ตอนที่ 89 เมืองหลวง
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางใบแจ้งหนี้ที่เช่าหวายื่นมาให้ด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอรู้สึกว่าหล่อนต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่ทำแบบนี้
เซี่ยจวินไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทั่วไปของผู้หญิงเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเขาเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เขาก็อดกลั้นความโกรธไม่ได้อีกต่อไป คงไม่มีใครที่จะสร้างปัญหาให้กับคนอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ และก็ยิ่งไม่มีใครที่รังแกเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไม่มีทางสู้คนหนึ่งแบบนี้หรอก
เขาไม่ลงไม้ลงมือกับผู้หญิง เพราะอย่างนั้นจางกว่างฝูจึงเป็นคนที่ถูกเซี่ยจวินอัดหมัดเข้าใส่อย่างแรงแทน ส่วนทางด้านของจางฉุ้ยเหลียนเมื่อผู้เป็นแม่ยื่นใบแจ้งหนี้มาให้เธอ โดยที่เธอก็ไม่เคยเป็นหนี้หล่อนแบบนี้แล้ว เธอจึงได้เอ่ยปากข่มขู่พวกเขาออกไปว่าเธอจะแจ้งตำรวจ ข้อหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอคิดที่จะขายเธอออกไปแต่งงานโดยที่เธอไม่เต็มใจ
คนอ่อนแอกลัวคนเข้มแข็ง คนเข้มแข็งกลัวคนพาล คนพาลกลัวคนไม่เสียดายชีวิต ซึ่งในเวลานี้สองสามีตระกูลจางก็กลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว จางกว่างฝูถูกเซี่ยจวินชกเข้าที่เบ้าตาหลายต่อหลายครั้งจนตอนนี้มันฟกช้ำจนแทบจะกลายเป็นหมูที่มองทางเดินไม่เห็น ส่วนเช่าหวาก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะรีดไถเงินจากลูกสาวอีกต่อไป หล่อนจึงทำได้แค่คลานกลับบ้านเหมือนหมาจนตรอกเพียงเท่านั้น
และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็ได้อยู่ในสายตาของจางฉุ้ยหลินทั้งหมด เขารู้สึกเสียหน้าและรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก ในตอนที่เกิดเรื่องวุ่นวายเมื่อสักครู่ เขาก็ไม่ได้รุดหน้าเข้าไปช่วยคุณอาสองและคุณน้าสะใภ้สองของเขาแต่อย่างใด จนกระทั่งพวกเขาทั้งสองวิ่งหนีออกไป และทิ้งเขาไว้ที่นี่คนเดียว ตัวเขาเองก็อยากจะให้จางฉุ้ยเหลียนไปแจ้งตำรวจไว้เช่นกัน เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้สองสามีภรรยาคู่นั้นจะทำอะไรอีก
“ฉุ้ยเหลียน ตอนที่เธอเข้าเรียนวิทยาลัย เธอได้ย้ายทะเบียนบ้านรึเปล่า ? ” คำถามของจางฉุ้ยหลินได้เรียกสติของจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธให้กลับมา เมื่อจิตใจของเธอเริ่มสงบลงแล้ว เธอก็เข้าใจความหมายของพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอได้ในทันที เขากลัวว่าถ้าในอนาคตเธออยากจะแต่งงานกับกู้จื้อเฉิงจริง เขาก็เกรงว่าเธอจะจดทะเบียนสมรสไม่ได้เพราะพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอไม่ยอม
“หลังจากนี้ไม่ว่าเธอจะแต่งงานกับใคร คุณอาสองและคุณน้าสองก็จะต้องเรียกเงินค่าสินสอดทองหมั้นกับฝ่ายชายอย่างแน่นอน ฉันก็เลยคิดว่าเธอน่าจะถือโอกาสนี้ย้ายทะเบียนบ้านออกมาน่าจะดีกว่านะ ในอนาคตเธอจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลว่าเธอจะโดนพวกเขาขัดขวางไม่ให้เธอจดทะเบียนสมรส” จางฉุ้ยหลินพูดทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยประโยคเตือนสติ ก่อนที่เขาจะเดินจากไป และหลังจากที่ได้พูดคุยกับผู้เป็นพี่ชายแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเพื่อคิดทบทวนกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
