ตอนที่ 85 หน้าไม่อาย
เมื่อเช่าหวาได้ยินเงินจำนวนมากมายเหล่านั้น สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปในทันที คิ้วเรียวยาวของหล่อนขมวดเข้าหากันแน่น พร้อมกับพูดออกไปด้วยน้ำเสียงติด ๆ ขัด ๆ ด้วยความกระวนกระวายใจว่า “เรา…เราจะไปเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนล่ะ ฐานะทางบ้างของเราเป็นยังไง พวกเธอเองก็รู้ แม้แต่ข้าวพวกเราก็แทบจะไม่มีกินอยู่แล้ว”
จางกว่างฝูก็ขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับพูดออกมาว่า “ฉุ้ยเหลียนจะเอาเงินสินเดิมติดตัวไปทำไมตั้ง 6,000 หยวน หล่อนไม่มีความสามารถที่จะหาเงินได้เองเลยรึไง ? ”
ขนาดจางฉุ้ยจวินที่กำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น เขาก็รีบรุดหน้าขึ้นมา และแสร้งทำเป็นพูดเปรียบเทียบสุภาษิตออกไปว่า “ใช่แล้ว ลูกสาวที่ดีจะไม่ใส่เสื้อผ้าที่บ้านหลังจากที่แต่งงานแล้ว ควรพึ่งพาตัวเองไม่พึ่งพามรดกจากพ่อแม่”
เซี่ยจวินยิ้มคลี่ยิ้มออกมาและพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก เพราะถึงอย่างไรในอนาคตถ้าพี่สาวของเธอยากจนข้นแค้น หล่อนก็ไม่มีทางที่จะแย่งมรดกของเธอหรอก แต่ตอนนี้เราจะต้องออกเงินสินเดิมนี้ให้จางฉุ้ยเหลียนในวันแต่งงาน เพราะถ้าเราไม่ออกเงินสินเดิมให้หล่อนเลยแม้แต่เฟินเดียว มันก็เท่ากับว่าเราไม่ไหว้หน้าหล่อน !”
เมื่อได้ยินดังนั้น เช่าหวาก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา “จริงด้วย จริงด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ให้เงินสินเดิมกับฉุ้ยเหลียนเลยสักหน่อย เราก็จะให้หล่อนอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นว่าที่ลูกเขยในอนาคตของเราก็คงหัวเราะเยาะเราแน่ ๆ !”
“ช่างเถอะ เดิมทีพ่อกับแม่ก็ตั้งใจที่จะขายหนูออกไปแต่งงานกับเขาอยู่แล้วนี่ เพราะราคาค่าสินสอดก็ตกลงกันแล้ว แล้วเขาจะมาหัวเราะเยาะอะไรแม่ได้ล่ะ ? เหอะ ! แต่ถึงแม้ว่าเขาจะหัวเราะเยาะแม่ หรือแสดงท่าทางออกมาว่ารังเกียจแม่ แม่ก็ไม่สนใจมันอยู่แล้ว !” จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา “ก่อนหน้านี้แม่ก็ทิ้งหนูให้กับพ่อกับแม่บุญธรรมเลี้ยง แล้วตอนนี้แม่ก็ยังคิดที่จะขายหนูออกไปให้กับแม่สามีในอนาคตอีก พ่อกับแม่น่าจะมีลูกสาวอีกสัก 2 คนนะคะ จะได้สร้างเงินให้พ่อกับแม่ได้เยอะขึ้น !”
