ตอนที่ 84 สินสอดทองหมั้น
หลังจากที่กลับมาจากบ้านของคุณอาสี่แล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็พาเซี่ยหลี่ห้าวไปซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน ถึงแม้ว่าเด็กน้อยจะโบกไม้โบกมือปฏิเสธที่จะยอมรับของพวกนั้น แต่ถึงอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ยังซื้อพวกแปรงสีฟัน ยาสีฟัน กะละมัง รองเท้าแตะ กางเกงชั้นใน ถุงเท้า กางเกงขายาว และสิ่งของต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันให้กับเขา
ทั้งสองคนเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าในเมืองจนถึงช่วงบ่าย และในนะหว่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนกับเซี่ยหลี่ห้าวต่างก็ได้พูดคุยเปิดใจกัน จางฉุ้ยเหลียนบอกกับเซี่ยหลี่ห้าวว่าอย่าเอาเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านของเขาเก็บมาใส่ใจ เรื่องของผู้ใหญ่ก็ให้พวกเขาเป็นคนจัดการ ส่วนตัวเขาก็ทำเพียงแค่อยู่ในบ้านอย่างมีความสุข และพยายามตั้งใจเรียนให้มากที่สุดก็พอแล้ว
เด็กสองคนพี่น้องตระกูลเซี่ยนั้นต่างก็ชื่นชมในความเก่งกาจของจางฉุ้ยเหลียน เพราะคำพูดของเธอนั้นมันก็ไม่ได้แตกต่างจากพระแม่มารีเลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดปลอบใจจากพี่สาวคนนี้ เซี่ยหลี่ห้าวก็จะรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายลงไปได้ทุกครั้ง
เซี่ยหลี่ห้าวและจางฉุ้ยเหลียนกลับมาถึงบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และในตอนนี้ตงลี่หวาก็กำลังทำความสะอาดห้องว่างด้านทิศตะวันตกให้กับเซี่ยหลี่ห้าวอยู่ เมื่อเซี่ยหลี่ห้าวเห็นห้องของตัวเอง เขาก็ถึงกับส่ายหน้าเป็นพัลวันและเอาแต่พร่ำบอกว่าไม่กล้านอนคนเดียว
จางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวานึกไม่ถึงว่าเซี่ยหลี่ห้าวจะเป็นคนที่กลัวความมืดมากถึงเพียงนี้ หญิงสาวทั้งสองจึงปรึกษากันว่าจะรอให้อากาศอุ่นลงกว่านี้ก่อน แล้วค่อยให้เซี่ยหลี่ห้าวย้ายมานอนห้องทางฝั่งทิศตะวันตก เพราะฉะนั้นตอนนี้เซี่ยหลี่ห้าวจึงต้องไปนอนที่ห้องของจางฉุ้ยเหลียน สองพี่น้องจึงกลายเป็นคู่หูตัวติดกันในที่สุด ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะรู้สึกอึดอัดและไม่ค่อยสะดวกนัก แต่เธอก็หมดหนทางเพราะในตอนนี้ทุกครอบครัวก็เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น บางครอบครัวห้อง ๆ หนึ่งในบ้านของพวกเขาก็นอนรวมกันบนเตียง 4-5 คนเลยทีเดียว นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้รู้สึกลำบากใจเท่าไหร่นัก
วันที่สองเป็นวันตรุษจีนเล็ก หรือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วันเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาไฟ และวันนี้ก็ถือว่าเป็นวันที่เข้าสู่ช่วงเวลาเฉลิมฉลองปีใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว ในตอนเช้าจางฉุ้ยเหลียนจึงออกไปตัดกุยช่ายที่ปลูกอยู่ในกระถางออกมาประมาณ 1 กำ จากเธอก็กลับเข้าในครัวเพื่อที่จะเตรียมเนื้อหมูสำหรับทำไส้เกี๊ยว