สองสามีภรรยาตระกูลจางที่รู้สึกว่าตนเองนั้นเสียเปรียบเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงรู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้พวกเขาก็คงต้องหยุดสร้างปัญหาไปก่อน เพราะพวกเขาทั้งสองกลัวว่าจางฉุ้ยเหลียนจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งตำรวจจริง ๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ข้อบังคับกฎหมาย แต่พวกเขาก็รู้ว่าการบังคับขู่เข็ญให้ลูกสาวของตัวเองแต่งงานนั้นมันเป็นเรื่องที่ผิด
วันเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวมันก็ใกล้จะเป็นวันเปิดภาคเรียนของเซี่ยหลี่ห้าวแล้ว วันที่ 15 ตามปฏิทินจันทรคติ เซี่ยโหย๋วและหลี่หงก็เดินทางมาเยี่ยมลูกชายของตัวเอง อีกทั้งพวกเขาก็ยังเอาของขวัญมาให้กับลูกชายราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวใด ๆ ของพวกเขาอีกเลย จนกระทั่งวันที่ 1 เดือนมีนาคม เซี่ยโหย๋วก็เดินทางมาในเมืองอีกครั้งเพื่อที่จะพาเซี่ยหลี่ห้าวไปรายงานตัว
และวันนี้ก็เป็นวันที่จางฉุ้ยเหลียนจะต้องกลับไปเรียนที่วิทยาลัยของเธอด้วยเช่นกัน เธอนั่งรถโดยสารประจำทางกลับไปวิทยาลัยของตัวเอง เมื่อมาถึงเธอก็ลงจากรถและเดินดุ่ม ๆ กลับไปยังหอพักของตัวเองในทันที หลายเดือนที่ผ่านมานี้เธอได้เจอกับกู้จื้อเฉิงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และนั่นมันก็เป็นตอนที่เธอไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของอันหลงเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั่นเอง นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อเธอได้เห็นภาพนักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมาในวิทยาลัยแห่งนี้แล้ว อารมณ์ความรู้สึกที่เศร้าใจของเธอก่อนหน้านี้มันก็ได้อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่เธอรู้สึกสงสัยที่สุดในตอนนี้ก็คือ ทำไมวันนี้หลี่เหยาถึงยังไม่กลับเข้ามาในหอพักอีก เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนแสดงสีหน้าสงสัยออกมา หลี่ม่านจึงได้แอบกระซิบบอกจางฉุ้ยเหลียนเบา ๆ ว่าหลี่เหยานั้นย้ายออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว อีกทั้งหล่อนก็ยังย้ายไปอยู่กับคนรักของหล่อนอีกต่างหาก
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกตกใจกับข่าวที่ได้ยินไม่น้อย มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เพราะการที่จะย้ายไปอยู่กับคนรักก่อนที่จะแต่งงานกันในสมัยนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมเท่าไหร่นัก และยิ่งไปกว่านั้นหล่อนก็ยังเป็นนักศึกษาอีกด้วย
จางเหว่ยจึงได้พูดอธิบายออกมาอีกว่า “ตอนนี้หลี่เหยาหมั้นแล้ว และหล่อนก็ไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในหอพักอีกต่างหาก หล่อนย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของคนรักของหล่อน แล้วอีกอย่างการที่หล่อนไปอยู่ที่บ้านของพวกเขา มันก็ย่อมดีกว่าการที่หล่อนอยู่หอพักของวิทยาลัยเป็นไหน ๆ มีคนเคยไปถามหล่อนเหมือนกันนะว่าหล่อนนอนห้องเดียวกับคนรักของหล่อนรึเปล่า แต่หล่อนก็บอกว่าหล่อนไม่ได้นอนห้องเดียวกับเขา”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็หันไปมองที่เตียงทั้งสามเตียงที่ว่างเปล่าภายในห้องด้วยความรู้สึกอ้างว้างจนยากที่จะพรรณนานาออกมาได้ เธอคิดว่าการที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในหอพักนั้น มันก็เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยาก การที่ติงหลงหลงออกจากวิทยาลัยแห่งนี้ไปเรียนต่างประเทศเพื่อเดินตามความฝันของตัวเอง เธอก็พอเข้าใจ แต่การที่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยได้ย้ายออกไปจากห้องพักแห่งนี้มันก็เป็นเพราะเธอ แต่สำหรับหลี่เหยา เธอรู้สึกเป็นกังวลเพราะสาเหตุที่หล่อนย้ายออกไปมันก็แตกต่างจากสองคนนั้น