ถึงแม้ว่าเช่าหวาจะพยายามอดทนอดกลั้นกับคำพูดเสียดสีถากถางเยือกเย็นของจางฉุ้ยเหลียนได้ แต่จางกว่างฝูที่เริ่มมีอาการมึนเมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์กลับอดกลั้นความโกรธของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เขาตบลงไปบนโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับตะคอกใส่จางฉุ้ยเหลียนว่า “ขายบ้าอะไรกัน ? แม่ของแกให้กำเนิดแกออกมา แกก็ควรที่จะต้องตอบแทนบุญคุณของแม่แกสิ ถ้าไม่ใช่เพราะเรา แกอาจจะไปเกิดเป็นหมูเป็นหมาแล้วก็ได้ และถ้าไม่ใช่เพราะแกได้เรียนหนังสือ แกคิดว่าแกจะได้แต่งงานกับครอบครัวดี ๆ อย่างนั้นหรือ ? ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของแกช่วยหาคนดี ๆ มาให้แก แกคิดว่าเด็กชั่วช้าอย่างแกจะหาคนรักดี ๆ แบบนี้ได้ไหม ? ”
เมื่อพูดจบเขาก็ตบมือลงไปบนไหล่ของเซี่ยจวิน เขาถลึงตาพร้อมกับพูดออกไปด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟังว่า “นายเองก็อย่าไปหวังอะไรกับเด็กคนนี้มากนักเลย หล่อนเป็นพวกไร้มโนธรรมสำนึก ถึงแม้ว่าตอนนี้หล่อนจะทำดีกับนาย แต่ถ้านายไม่มีเงิน หล่อนก็ไม่สนใจนายหรอก”
จางฉุ้ยเหลียนกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชังอย่างสุดขีด และด้วยความที่เธอไม่อยากจะเสวนากับคนแบบนี้อีก เธอจึงโยนตะเกียบที่อยู่ในมือของตัวเองลงไปบนโต๊ะอย่างแรง จากนั้นเธอก็หมุนตัวและเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเองทันที
เมื่อเซี่ยหลี่ห้าวเห็นจางฉุ้ยเหลียนโยนตะเกียบลงไปบนโต๊ะแล้วเดินหนีกลับเข้าไปในห้อง เขาก็รีบกลืนข้าวที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปากและวิ่งตามเธอออกไปทันที ส่วนเช่าหวาก็ได้แต่เบะปากด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่หล่อนจะดึงมือของตงลี่หวามากุมไว้ จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “ตงลี่หวา เธอดูสิ เธอดูสิ่งที่หล่อนทำสิ ตอนนี้หล่อนก็คงจะเกลียดชังเราไปแล้ว เธอบอกหน่อยสิว่าจะให้เราทำยังไง หล่อนถึงจะพอใจ !”
ตงลี่หวาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พวกเธอก็เป็นเสียอย่างนี้ เป็นใคร ใครเขาก็ไม่ทำแบบนี้หรอกนะ พวกเธอได้รับเงินสินสอดมากมายจากทางฝั่งเจ้าบ่าว แต่พวกเธอจะไม่ให้เงินติดตัวลูกสาวไปเลยแม้แต่เฟินเดียวอย่างนั้นหรือ พวกเธอให้ลูกสาวไปอยู่ที่บ้านของแม่สามี แล้วหล่อนจะไปสู้หน้าแม่สามีของหล่อนได้ยังไง ? แล้วยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลนั้นเขาทำอาชีพอะไร ทำไมพวกเขาถึงได้มีเงินมากมายขนาดนั้น ? พวกเขาต้องค้าขายได้มากมายขนาดไหน ถึงจะมีรถ มีมอเตอร์ไซค์และก็มีเงินสินสอดมากขนาดนั้นได้ พวกเขาคงจะไม่ได้เป็นบ้าหรอกนะ !”