ในเวลานี้เซี่ยหลี่ห้าวก็กำลังเรียนรู้อุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการซ่อมรถกับเซี่ยจวินอยู่ทางด้านหลัง ส่วนตงลี่หวาก็กำลังฆ่าไก่ตัวใหญ่อยู่หลังบ้าน
ในตอนที่ทุกคนกำลังทำงานของตัวเองอย่างขะมักเขม้นอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือนถึงบ้าน และแขกที่มาเยือนคนนั้นก็คือเช่าหวา จางกว่างฝู และจางฉุ้ยจวินนั่นเอง พวกเขาอ้างว่าอยากจะมาฉลองวันตรุษจีนเล็กที่นี่กับจางฉุ้ยเหลียนอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าเป็นเพราะความใจแคบของตัวเองรึเปล่า ถึงอยากให้คนที่กระทำความผิดได้รับผลกรรมที่ตนเองนั้นก่อไว้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าตอนนี้เช่าหวากำลังคิดวางแผนการอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่ด้วยนิสัยไร้เรื่องร้อนใจไม่ถ่อไปวัดของเช่าหวาแล้ว การมาของพวกเขาในวันนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน
นี่เป็นครั้งแรกที่เช่าหวาเอาเป็ด 2 ตัว รวมทั้งปลาแช่แข็งและเหล้าขาวมาฝากตระกูลเซี่ย เพราะอย่างนั้นเซี่ยจินจึงแสดงท่าทางออกไปดั่งภาษิตที่ว่า อย่าตีคนยิ้ม กับคนที่เป็นญาติมาเยี่ยมในช่วงฉลองวันปีใหม่ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว เซี่ยจวินจึงเก็บอุปกรณ์และอะไหล่ต่าง ๆ เข้าที่ จากนั้นเขาก็เดินไปกางโต๊ะไว้ที่ข้างเตาไฟในบ้าน
ตงลี่หวารับหน้าที่ในการจัดโต๊ะ หล่อนวางจานถั่วลิสง เมล็ดทานตะวัน และน้ำตาลก้อน ตามด้วยน้ำชาลงไปบนโต๊ะ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว หล่อนก็วิ่งกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเองทันที มีแขกมาร่วมฉลองวันตรุษจีนเล็กที่บ้านของหล่อนทั้งที หล่อนจะปล่อยให้ตัวเองดูซอมซ่อไม่มีชีวิตชีวาได้อย่างไร นอกจากหล่อนจะแต่งตัวเพื่อให้เกียรติแก่แขกที่มาเยือนแล้ว หล่อนก็ยังออกไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารอีกด้วย
ในตอนนี้หล่อนก็กำลังถือถุงปลาสด 1 ตัวไว้ในมือ จากนั้นหล่อนก็เดินไปซื้อไส้กรอกมาอีก 1 ชิ้น อีกทั้งหล่อนก็ยังตัดสินใจซื้อเนื้อหมักกลับไปที่บ้านอีกด้วย
เซี่ยหลี่ห้าวกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนอนของตงลี่หวากับจางฉุ้ยจวิน ส่วนเช่าหวาก็นั่งแทะเมล็ดทานตะวันอยู่บนเตียงอุ่นข้างกายจางฉุ้ยจวินอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับถามเรื่องจิปาถะทั่วไปกับเซี่ยหลี่ห้าวไปด้วย
จางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวากำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว และใบหน้าของตงลี่หวาในตอนนี้มันก็แสดงออกมาถึงความไม่พอใจจากทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจน
“พวกเขาดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของลูก บุญคุณยิ่งใหญ่ ทนแทนอย่างไรก็คงจะไม่หมด โชคชะตานำพาพวกเขาให้กลายมาเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของลูก นั่นก็แสดงว่าสวรรค์ได้ขีดเส้นโชคชะตาชีวิตให้ลูกแล้ว” ตงลี่หวาเป็นผู้หญิงที่ยึดมั่นในเรื่องของมารยาทประเพณีเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าหล่อนจะรังเกียจการกระทำของเช่าหวามากแค่ไหน แต่หล่อนก็ไม่อยากให้จางฉุ้ยเหลียนกลายเป็นบุตรที่อกตัญญูต่อบุพการีของตัวเอง เพราะถ้ามันเป็นเช่นนั้น มันก็จะกลายเป็นตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิตของจางฉุ้ยเหลียนได้
“จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ลูกก็โตมาแล้วนะ? หลังจากที่ลูกเรียนจบแล้ว ลูกก็ต้องแต่งงาน ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็จะต้องกลายไปเป็นสะใภ้ของครอบครัวอื่น ถ้ามีลูกชาย เขาก็ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่า เพราะอย่างนั้นลูกก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรอีกแล้ว และอีก 2 ปีต่อจากนี้ ถึงแม้ว่าลูกจะต้องพบเจอกับเรื่องที่ยากลำบากหรือเรื่องที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ลูกก็ต้องอดทนและผ่านมันไปให้ได้”
จางฉุ้ยเหลียนคิดขึ้นมาในใจว่า ที่ตงลี่หวาพูดออกมาแบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะหล่อนไม่เคยเห็นธาตุแท้ของพวกเขาต่างหาก ทุกคนในบ้านของเธอต่างก็เป็นเหมือนแผ่นติดตราเสืออย่างไรอย่างนั้น ที่เกาะติดเหนียวแน่น ถึงแม้ว่าจะสลัดมันให้ออกไปแทบตายอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะสลัดมันออกไปได้ ถ้าตัวเธอนั้นไม่มีความสามารถอะไร พวกเขาก็จะไม่สนใจใยดี แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พวกเขาเห็นถึงความสามารถของเธอ พวกเขาก็จะรีบใช้เข็มขัดหนังมารัดเธอไว้ทันที
ในเวลานี้จางฉุ้ยเหลียนก็กำลังทำปลาน้ำแดง ไก่ตุ๋นเห็ด เต้าหู้ตุ๋นกะหล่ำปลี หมูนึ่ง สลัดผักเย็น บวกกับไส้กรอกและเนื้อหมักที่ตงลี่หวาซื้อมาจากตลาดก่อนหน้านี้ อาหารทั้งหมดในตอนนี้ก็รวมกันได้ 8 อย่างพอดี ถึงแม้ว่าจะมีอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่าง แต่ปริมาณของมันก็เยอะพอสำหรับคนในบ้าน คนในยุคสมัยนี้เมื่อถึงวันฉลองปีใหม่พวกเขาก็จะได้กินเพียงแค่เกี๊ยวเพียงเท่านั้น และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้กินอาหารดี ๆ แบบนี้
อาหารทั้ง 8 อย่างถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เมื่อเซี่ยหลี่ห้าวและจางฉุ้ยจวินเห็นอาหารมากมายน่ากินเหล่านี้ดวงตาของพวกเขาก็เบิกโพลงขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นเต้น เพราะเท่าที่พวกเขาจำความได้ พวกเขาก็ไม่เคยได้กินอาหารที่อุดมสมบูรณ์มากมายแบบนี้ในวันฉลองปีใหม่มาก่อนเลย อาหารมากมายแบบนี้ก็จะเห็นได้ตามงานแต่งงานเท่านั้น พอได้เห็นอาหารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะในตอนนี้ พวกเขาก็รู้สึกอยากอาหารจนน้ำลายไหลย้อนออกมาจากปากแล้ว
หลังจากที่เช่าหวาทานอาหารไปได้สองสามคำ หล่อนก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าชีวิตความเป็นอยู่ของตระกูลเซี่ยจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะเวลาที่มีแขกมาเยี่ยมที่บ้านของพวกเขา พวกเขาก็มักจะทำอาหารที่ ‘หรูหราฟู่ฟ่า’ แบบนี้ทุกครั้ง มิน่าล่ะจางฉุ้ยเหลียนถึงได้ชอบมาอยู่กับพวกเขานัก