อย่าว่าแต่ในยุคสมัยนี้เลย เพราะในอีก 23 ปีข้างหน้า การที่หลี่เหยาย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านของฝ่ายชายโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน มันก็อาจจะทำให้หล่อนถูกแม่สามีดูถูกเหยียดหยามเอาได้ ถึงแม้ว่าจะพูดแบบนี้มันจะไม่น่าฟัง แต่การที่หล่อนได้ย้ายเข้าไปอยู่แบบนั้น แม่สามีของหล่อนก็คงจะไม่ได้ใส่ใจกับหล่อนมากนักหรอก
“ไม่ว่าหล่อนจะย้ายออกไปอยู่กับใครก็ให้มันเป็นเรื่องของหล่อนเถอะ เราก็แสร้งทำเป็นไม่รู้น่ะดีแล้ว แล้วอีกอย่างตอนนี้พวกเราก็คงจะสบายใจได้มากขึ้นแล้วล่ะที่หล่อนย้ายออกไป ไม่อย่างนั้นพวกเราคงได้เจอกับเรื่องวุ่นวายไม่จบไม่สิ้นแน่” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างก็พากันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยในทันที เพราะตั้งแต่ที่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยย้ายออกไป พวกหล่อนก็ปวดหัวกันมามากพออยู่แล้ว
ส่วนนิสัยของส่วนตัวของหลี่เหยา ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้า หล่อนก็คงจะโดนตำหนิหรือโดนนินทาอย่างแน่นอน แต่ก็โชคดีที่คนในหอพักแห่งนี้ไม่ใช่คนที่จะชอบสร้างปัญหาให้กับคนอื่น ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในรั้ววิทยาลัยแห่งนี้ในอีกครึ่งปีที่เหลือกันอย่างมีความสุข
ช่วงนี้จิตใจของจางฉุ้ยเหลียนนั้นค่อนข้างที่จะสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก และนั่นมันก็ส่งผลให้ทางสำนักพิมพ์ตีงานกลับมาให้เธอแก้ใหม่เกือบทั้งหมด ส่วนคะแนนความนิยมของแบบเสื้อผ้าของเธอก็ลดฮวบลงมาอย่างน่าใจหาย ในวันฉลองปีใหม่ก็แทบจะไม่มีใครยอมควักเงินของตัวเองออกมาซื้อเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่กันเลย และเรื่องที่น่ากลัดกลุ้มใจมากที่สุดก็คือ ช่วงนี้สองสามีภรรยาตระกูลจางก็เงียบมาจนรู้สึกผิดปกติ นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกเหม่อลอยและจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
วันที่ 30 เดือนมีนาคม ซึ่งตรงกับวันอังคาร นกกางเขนตัวหนึ่งก็ได้บินร่อนลงมาเกาะที่ขอบหน้าต่างข้างเตียงของจางฉุ้ยเหลียนในตอนเช้าตรู่ เสียงของมันที่ดังเข้ามาในห้องก็ได้ปลุกเธอให้ตื่นขึ้น จางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้นมานั่งด้วยความงัวเงีย และเมื่อเธอหันไปเห็นนกกางเขนเกาะอยู่ที่ริมหน้าต่างข้างเตียงของเธอ เธอก็รู้สึกว่าวันนี้จะต้องมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เธอก้าวขาลงมาจากเตียงด้วยความรู้สึกดี จากนั้นเธอก็เดินออกไปจากห้องพักและเดินผ่านระเบียงทางเดินเพื่อที่จะไปเข้าห้องน้ำ หลังจากที่ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็กลับเข้ามาในห้องพักอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า และลงไปด้านล่าง
อากาศในตอนเช้าตรู่ในรั้ววิทยาลัยแห่งนี้เย็นสบายไม่น้อย มีนักศึกษาจำนวนมากพากันมาวิ่งออกกำลังกายในสนาม จางฉุ้ยเหลียนเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปในโรงอาหาร เธอซื้อซาลาเปา 2 ลูกและน้ำซุปฟรีอีก 1 ถ้วย