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เช่าหวาก็เกือบจะระเบิดความโกรธออกมาเลยทีเดียว หล่อนเงยหน้าขึ้นเพื่อสูดอากาศหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเหมือนกับคนหมดเรี่ยวแรงว่า “พวกเขาจะเป็นบ้าไปได้ยังไง ? พื้นฐานทางครอบครัวของพวกเขามันดีมากอยู่แล้ว เพราะตระกูลของพวกเขาทำโรงงานผลิตน้ำมันพืชและเส้นบะหมี่มาหลายปีแล้ว อีกทั้งน้ำมันพืชและเส้นบะหมี่ของพวกเขาก็ไม่ได้ขายแค่ในเมืองที่พวกเขาอยู่เท่านั้น เขายังส่งออกสินค้าของเขาไปตามเมืองต่าง ๆ อีกด้วย แล้วพวกเขาจะไม่มีเงินได้อย่างไรล่ะ ? แล้วอีกอย่าง ที่พวกเขาทุ่มเงินสินสอดมากมายขนาดนี้ก็เป็นเพราะจางฉุ้ยเหลียนเป็นนักศึกษาและเป็นคนมีการศึกษาไม่ใช่หรือ ? ”
ตงลี่หวาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นหล่อนก็ย้อนกลับไปพูดถึงหัวข้อบทสนทนาเดิมอีกว่า “แล้วเงินสินเดิมของฉุ้ยเหลียนล่ะ ? เราทั้งสองครอบครัวจะต้องร่วมกันออกเงิน 6,000 หยวนเพื่อเป็นสินเดิมให้กับหล่อนนะ”
เซี่ยจวินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ฉันเห็นด้วย และครอบครัวของเราก็จะออกเงินให้ 1,000 หยวน อีกทั้งพวกผ้าห่มหรือของใช้ต่าง ๆ เราก็จะเป็นคนออกให้เอง”
เช่าหวาถึงกับอ้าปากค้างเลยทีเดียว จากนั้นหล่อนก็ตะโกนออกไปด้วยความโกรธว่า “พวกเราจะต้องออกเงินตั้ง 5,000 หยวนเลยอย่างนั้นหรือ ? ทำไมกัน ? อ้อ ! ที่พวกเธอทำตัวเป็นหมาป่าหางโตแบบนี้ ก็เพราะพวกเธออยากจะให้เราขาดทุนใช่ไหม !พวกเธอทำกับเราแบบนี้ได้ยังไง !”
“พวกเธอขาดทุนยังไง ? พวกเราไม่ได้ต้องการเงินค่าสินสอดทองหมั้นจากพวกเขาเลยแม้แต่เฟินเดียว แล้วอีกอย่างถ้าพวกเธอออกเงินสินเดิมให้กับฉุ้ยเหลียนแล้ว ถึงอย่างไรพวกเธอก็ยังมีเงินเหลืออีกตั้ง 3,000 หยวนไม่ใช่หรือ แต่ในทางกลับกัน พวกฉันต้องออกเงินสินเดิมให้กับฉุ้ยเหลียนตั้ง 1,000 หยวน แล้วยังมีพวกผ้าห่มแล้วก็เครื่องใช้อีก พวกเราไม่ได้อะไรกลับคืนมาแม้แต่เฟินเดียวเลยนะ แต่ที่เราเต็มใจที่จะออก ก็เพราะเราอยากจะไว้หน้าลูก ! ” เมื่อพูดจบเซี่ยจวินก็หันไปขยิบตาให้กับตงลี่หวาอย่างเป็นอันรู้กัน เมื่อเห็นสามีส่งสัญญาณมาให้หล่อนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
เมื่อคิดว่าตัวเองพ่ายแพ้ เช่าหวาจึงได้บันดาลโทสะขึ้นมาในทันที “เหลวไหล !พวกเธอออกเงินแค่ 1,000 หยวน แต่พวกฉันต้องออกเงินตั้ง 5,000 หยวน แล้วไอ้การที่เราไม่ให้สินเดิมกับจางฉุ้ยเหลียน มันเป็นการไม่ไว้หน้าตรงไหน ? แล้วอีกอย่างตระกูลฟู่ก็เป็นคนบอกเองว่าพวกเขาไม่ต้องการเงินสินเดิมติดตัวเจ้าสาว แล้วเราจะออกเงินค่าสินเดิมให้กับฉุ้ยเหลียนทำซากอะไรล่ะ ? ”
หลังจากนั้นคำพูดสกปรกก็ได้หลั่งไหลออกมาจากปากของเช่าหวาอย่างไม่ขาดสาย เพราะการที่หล่อนจะต้องออกเงิน 5,000 หยวน นั่นมันก็ทำให้หล่อนเจ็บปวดราวกับการเอามีดมากรีดที่ตัวของหล่อนเลยทีเดียว