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมา อีกทั้งคนในตระกูลเซี่ยทั้งสามก็เอาแต่ก้มตาก้มตากินข้าว โดยที่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน ถึงแม้ว่าในระหว่างที่กินข้าวจะมีบางคนเอ่ยปากพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถทำลายบรรยากาศที่เย็นยะเยือกนี้ได้เลย หลังจากที่กินอาหารและดื่มเหล้าจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ทุกคนต่างก็พากันนั่งเงียบอยู่บนโต๊ะอาหารต่อโดยที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
ในขณะที่เช่าหวากำลังแสร้งทำเป็นเอ่ยปากพูดชื่นชมสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยอยู่นั้น จู่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็โพล่งออกไปอย่างไม่ไว้หน้าผู้เป็นแม่ว่า “พ่อคะ แม่คะ พ่อกับแม่ไม่มีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดจริง ๆ หรือ ? ”
เมื่อได้ยินคำถามของลูกสาว จางกว่างฝูก็หน้าเสียลงไปทันที แต่ไม่นานเขาก็คลี่ยิ้มออกมาและพูดขึ้นว่า “เด็กคนนี้นี่ ? เราจะมีเรื่องอะไรได้ยังไงล่ะ ? ก็แกไม่ยอมกลับไปที่บ้าน พวกเราก็เลยมาฉลองปีใหม่กับแกที่นี่ไง แล้วเรามาฉลองกับแกไม่ได้เลยรึไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ได้สิคะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ตอนนี้หนูก็อิ่มแล้วและหนูก็ง่วงมากด้วย เพราะอย่างนั้นหนูขอตัวไปนอนก่อนนะคะ!” จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปพร้อมกับลุกขึ้นยืน จากนั้นเธอก็เดินออกไปจากโต๊ะอาหารอย่างที่เธอพูดจริง ๆ
แต่ในตอนที่เธอกำลังจะเดินออกไปนั้น เช่าหวาก็ได้เอ่ยปากรั้งเธอเอาไว้เสียก่อน “นังเด็กโง่นี่ แกจะไม่อยู่คุยกับพ่อแม่ของแกเลยรึไง ? ทำไม แกไม่สนใจพ่อแม่จน ๆ อย่างพวกเราแล้วใช่ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับพูดออกไปว่า “แม่คะ แม่คงไม่ได้อยากจะมาชวนหนูทะเลาะหรอกใช่ไหม ? หนูไม่เชื่อว่าพ่อกับแม่จะแค่มากินเลี้ยงฉลองปีใหม่เท่านั้นหรอกนะ !แล้วอีกอย่างที่หนูไม่กลับไปที่บ้าน พ่อกับแม่ก็รู้ไม่ใช่หรือว่าหนูโกรธพ่อกับแม่อยู่ อ้อ แต่หนูก็ลืมไปว่าพ่อกับแม่เป็นคนขี้ลืม แต่ก็ขอโทษด้วยนะคะ พอดีว่าหนูเป็นคนที่มีความจำเป็นเลิศ”
เมื่อเช่าหวาเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาอย่างไม่ไว้หน้าหล่อน หล่อนจึงไม่ได้สนใจที่จะแสดงละครเป็นแม่ที่รักลูกอีกต่อไป เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงได้พูดออกไปว่า “ฉันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรสักหน่อย ฉันก็แค่จะมาบอกข่าวดีกับแกว่าคู่ดูตัวที่มาดูตัวแกที่บ้านเมื่อครั้งที่แล้ว ตอนนี้เขาชอบแกแล้ว แล้วอีกอย่างเมื่อสองวันก่อนเขาก็ยังเอาของขวัญไปให้เราที่บ้านด้วย ฉันกับพ่อของแกรู้นิสัยที่เย่อหยิ่งของแกดี ฉันก็เลยยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจอะไร ก็เลยรีบพากันมาปรึกษากับแกก่อนนี่ไง !”