“นกตัวที่ตื่นเช้าถึงจะได้หนอนกิน!” จางฉุ้ยเหลียนจ้องมองไปทางหม้อน้ำซุปขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางโรงอาหาร ที่แท้ในซุปก็มีไข่ไก่ด้วย เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน และคิดว่ามันเป็นเพียงน้ำซุปใสธรรมดา ๆ มาโดยตลอด
“นกกางเขนไม่เพียงแต่ให้ความโชคดีแล้ว ยังให้ไข่ไก่อีกด้วย!” จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า เธอมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว หลังจากที่กินซาลาเปาหมดแล้ว เธอก็ตั้งใจจะไปเดินเล่นข้างนอกวิทยาลัย
เธอเดินออกมาจนกระทั่งถึงหน้าป้อมยาม เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าตอนนี้คุณลุงยามกำลังรับซองจดหมายกองโตจากบุรุษไปรษณีย์อยู่นั้น เธอก็เบิกตาโตขึ้นมาในทันทีด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
เมื่อบุรุษไปรษณีย์กลับไปแล้ว จางฉุ้ยเหลียนจึงรีบสาวเท้าพุ่งปราดเข้าไปข้างในป้อมยามอย่างรวดเร็ว เธอกล่าวทักทายคุณลุงยาม และเริ่มค้นหาซองจดหมายของตัวเองในทันที
เธอค้นจดหมายในกองนั้นจนกระทั่งเจอซองจดหมายที่จ่าหน้าซองถึงเธอ จางฉุ้ยเหลียนใช้มือแตะ ๆ คลำ ๆ ซองจดหมายนั้นและเธอก็รู้ได้ในทันทีว่าข้างในซองจดหมายฉบับนี้มันเป็นอะไร เธอรีบเปิดซองจดหมายอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น เมื่อเปิดออกมาแล้วเธอก็เจอกับตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ใบหนึ่ง และทันทีที่เธอเห็นตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ใบนี้ ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที และด้วยความที่คุณลุงยามเห็นจนชินตาแล้ว เขาก็เลยไม่ได้ตกใจกับท่าทางของจางฉุ้ยเหลียน
จางฉุ้ยเหลียนคลี่กระดาษในซองจดหมายออกมา และกวาดสายตาไล่อ่านตั้งแต่บรรทัดบนลงล่างอย่างรวดเร็ว หนังสือนิยายเรื่องสั้นเล่มแรกของเธอได้รับการตีพิมพ์แล้ว และเธอก็ได้รับเงินก้อนโตเป็นค่าลิขสิทธิ์ของนิยายเรื่องสั้นเล่มแรกของเธอในครั้งเดียว ความจริงแล้วทางสำนักพิมพ์ได้ซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรื่อง รักท่ามกลางแสงจันทร์ (月光恋人 เยว่กวางเลี่ยนเหริน) ของจางฉุ้ยเหลียนออกตีพิมพ์ในครั้งเดียว แต่ถ้าในอนาคตยอดขายนิยายของเธอดี นิยายของเธอก็จะได้ตีพิมพ์อีกครั้ง และทุกครั้งที่นิยายของเธอได้ตีพิมพ์ เธอก็จะได้รับเงินค่าลิขสิทธิ์ รวม ๆ กันแล้วเธอก็จะได้เงินประมาณ 10,000 หยวน แต่เงินจำนวนนี้ก็ยังไม่ได้หักภาษี
แต่ถึงอย่างนั้นเงินจำนวนนี้สำหรับจางฉุ้ยเหลียนแล้วมันก็ถือว่าเยอะมากเลยทีเดียว การที่นิยายเรื่องสั้นของเธอได้รับการตีพิมพ์มันก็เป็นสิ่งที่ยืนยันความสามารถของเธอได้ดีที่สุด มันก็เหมือนกับการโฆษณา แต่ถึงอย่างนั้นนี่มันก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ต้นทุนสำหรับอาชีพนี้ของเธอเท่านั้น เพราะสำหรับเธอแล้ว มันมีความหมายมากว่าเงินทองเสียอีก
เธอเก็บตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ใส่กลับเขาไปในซองจดหมายตามเดิม จากนั้นเธอก็เดินออกไปจากวิทยาลัย วันนี้เธอตั้งใจว่าจะเอาเงินที่เธอได้รับไปฝากที่ธนาคาร ถึงแม้ว่าเธอจะไปเข้าเรียนสายหรือต่อให้เธอต้องโดนอาจารย์ตำหนิเธอก็ยอม
ทันทีที่ประตูธนาคารเปิดออก จางฉุ้ยเหลียนก็รีบแทรกตัวเข้าไปด้านในทันที เธอนำตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ที่เธอได้รับมาขึ้นเงิน จากนั้นก็นำเงินเหล่านั้นฝากในบัญชีธนาคารของเธอ เมื่อฝากเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็มองสมุดบัญชีเงินฝากที่อยู่ในมือของตัวเองด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มใจ