แต่ตงลี่หวากลับนิ่งสงบ หล่อนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “พวกเธอเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าที่พวกเธอให้หล่อนแต่งงาน มันไม่ใช่เพราะพวกเธออยากจะขายลูกสาวกิน ? เงินที่เหลือ 3,000 หยวน หลังจากการที่พวกเธอออกค่าสินเดิมไปแล้ว มันก็มากพอแล้วนะ พวกเธอยังไม่พอใจอีกหรือ ? แล้วการที่ตระกูลฟู่บอกว่าพวกเขาไม่ต้องการเงินสินเดิม พวกเธอก็จะไม่ให้ลูกเลยอย่างนั้นสิ ? พวกเธอคิดว่าฉุ้ยเหลียนเป็นต้นไม้มงคลเรียกเงินรึไง ? ”
เช่าหวากระวนกระวายใจ หล่อนกัดฟันกรอดพร้อมกับพูดจาออกมาไม่เป็นภาษาด้วยความโกรธ จางกว่างฝูที่ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ลุกขึ้นยืนและเริ่มชวนทะเลาะกับคนอื่นไปทั่ว สาเหตุก็มาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
สักพักก็เอาแต่พร่ำเพ้อว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นเป็นเมล็ดพันธ์ของตัวเอง การแต่งงานเป็นสิ่งที่พ่อแม่เลือกให้ ยังไงหล่อนก็ต้องเชื่อฟังบุพการี สักพักก็พูดว่าเซี่ยจวินนั้นเข้ามายุ่งเรื่องของพวกเขามากเกินไป และการที่เซี่ยจวินไม่มีลูกชาย เขาก็ควรจะที่จะสนับสนุนพวกเขาสิถึงจะถูก
เช่าหวากลัวว่าความเมาของจางกว่างฝูจะทำให้แผนทุกอย่างต้องพังทลายลง หล่อนจึงรีบเดินเข้าไปอุดปากของเขาไว้ทันที และการที่หล่อนปิดปากของเขาไว้ มันก็ยิ่งทำให้เขาโวยวายออกมามากขึ้นกว่าเดิม เขาจึงพรั่งพรูคำพูดสกปรก ๆ ไม่น่าฟังออกมา
ถึงแม้ว่าเซี่ยจวินจะโกรธจนเนื้อตัวสั่นเทา แต่ความโกรธของเขาก็เทียบไม่ได้เลยกับความคลุ้มคลั่งด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ของจางกว่างฝู และเขาก็จะไม่มีวันยอมให้อีกฝ่ายมานอนหมดสติในบ้านของเขาอย่างแน่นอน เขาจึงเดินไปเรียกเด็กหนุ่มที่อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามให้ขับรถไปส่งสองสามีภรรยาและลูกชายตระกูลจางที่บ้านของพวกเขา
หลังจากที่เดินออกไปส่งครอบครัวที่ไม่เชื่อถือนี้แล้ว ตงลี่หวาก็เหลือบไปเห็นโต๊ะที่เต็มไปด้วยคราบอ้วกที่จางกว่างฝูทิ้งเอาไว้ และความสกปรกเละเทะที่ไม่เหลือเค้าโครงเดิมของโต๊ะอาหารที่เป็นระเบียบก่อนหน้านี้แต่อย่างใด เมื่อเห็นดังนั้นแล้วหล่อนก็แทบอยากจะร้องไห้ออกมาเลยทีเดียว
ในห้องนอนตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็เอาแต่นั่งร้องไห้น้ำตาไหลพรากด้วยความโกรธพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ เซี่ยหลี่ห้าววิ่งเข้ามาดูอาการของเธอ สักพักเขาก็วิ่งออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเท่าไหร่นัก แต่เขาที่รู้ความแล้วก็ยังอุตส่าห์ไปตักน้ำร้อนใส่กะละมังมาให้เธอเช็ดหน้า
“พี่สาวครับ พี่จะแต่งงานแล้วหรือครับ ? ” เซี่ยหลี่ห้าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง เพราะกลัวว่าการกระทำของเขาจะทำให้จางฉุ้ยเหลียนโกรธ
