคิดหาวิธีอะไรดี ๆ ไม่ออก แต่ทางด้านกู้จื้อเฉิงที่ได้รับจดหมายจากเซี่ยจวิน เขาก็ได้เตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว
เขาเห็นชื่อของเซี่ยจวินอยู่บนซองจดหมาย ในตอนแรกเขาก็คิดว่าจางฉุ้ยเหลียนจะต้องแกล้งเขาแน่ ๆ แต่เมื่อได้อ่านข้อความในจดหมายแล้ว กู้จื้อเฉิงกลับยิ้มไม่ออกเลยทีเดียว
พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของจางฉุ้ยเหลียนเหมือนพ่อค้าแผงลอยที่ขายแมงป่องข้างถนนอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น พวกเขาพร้อมที่ฉีกคุณได้ทุกเมื่อ เพียงเพื่อหวังกำไรอันน้อยนิดจากคุณ
เขารู้ว่าหลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนได้เข้าไปเรียนวิทยาลัยแล้ว เธอก็ไม่อยากที่จะญาติดีกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอด้วยเหตุผลบางอย่าง และเธอก็พร้อมที่จะตัดความสัมพันธ์กับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอได้ทุกเมื่อ
แต่กู้จื้อเฉิงคิดว่านี่มันไม่ใช่วิธีการที่ดีเท่าไรนัก เพราะสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนทำมันขัดกับศีลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมีสถานะทางสังคมที่สูงขึ้น ด้วยสิ่งเหล่านี้มันอาจจะทำให้จางฉุ้ยเหลียนถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์เอาได้
และเขาเองก็ไม่เชื่อเรื่องการดูตัวของจางฉุ้ยเหลียนว่าเธอจะเปลี่ยนใจจากเขาไปชอบคนอื่นได้ เพราะประการแรก กู้จื้อเฉิงก็ค่อนข้างที่จะมั่นใจในตัวเอง ส่วนประการที่สอง เขารู้อยู่แล้วว่าถึงอย่างไรจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่มีทางแต่งงานกับคนที่พ่อแม่ของเธอหามาให้อย่างแน่นอน
กู้จื้อเฉิงถือจดหมายฉบับนั้นและเดินไปที่สำนักงาน จากนั้นเขาก็เริ่มเขียนรายงานด้วยท่าทางที่เคร่งครึมทันที
แต่ในระหว่างที่กู้จื้อเฉิงกำลังเขียนรายงานอยู่นั้น จิ้นเหวินก็เปิดประตูเข้ามาพอดี เขาเดินเข้ามาพร้อมกับถือกล่องอาหารสีเขียวของทหารไว้ในมือ เขาเห็นกู้จื้อเฉิงกำลังเขียนอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่ากู้จื้อเฉิงกำลังเขียนอะไรอยู่ เขาวางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะทำงาน จากนั้นจึงชะโงกหน้ามาดูสิ่งที่กู้จื้อเฉิงกำลังเขียนและพูดออกไปด้วยความตกใจว่า “รายงานการแต่งงาน ? ”
เขาเดินไปรอบ ๆ โต๊ะทำงานด้วยความตื่นเต้น จากนั้นจึงเดินเข้าไปผลักกู้จื้อเฉิงเบา ๆ “เพื่อน นายเอาจริงอย่างนั้นหรือ ? ”
กู้จื้อเฉิงวางปากกาที่อยู่ในมือลงเมื่อเขาเขียนตัวอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ เขาผลักมือของจิ้นเหวินที่กำลังโอบไหล่ของเขาอยู่ออก จากนั้นจึงพูดด้วยท่าทางเคร่งครึมว่า “ถ้าไม่แต่งงาน ก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติผู้หญิงไม่ใช่หรือ ? ”
จิ้นเหวินขมวดคิ้ว และพูดออกไปอย่างไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกู้จื้อเฉิง “นายคิดน้อยเกินไปแล้ว พวกนายยังใช้เวลาร่วมกันไม่นานเลย ขนาดว่าฉันรู้จักกับซุนหยุนมา 9 ปี พอเข้าปีที่หกฉันยังไม่กล้าขอเธอแต่งงานเลยด้วยซ้ำ นายจะแต่งงานเร็วเกินไปรึเปล่า ? ”
กู้จื้อเฉิงวางรายงานที่อยู่ในมือลง จากนั้นจึงตอกกลับจิ้นเหวินไปว่า “นี่เพื่อน นายยังรู้ตัวอยู่อีกเหรอว่านายคบกับหล่อนมา 6 ปีแล้ว? แล้วตอนนี้ก็ยังไม่ได้คุยกับหล่อนเรื่องแต่งงานอีก ถ้าฉันเป็นหล่อน ฉันคงหนีไปนานแล้วล่ะ”
จิ้นเหวินเงยหน้าขึ้นมาและพูดออกไปอย่างยิ้ม ๆ ว่า “ไอ้หยา กาลเวลาทำให้รู้ใจคนจริง ๆ นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าสงครามที่ยืดเยื้อ ก็เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น”
กู้จื้อเฉิงหัวเราะออกมาด้วยเสียงต่ำ ๆ “ดูเหมือนว่า นอกจากนายจะไม่มีความรับผิดชอบแล้ว ยังขี่ลามองหาม้าอีกนะ หน้าด้านจริง ๆ ”
MANGA DISCUSSION