ในที่สุดเรื่องที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ก็ได้รับการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า จางฉุ้ยเหลียนตั้งใจว่าจะเชิญติงเขอมาที่บ้านของเธอในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เพื่อที่จะปรึกษาหารือกันเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการตลาด
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้รับเงินค่าลิขสิทธิ์ก้อนโตจากทางสำนักพิมพ์มาแล้ว เธอก็รีบติดตั้งโทรศัพท์บ้านให้กับสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยทันที ถึงแม้ว่าในยุคสมัยนี้โทรศัพท์บ้านจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทุกคนแล้วก็ตาม แต่สำหรับสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยแล้ว โทรศัพท์บ้านก็เป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองสำหรับพวกเขา
แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับไม่คิดอย่างนั้น เพราะเธอหวังว่าการติดตั้งโทรศัพท์บ้านในครั้งนี้ จะทำให้พวกเขายอมรับสิ่งใหม่ ๆ ได้ เพราะถึงอย่างไรอายุอานามของเซี่ยจวินก็มากขึ้นทุกปี ๆ เขาคงจะไม่สามารถซ่อมรถแบบนี้ไปได้ตลอดชีวิตหรอก
เธอจึงรีบดำเนินการติดตั้งโทรศัพท์บ้านให้กับพวกเขาอย่างรวดเร็ว และในวันศุกร์โทรศัพท์บ้านของเธอก็ทำการติดตั้งเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย จางฉุ้ยเหลียนจึงโทรศัพท์ไปหาติงเขอ เพื่อนัดแนะให้หล่อนมาหาเธอที่บ้านในเช้าวันเสาร์
“พวกเราเคยไปสำรวจตลาดในเมืองกันมาแล้ว อีกทั้งเราก็ยังมีข้อมูลการซื้อเสื้อผ้าของลูกค้าอีกด้วย และเราก็มีข้อมูลแบบเสื้อผ้าที่ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำด้วยเช่นกัน และเมื่อดูจากข้อมูลเหล่านี้แล้วลูกค้าก็พึงพอใจกับสินค้าของเราไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะอย่างนั้นนี่ก็เป็นสิ่งยืนยันว่าตลาดต้องการเสื้อผ้าของเรา แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ เราจะทำการตลาดอย่างไร และเราจะโฆษณาสินค้าของเราออกไปสู่ท้องตลาดให้ดีกว่าเดิมได้อย่างไร”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่แบบเสื้อผ้าของเธอนั้นเป็นที่นิยมในท้องตลาดมากขนาดนี้ และเธอยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีกที่ติงเขอยอมรับในความสามารถของเธอ
“น้าก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ตอนนี้น้าก็กำลังคิด ๆ ไว้ว่าน้าจะเริ่มขยายการโฆษณาสินค้าของเราไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ น้าคิดว่าจะเริ่มโฆษณาที่เมืองหลวงของมณฑลเราก่อน เพราะจำนวนประชากรในเมืองหลวงนั้นค่อนข้างเยอะ อีกทั้งพวกเขาก็ยังมีกำลังซื้อที่ค่อนข้างสูงอีกด้วย แล้วอีกอย่างในเมืองหลวงก็มีแต่เสื้อไหมพรมแบบเก่าขายเกลื่อนกลาดอยู่ตามท้องตลาดเต็มไปหมด เพราะอย่างนั้นเมื่อทุกคนได้เห็นเสื้อผ้าแบบใหม่ของเรา พวกเขาจะต้องยอมซื้อมันอย่างแน่นอน” จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ ทั้งสองคนต่างร่วมด้วยช่วยกันคิดเกี่ยวกับเปลี่ยนแปลงทางการตลาด
“เดี๋ยวน้าจะไปสำรวจตลาดในเมืองหลวงเอง เพราะน้าก็อยู่ในแวดวงของเสื้อผ้ามานานหลายปี ย่อมต้องมีคนรู้จักน้าไม่น้อยเลยทีเดีย เพราะอย่างนั้นเรื่องสถานที่ไหนขายดี หรือแถวไหนคนเยอะ น้าย่อมรู้ดี” ติงเขอได้เตรียมความพร้อมสำหรับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว การที่จะหาลูกค้าเพิ่ม เราจำเป็นจะต้องเริ่มสังหารตั้งแต่ในตัวเมืองและกรีดกรายออกไปเป็นถนนสีเลือดเพื่อไปยังนอกเมือง เราต้องโฆษณาจากในตัวเมืองออกไปสู่นอกเมืองให้ได้