จางฉุ้ยเหลียนเช็ดหน้าของตัวเองพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธไปด้วย “ไม่มีทาง!ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของพี่ แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับให้พี่แต่งงานกับใครได้ ชีวิตของพี่ พี่ก็จะเลือกเอง เพราะพี่รู้ว่าจะทำให้ตัวเองนั้นมีความสุขได้ยังไง”
เซี่ยหลี่ห้าวไม่เข้าใจ เขาจึงได้พูดออกไปว่า “แต่ พวกเขา…….. โหดร้ายมากเลยนะครับ”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนหันไปมองที่เซี่ยหลี่ห้าว เธอก็นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่หลี่หงพูดถึงเรื่องอนาคตที่ไม่แน่นอนขึ้นมาได้ จากนั้นเธอก็พูดออกไปเสียงเบาว่า “ไม่ใช่แม่ทุกคนหรอกนะ ที่จะดูน่าเชื่อถือสำหรับลูกของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของพี่ เพราะพี่ดันเกิดมาเป็นลูกสาว อีกทั้งยังป่วยบ่อยและต้องใช้เงินเยอะ พวกเขาก็เลยส่งพี่มาให้คุณลุงสามและคุณป้าสะใภ้สามของเธอเลี้ยงดู และตอนที่พี่โตขึ้น พวกเขาเห็นว่าพี่เรียนเก่งมีอนาคตที่ดีก็เลยมารับพี่กลับไปอยู่ด้วย และต่อมาพี่อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่พวกเขากลับคัดค้าน อีกทั้งยังไม่ให้เงินพี่เพื่อไปเรียนต่อเลยสักเฟินเดียวอีกด้วย ดังนั้นค่าเล่าเรียนในตอนนี้พี่ต้องหามันด้วยตัวเอง แน่นอนว่าคุณอาสามและคุณน้าสะใภ้สามก็ช่วยออกด้วยเช่นกัน แล้วตอนนี้ที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของพี่มาที่นี่ เธอรู้ไหมว่าพวกเขาต้องการอะไร ? ”
เซี่ยหลี่ห้าวพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ผมรู้ครับ พวกเขาอยากจะให้พี่แต่งงาน แม่สามีของพี่ให้เงินสินสอดกับพี่ 8,000 หยวน พี่ครับ เงินมากมายขนาดนั้น ทำไมพี่ถึงไม่รับมันไว้ล่ะ ? ”
ในความคิดของเซี่ยหลี่ห้าว เขาคิดว่าเงินก็เหมือนกับดวงดาวบนฟากฟ้า ที่ต่อให้ใช้ยังไงก็ไม่มีวันหมด แต่พี่สาวของเขากลับไม่เห็นด้วย
“เพราะเงินจำนวนนั้นมันไม่ใช่เงินที่พวกเขาจะมาสู่ขอพี่ แต่เป็นเงินที่พวกเขาจะต้องจ่ายให้กับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของพี่น่ะสิ และนั่นมันเท่ากับว่าเขาพวกใช้เงินจำนวน 8,000 หยวนนั่นซื้อตัวพี่ยังไงล่ะ หลังจากที่พี่แต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ที่บ้านของพวกเขาแล้ว ถ้าเกิดว่าพี่ทำอะไรผิดพลาด พี่ก็อาจจะโดนพวกเขาต่อว่าเอาได้ หรือถ้าพี่อยากจะทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ มันก็คงจะไม่ง่ายเลย และถ้าตอนนั้นพวกเขาตบตีพี่หรือดุด่าพี่ พวกเขาก็จะสามารถพูดได้เต็มปากว่า พวกเขาใช้เงินซื้อพี่มาแล้ว และถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้กินเนื้อ แต่พี่ได้กินแค่รำข้าว ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้”