จางฉุ้ยเหลียนนึกไม่ถึงเลยว่ามันจะมีเรื่องเกิดขึ้นจริง ๆ และในตอนนี้คิ้วทั้งสองข้างของเธอก็ขมวดเข้าหากันแน่น เธอหย่อนก้นนั่งลงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมที่เธอนั่งก่อนหน้านี้อย่างช้า ๆ เธอรู้จักนิสัยของเช่าหวาดีว่า หล่อนจะต้องรับสิ่งของเหล่านั้นที่ฟู่ซินเอามาฝากหล่อนอย่างแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงจะไม่ถ่อกันมาหาเธอถึงที่นี่หรอก
“ฟู่ซินไปที่บ้านของพวกเธออย่างนั้นหรือ ? ” ตงลี่หวาขมวดคิ้วพร้อมกับถามออกไปด้วยความประหลาดใจ
และทันทีที่จางกว่างฝูได้ยินคำถามนี้จากตงลี่หวา เขาก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ตงลี่หวารู้จักฟู่ซิน เขาจึงได้เอ่ยปากถามออกไปด้วยความสงสัยว่า “พวกเธอรู้จักกับฟู่ซินด้วยหรือ ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยจวินก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอีกต่อไป เขาสูบบุหรี่และพ่นขวัญบุหรี่นั้นออกมาพร้อมกับทอนถอนหายใจ “เด็กหนุ่มฟู่ซินคนนี้มาบ้านเราหลายครั้งแล้ว เขาอ้างว่าเอารถมาซ่อม แต่ความจริงแล้วเขามีจุดประสงค์อื่นต่างหากล่ะ”
“บ้านของเขายังมีรถคันอื่นด้วยอย่างนั้นหรือ ? เขาเอารถอะไรมาซ่อมล่ะ ? ” เมื่อเช่าหวาได้ยินว่าฟู่ซินเอารถมาซ่อมที่ร้านของเซี่ยจวิน ดวงตาของหล่อนก็เปล่งประกายวูบวาบด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาทันที
แต่ยังไม่ได้ที่หล่อนจะได้ถามอะไรต่อ จางฉุ้ยจวินก็พุดลุกขึ้น จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “เขาเอารถยนต์มาซ่อมหรือ ? บ้านของเขามีเงินมากขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ ? ”
เซี่ยจวินส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “ก็แค่รถสามล้อน่ะ ไม่ใช่รถดีอะไรหรอก”
“ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่รถสามล้อ แต่ราคาของมันก็ไม่ใช่ว่าจะถูก ๆ เลยนะ !”เมื่อพูดจบจางกว่างฝูก็กระดกเหล้าเข้าปากด้วยความดีใจ และใบหน้าที่แดงซ่านของเขาก็เหมือนกับความสามารถของเขาอย่างไรอย่างนั้น
“เด็กคนนี้นี่มันใจถึงมากจริง ๆ ดูท่าแล้วเขาคงจะตกหลุมรักแกเข้าแล้วล่ะ ฉุ้ยเหลียน นี่มันเคือความสุขของแกเลยนะ เขาบอกว่าเขาจะให้ค่าสินสอดทองหมั้นกับแกตั้ง 8,000 หยวน แล้วแกคิดว่าที่เขาให้ค่าสินสอดทองหมั้นมากมายขนาดนี้ เขาจะเห็นถึงความสำคัญของแกมากขนาดไหนล่ะ ถ้าแกแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้บ้านของเขา แกจะต้องสบายอย่างแน่นอน !” เช่าหวาที่กำลังตื่นเต้นดีใจที่จะได้เงินสินสอดมากมายเหล่านั้น หล่อนก็หลุดปากพูดเรื่องทุกอย่างออกมาจนหมด เมื่อได้ยินภรรยาของตัวเองพูดเรื่องสินสอดออกมา จางกว่างฝูก็หันไปถลึงตาใส่เช่าหวาในทันที เมื่อเห็นว่าสามีถลึงตาใส่ เช่าหวาจึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นไม่ชอบให้หล่อนพูดถึงเรื่องสินสอดทองหมั้นเป็นที่สุด
“8,000 หยวน ? ” จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วในทันที จากนั้นเธอก็ถามออกไปอีกว่า “พวกเขาบ้าไปแล้วงั้นหรือ ? ” ในชาติที่แล้วตอนที่กู้จื้อเฉิงแต่งงานกับเธอ ถ้าเขาไม่บาดเจ็บสาหัสจนเดินไม่ได้แบบนั้น เขาก็คงจะไม่ยอมจ่ายเงินค่าสินสอดให้เธอถึง 4,000 หยวนแน่ ๆ
ตระกูลของฟู่ซินมีฐานะร่ำรวยขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ พวกเขาถึงได้ตอบตกลงที่จะจ่ายค่าสินสอนทองหมั้นให้กับเธอตั้ง 8,000 หยวน เมื่อคิดได้ดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็คิดได้ว่าในตอนนี้กู้จื้อเฉิงได้รับยศทหารสามแถบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้เงินเดือนของเขาก็จะปรับขึ้นเป็นเดือนละร้อยกว่าหยวน ถ้าเขาเก็บเงินอย่างต่อเนื่อง 1 ปี เขาก็จะเก็บได้เพียงแค่พันกว่าหยวนเท่านั้น ถ้าเอามารวมกับเงินที่อยู่ในสมุดบัญชีเงินฝากของเขามันก็จะเพิ่มขึ้นมาได้อีกนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็จะได้สักกี่หยวนกันเชียว ?