“ฉุ้ยเหลียน เธอว่าเราย้ายโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าไปอยู่เข้าในเมืองหลวงดีไหม ? ” ติงเขอรู้สึกว่าเมือง Q นั้นก็ค่อนข้างเล็กไปสักหน่อย และในอนาคตถ้าหล่อนต้องการที่จะขยับขยายโรงงานให้ใหญ่โตมากยิ่งขึ้น ถึงอย่างไรหล่อนก็ต้องย้ายโรงงานเข้าไปอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ อยู่ดี
จางฉุ้ยเหลียนรีบส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “ตอนนี้เรายังไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกค่ะ เพียงแต่เราต้องขยายโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของเราใหญ่ขึ้นก็เท่านั้น หลังจากที่เราได้เงินทุนคืนมาแล้ว เราก็ค่อยออกไปหาเส้นทางทางธุรกิจที่ได้กำไรมากขึ้นกว่าเดิม แต่ต้นทุนต้องต่ำ ตอนนี้สิ่งที่เราสองคนจะต้องทำก็คือการขยายโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าให้ใหญ่ขึ้น เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้าให้มาซื้อเสื้อผ้าของเรา แบบนั้นมันจะทำให้เราได้กำไรมากขึ้นนะคะ!”
เมื่อติงเขอได้ยินในสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูด หล่อนก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา หล่อนคิดว่าที่จางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาแบบนี้ หรือว่าเธอจะไม่อยากทำเสื้อผ้าร่วมกับหล่อนแล้ว?
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าติงเขกำลังคิดอะไรอยู่ เธอจึงยิ้มและพูดออกไปว่า “คุณน้าว่าแกนหลักของโรงงานนี้คืออะไรคะ ? ”
ติงเขอมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของติงเขา จางฉุ้ยเหลียนก็ชี้นิ้วไปที่หัวใจของหล่อน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “แกนหลักของโรงงานแห่งนี้คือคุณน้าค่ะ มันไม่ใช่โรงงานที่ไม่มีชีวิตแห่งนั้น ช่องทางการค้าขายก็อยู่ในใจของคุณน้า ส่วนทรัพยากรของลูกค้าก็อยู่ในสมองของคุณน้าเช่นเดียวกัน แล้วตัวสินค้าล่ะคะ ? มันก็ขึ้นอยู่กับนักออกแบบ และมันไม่ใช่เพียงแค่เสื้อผ้าที่หนูออกแบบแล้วเท่านั้น แต่มันก็รวมไปถึงแบบเสื้อผ้าที่คุณน้าสรรหามาอีกด้วย ”
ถ้าวันหนึ่งมีคนรวยมาซื้อโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า พวกเขาก็จะได้ไปเพียงโรงงานที่ว่างเปล่าเพียงเท่านั้น แต่สิ่งที่พวกหล่อนได้รับกลับมาก็คือวิธีการบริหารธุรกิจ ประสบการณ์ รวมทั้งวิธีการลงทุนสร้างโอกาสให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
เมื่อเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ติงเขอจึงไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายใจอีกต่อไป หล่อนทำการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการเปิดตลาดใหม่ รวมทั้งวิธีการออกแบบเสื้อผ้าในฤดูกาลใหม่กับจางฉุ้ยเหลียน พวกหล่อนพูดคุยหารือกันตั้งแต่เช้าจนตกเย็น
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเดินไปส่งติงเขอขึ้นรถโดยสารประจำทางเที่ยวสุดท้ายแล้ว เธอก็เดินกลับมาที่บ้านของตัวเองอย่างช้า ๆ
ชีวิตก็เป็นแบบนี้เองงั้นหรือ ยิ่งคุณทำดีมากเท่าไหร่ เบื้องบนก็จะยิ่งหาโอกาสที่เหมาะสมมาให้กับคุณมากขึ้นอย่างนั้นหรือ?
“ฉุ้ยเหลียน!” ในขณะที่เธอกำลังเดินทอดน่องอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ภายใต้แสงจันทร์คนหนึ่งมายืนขวางทางของเธอเอาไว้ พร้อมกับจ้องเขม็งมาทางเธอด้วยแววตาที่ลึกล้ำยากจะคาดเดา
MANGA DISCUSSION