แต่ถึงอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่รู้หรอกว่าฟู่ซินจะทำเหมือนอย่างที่เธอพูดให้เซี่ยหลี่ห้าวฟังหรือเปล่า แต่การที่เขายอมจ่ายเงินค่าสินสอดให้เธอถึง 8,000 หยวน มันก็น่าเหลือเชื่อมากจริง ๆ อีกทั้งเขาและเธอก็ยังไม่ได้มีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันด้วย เพราะอย่างนั้นการที่เธอจะต้องแต่งงานกับเขา มันก็เหมือนดั่งนิทานพันหนึ่งราตรี ที่ไม่มีทางเป็นไปได้
เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเซี่ยหลี่ห้าว จางฉุ้ยเหลียนจึงได้ถือโอกาสนี้ล้างสมองเขาเสียเลย “นายรู้ไหมว่าทำไมคุณลุงสามถึงไม่ยอมรับเลี้ยงพวกนายทั้งสองพี่น้อง ? เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะเลี้ยงหลานชายให้เหมือนกับเป็นลูกของตัวเองยังไง แต่เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่สามารถช่วยพวกนายได้ ? นายลองคิดดูสิ หลายปีที่ผ่านมานี้ คุณลุงสามช่วยพ่อกับแม่ของนายมาตลอดใช่ไหมล่ะ ? ”
เซี่ยหลี่ห้าวพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ใช่แล้วครับ แม่บอกกับผมแล้วว่า ที่คุณลุงสามไม่ยอมรับเราทั้งสองพี่น้องเป็นลูก ก็เพราะว่าคุณลุงสามอยากจะหาลูกเขยดี ๆ ให้กับพี่ และก็ให้พี่คลอดลูกให้กับคุณลุงสามเลี้ยง”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธในทันที “ไม่ใช่นะ คุณลุงสามของเธอไม่มีทางที่จะหาคนรักให้กับพี่อย่างแน่นอน เพราะเขาหวังแค่ว่าพี่จะมีอนาคตที่ดีและมีความสุขก็เท่านั้น และความจริงแล้วที่เขาไม่รับพวกนายสองคนมาเป็นลูก เพราะเขาคิดว่าพวกนายจะรู้สึกไม่ได้รับความธรรม และมันก็จะเป็นพวกนายเองนั่นแหละที่จะรู้สึกเจ็บปวด”
เซี่ยหลี่ห้าวก้มหน้าลง เขาแกะเล็บของตัวเองไปพลางและพูดออกไปพลางว่า “พี่สาว ผมไม่เอาเงินของคุณลุงสามแน่นอน พี่ไม่ต้องกังวลนะครับ”
จางฉุ้ยเหลียนหลุดขำออกมาในทันที จากนั้นเธอก็ยื่นมือออกไปแตะที่ปลายจมูกของเซี่ยหลี่ห้าวเบา ๆ “พี่เชื่อเธอนะ แล้วเธอรู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงเชื่อเธอ ? ”
เซี่ยหลี่ห้าวส่ายหน้าพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมา เมื่อเห็นดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงได้พูดขึ้นว่า “ข้อที่หนึ่ง คุณลุงสามไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น เงินของเขาเป็นเงินที่เอาไว้เลี้ยงดูตัวเองยามแก่เฒ่า นายก็เห็นว่าร้านซ่อมรถของคุณลุงเป็นร้านที่ทำเงินให้กับเขา ไว้นายค่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นายก็จะรู้เองว่า การที่เขาต้องมาเช่าบ้านอยู่ที่นี่มันต้องใช้เงินมากขนาดไหน อีกทั้งเขาก็ยังต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ และค่ากินอีกด้วย การที่จะทำธุรกิจได้มันก็ต้องมีเงินทุน อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องมีเงิน และเงินในมือของพวกเขาตอนนี้ก็ไม่ได้มากมายเหมือนกับตระกูลฟู่ด้วย อย่าว่าแต่ 8,000 หยวนเลย เพราะแค่ 1,000 หยวน ตอนนี้พวกเขาก็ไม่มี !”