ตระกูลของฟู่ซินเสนอเงินค่าสินสอดทองหมั้นให้กับเธอ 8,000 หยวนอย่างนั้นหรือ ถ้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง ใครเขาจะเชื่อกันล่ะ ? เชื่อก็บ้าแล้ว !
“เงินจำนวนนี้มันมากเกินไปหน่อยรึเปล่า หนูว่าเขาไม่น่าจะพูดเรื่องจริงนะ ใครเขาจะให้เงินค่าสินสอดมากมายขนาดนี้กันล่ะ เขาขี้โม้รึเปล่า ? ” ตงลี่หวาก็คิดเหมือนกันกับจางฉุ้ยเหลียน หล่อนไม่มีทางเชื่อเลยว่าตระกูฟู่จะมีเงินมีทองและร่ำรวยได้มากขนาดนี้
“ขี้โม้อะไรกัน !” เมื่อได้ยินคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน เช่าหวาก็ถึงไม่พอใจขึ้นมาในทันที จากนั้นหล่อนก็พูดแทนฟู่ซินออกไปเสียงแหลมว่า “ตระกูลฟู่ร่ำรวยมีเงินมีทอง บ้านของพวกเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงงานผลิดน้ำมันพืชแล้วก็ผลิตเส้นบะหมี่ แกรู้ไหมว่าเดือน ๆ หนึ่งพวกเขาทำเงินได้เท่าไหร่ ? และดูท่าแล้วพวกเขาน่าก็จะชอบแกที่เป็นคนมีการศึกษา ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงจะไม่ทุ่มเงินค่าสินสอดมากมายขนาดนี้หรอก ? ”
เซี่ยวจวินขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไปสู่ขอใครก็ได้เพราะมีเงินน่ะสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เช่าหวาก็ถึงกับหลุดขำออกมาทันทีราวกับว่าหล่อนได้ยินเรื่องที่น่าขบขันอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นหล่อนก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงถากถาง พร้อมกับแสดงสีหน้าดูถูก “งั้นจะต้องสู่ขอแบบไหนล่ะ ? ถ้าไม่แต่งงานกับคนรวย แล้วจะให้แต่งงานกับคนจนอย่างนั้นหรือ ? ฉันว่าที่พวกเขาให้สินสอดเรามากมายขนาดนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่รึไง”
จางกว่างฝูก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ตระกูลฟู่ก็ไม่เลวเลยนะ ถ้าไม่อย่างนั้นแม่ของแกก็คงจะไม่ให้แกแต่งงานกับเขาหรอก ขนาดว่าวันนั้นที่แกแต่งตัวซกมกแบบนั้น เขาก็ยังไม่ว่าอะไรแกเลย สองวันต่อมาเขาก็ยังเอาของขวัญมาให้พวกเราที่บ้านอีกต่างหาก แล้วแกว่าเขาจะไม่ชอบแกอย่างนั้นหรือ เพราะอย่างนั้นแล้วเราจะไม่เลือกเขาได้อย่างไรกันล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้มีความประทับใจในตัวฟู่ซินเลยแม้แต่น้อย บวกกับในชาติที่แล้วแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอก็ยังขายเธอออกไปเพื่อหวังอยากจะได้เงินค่าสินสอดทองหมั้นอีกต่างหาก ภาพต่าง ๆ จากเหตุการณ์ที่เธอไม่ได้รับความเป็นธรรมมันก็หลั่งไหลกันเข้ามาในหัวสมองของเธอ สุดท้ายเธอจึงได้ตะโกนออกไปเสียงดังว่า “เงิน เงิน เงิน ในหัวของพ่อกับแม่มันมีแต่เรื่องเงินเท่านั้นน่ะหรือ หนูไม่แต่ง พ่อกับแม่จะทำอะไรได้ !”