จางฉุ้ยเหลียนต้องการที่จะถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ให้กับพ่อแม่ของเซี่ยหลี่ห้าวผ่านทางปากของเขา เพราะถึงแม้ว่าจะมีคนพูดยังไง พวกเขาก็คงจะไม่เชื่อ แต่ถ้าเป็นคำพูดของลูกชายของตัวเอง พวกเขาก็น่าจะเชื่อบ้างแหละน่า
“และข้อที่สอง พี่เชื่อว่าในอนาคตนายจะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน ดั่งคำสุภาษิตที่ว่า 360 ศาสตร์อาชีพ ย่อมมีจอหงวนของตน ปีนี้นายเพิ่งจะอายุแค่ 13 ปีเท่านั้นเอง นายเรียนซ่อมรถไปแล้วทำงานซ่อมรถกับคุณลุงไป พอนายโตเป็นผู้ใหญ่ นายก็ไปเปิดร้านซ่อนรถในเมืองเป็นของตัวเอง และหลังจากที่ถ้านายเก็บหอมรอมริบได้แล้ว นายก็ไปเปิดโรงงานซ่อมรถ และอีกหน่อยนายก็จะกลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่ขายรถยนต์ แล้วนายว่า ในอนาคตพี่ยังจะต้องการความช่วยเหลือจากนายอยู่ไหม ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยหลี่ห้าวก็เบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เพราะในชีวิตของเขา เขามักจะถูกพ่อแม่ปฏิเสธอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าบางครั้งเขาจะสอบได้คะแนนดี แต่หลี่หงก็เบะปากและเอาแต่พูดบั่นทอนจิตใจของเขาว่าเด็กที่ไหนก็สอบได้ที่หนึ่งกันทั้งนั้น ไม่มีใครเหมือนกับจางฉุ้ยเหลียนเลยแม้แต่คนเดียว เพราะเธอพูดให้กำลังใจเขา ชื่นชมเขาและเชื่อมั่นในตัวเขา
“พี่ครับ พี่พูดจริง ๆ หรือครับ ? ” เซี่ยหลี่ห้าวพูดออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเพื่อเป็นการบอกว่าเธอนั้นพูดจริง “พี่พูดจริง พี่เป็นนักศึกษานะ นายลืมไปแล้วหรือ ? พี่เชื่อว่าในอนาคตของนายจะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน !”
“ผมจะได้กลายเป็นเถ้าแก่ขายขายรถยนต์ได้จริง ๆ หรือครับ ? ” เซี่ยหลี่ห้าวพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“แน่นอน !แต่นายต้องจำคำที่พี่จะพูดให้ขึ้นใจนะว่า นายจะต้องเรียนรู้วิธีการซ่อมรถให้ได้มากที่สุด และนายก็จะต้องเข้าใจในเรื่องของรถยนต์เอาไว้ด้วย นายถึงจะสามารถขายรถได้ นายจะต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้เอาไว้ให้มาก ๆ นายต้องจำคำพูดของพี่ไว้นะ”
จางฉุ้ยเหลียนปัดมือไปบนเสื้อของเซี่ยหลี่ห้าวไปมา เด็กน้อยจึงได้เงยหน้าขึ้นมาและพยักหน้าด้วยสีหน้าแห่งความหวัง “ผมจะตั้งใจเรียนให้ถึงที่สุดครับ”
เด็กแค่ต้องการกำลังใจ แต่บางคนกลับทำลายการศึกษาของพวกเขาอย่างเลือดเย็น…………..
MANGA DISCUSSION