จางกว่างฝูร้อนใจขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ชี้หน้าด่าจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “ทำไมแกถึงไม่รู้จักที่จะรับสิ่งดี ๆ เหล่านี้เอาไว้ หา ? แกทำอย่างกับว่าจะมีใครเอาเปรียบแกอย่างนั้นแหละ !”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “พ่อกับแม่ไม่คิดบ้างเลยหรือว่า ทำไมเขาถึงให้เงินค่าสินสอดกับเราได้มากมายขนาดนี้ ? ถ้าเขาเป็นคนไม่ดีล่ะ ? แม่บอกว่าพวกเขาอยากจะได้หลานเพื่อมาสืบทอดวงศ์ตระกูล ? แล้วถ้าหนูให้กำเนิดหลานชายให้พวกเขาไม่ได้ล่ะ จะทำอย่างไร ? ”
เช่าหวาตบมือลงไปบนโต๊ะอย่างแรง “ทำไมแกจะให้กำเนิดไม่ได้ ? ถ้าแกให้กำเนิดลูกชายไม่ได้ แกก็มีลูกเพิ่มอีกสักคนสองคนสิ เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ในโรงพยาบาลก็มีเทคโนโลยีที่สามารถดูเพศของลูกได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว ถ้าแกท้องลูกสาว แกก็แค่เอาออกก็จบแล้วนี่ !”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มเหยียดออกมา “งั้นสุขภาพร่างกายของหนูมันก็ไม่สำคัญเลยใช่ไหม ? แล้วถ้าเขาติดเหล้า ติดการพนันล่ะ ? แล้วถ้าเขามีนิสัยชอบลงไม้ลงมือตบตีภรรยามันจะเป็นอย่างไร ? พ่อกับแม่ก็ไม่คิดที่จะสนใจหนูเลยงั้นสิ ? ถ้าถึงตอนนั้นเขาซื้อตัวหนูไปด้วยจำนวนเงิน 8,000 หยวนแล้ว พ่อกับแม่ก็จะไม่สนใจหนูอีกแล้วใช่ไหม ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางกว่างฝูก็ตะโกนออกไปเสียงดังด้วยความโมโหว่า “ทำไมพวกฉันจะไม่สนใจแกล่ะ ? แกคิดว่าพวกเราจะนั่งทนดูเขาตบตีแกได้อย่างนั้นหรือ ? แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาตบตีแก ? ”
ถึงแม้ว่าจะได้ยินคำพูดที่แสดงออกมาถึงการปกป้องของผู้เป็นพ่อ แต่จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย เพราะมันก็เป็นแค่เพียงลมปากของเขาเพียงเท่านั้น พอถึงตอนนั้นพ่อกับแม่ของเธอก็คงจะปล่อยให้เธอตายทั้งเป็น สุดท้ายก็ซ้ำเติมเธอด้วยการรีดไถเงินจากเธอเพียงเท่านั้น
“พวกเขาให้เงินสินสอดเรามากขนาดนั้น เราก็คงจะไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นเป็นสินเดิมให้กับฝ่ายเจ้าสาวหรอก !” ตงลี่หวาดึงชายเสื้อของจางฉุ้ยเหลียนเบา ๆ เพื่อบอกเป็นนัย ๆ ว่าเธอไม่ต้องกังวล จากนั้นหล่อนก็หันไปพูดกับเช่าหวาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เธอจะให้สินเดิมกับลูกสาวเท่าไหร่ล่ะ ? เราต้องปรึกษาหารือเรื่องนี้กันนะ เพราะอย่างน้อยเราก็ต้องให้สินเดิมกับจางฉุ้ยเหลียนประมาณ 6,000 หยวน !”
จางฉุ้ยเหลียนอึ้งงันไปในทันที แต่สุดท้ายเธอก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าเสมอ ดูสิว่าครั้งนี้เช่าหวาจะพูดยังไง
MANGA DISCUSSION