ตอนที่ 82 ขออาศัยด้วย
จางกว่างฝูอึ้งงันไปในทันที จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “พี่เขย ? พี่เขยคนไหนของแก ? ”
“เสี่ยวซินไง!” เช่าหวาเรียกขานชื่อของฟู่ซินออกมาอย่างคุ้นเคย จากนั้นหล่อนพูดออกมาด้วยสีหน้ายินดีต่อไปอีกว่า “ก็คู่ดูตัวที่ฉุ้ยเหลียนไม่ยอมแต่งงานด้วยคนนั้นไง ต่อไปเราก็ไม่ต้องไปหาคู่ดูตัวคนใหม่มาให้เธอแล้วนะ ฉันว่าเสี่ยวซินนี่แหละที่จะเหมาะสมกับเธอ หน้าตาก็ดี การวางตัวก็เหมาะสม แล้วอีกอย่างของพวกนี้ก็เป็นของที่เด็กคนนั้นซื้อมาฝากเรา”
จางฉุ้ยจวินบุ้ยปากพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงัก “ผมก็ว่าพี่ชายคนดีมากเลย ไม่ขี้เหนียว แถมยังใจกว้างอีกต่างหาก!”
จางกว่างฝูชี้ไปที่ถุงของมากมายที่วางอยู่บนพื้นและเสื้อผ้าสองตัวที่วางอยู่บนเตียง จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยความดีใจว่า “นี่เป็นของที่เจ้าเด็กหนุ่มตระกูลฟู่เอามาให้เราอย่างนั้นหรือ ? ”
“ก็ใช่น่ะสิ! ” เมื่อพูดจบเช่าหวาก็ลงจากเตียงพร้อมกับหยิบเสื้อโค้ชตัวนอกสีดำตัวหนึ่งขึ้นมา จากนั้นหล่อนก็เดินเอามันไปสวมให้กับจางกว่างฝูด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ “วิสัยทัศน์ของเขากว้างไกลมากจริง ๆ อีกทั้งยังรู้จักวางตัวได้ดีอีกด้วย ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น พวกเขาก็คงจะส่งไก่ตัวยาวเท่าศอก 2 ตัวมาให้เราในวันปีใหม่ แต่ของแบบนั้นใครจะไม่เคยกินบ้างล่ะ กลืนลงไปในท้องก็หมดแล้ว อีกอย่างเราก็ยังเอาไปคุยโม้โอ้อวดกับคนอื่นไม่ได้ด้วย มันก็ต้องส่งเสื้อผ้าแบบนี้มาให้เป็นของขวัญสิ คนอื่นจะได้เห็นกันชัด ๆ ไปเลย ว่าใครเหนือกว่าใคร! ”
จางกว่างฝูใส่เสื้อตัวใหม่จากนั้นเขาก็ไปยืนส่องเงาของตัวเองอยู่หน้ากระจก ยิ่งเขามองเงาตัวเองในกระจกตอนนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นเศรษฐีวัยหนุ่มอย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อเขานึกไปถึงจางฉุ้ยเหลียน เขาก็อดที่จะพูดขึ้นมาด้วยความกังวลไม่ได้ว่า “ถึงแม้ว่าเราจะยินยอมพร้อมใจให้เด็กหนุ่มคนนั้นมาเป็นลูกเขย แต่ถ้านังเด็กบ้านั่นไม่ยินยอมล่ะ เราจะทำยังไง ? ”
เช่าหวาไม่เชื่อว่าจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ยินยอม เพราะอย่างนั้นเมื่อหล่อนได้ยินคำพูดของสามี หล่อนจึงได้หัวเราะออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่น่าขบขันมากอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปเสียงสูงว่า “ไอ้หยา เธอจะไม่ยินยอมได้ยังไงกัน ? ฟู่ซินซื้อของดี ๆ ให้เราได้มากมายขนาดนี้ แล้วเธอก็ยังจะกลัวว่าเขาจะเลี้ยงดูเธอไม่ได้อีกอย่างนั้นหรือ ? ถึงแม้ว่าเธอจะหัวรั้น แต่ก็ไม่ถึงขนาดสมองฝ่อคิดไม่ได้หรอกมั้ง ? ”
จางฉุ้ยจวินก็คิดเหมือนกับแม่ของเขา จางฉุ้ยเหลียนคงจะไม่โง่ถึงขนาดที่จะคิดไม่ได้หรอก เมื่อเขาคิดเพ้อฝันไปถึงตอนที่ฟู่ซินซื้อมอเตอร์ไซค์คันใหม่แบบนั้นมาให้เขา เขาก็รู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะอดใจไม่ไหวแล้ว จนสุดท้ายเขาก็เงยหน้าไปถามเช่าหวาว่า “แม่ แม่เห็นมอเตอร์ไซค์ของพี่เขยของผมไหม โคตรเท่เลย ใหม่เอี่ยมอ่องทั้งคัน!”
เช่าหวามองไปทางจางฉุ้ยจวินด้วยความเอ็นดู จากนั้นหล่อนก็พูดให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะกับเขาออกไปว่า “แกวางใจได้เลย รอให้จางฉุ้ยเหลียนแต่งงานเข้าไปเป็นสะใภ้บ้านนั้นก่อน แม่จะให้แกขับมอเตอร์ไซค์พี่เขยของแกทุกวันเลย ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จางฉุ้ยจวินก็ดีใจกระโดดโลดเต้นขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ถามแม่ของเขาออกไปเพื่อความมั่นใจอีกครั้งว่า “จริงใช่ไหมแม่ ? ถ้าผมได้ขับมันทุกวันมันก็คงจะรู้สึกดีมากแน่ ๆ และผมก็จะไม่มีวันลืมความรู้สึกดี ๆ นั่นแน่นอน”
เช่าหวาและจางฉุ้ยจวินต่างก็เพ้อฝันถึงชีวิตที่แสนวิเศษในอนาคต ส่วนจางกว่างฝูก็หยิบถุงเหล่านั้นขึ้นมาดูอีกรอบ แต่ไม่นานเขาก็ขมวดคิ้วและถามขึ้นด้วยความอยากรู้ว่า “ทำไมถึงมีแค่ของของเราสามคนล่ะ ทำไมมันถึงไม่มีของฉุ้ยเหลียนเลยสักชิ้น ? แล้วเด็กหนุ่มตระกูลกู้จะซื้อของขวัญอะไรให้ฉุ้ยเหลียนล่ะ ? ”
และในตอนนั้นเองจางฉุ้ยจวินก็รีบชิงตอบออกไปก่อนว่า “เขาไม่ได้ซื้ออะไรมาให้พี่ เพราะอย่างนั้นแม่ก็เลยคิดว่าเขาต้องให้เงินเป็นของขวัญปีใหม่พี่อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าเขาเตรียมเงินไว้เท่าไหร่ แต่มันก็น่าจะมากกว่า 200 หยวนแน่ ๆ!” พอพูดจบจางฉุ้ยจวินก็แสดงสีหน้าเสียดายออกมา เขาคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นโง่ไม่มีสมองที่ไม่ได้ยอมอยู่บ้านในตอนนี้ไม่อย่างนั้นตอนนี้เธอก็คงจะได้เงินนั่นไปแล้ว
ทางด้านเช่าหวาตอนนี้หล่อนก็แสดงสีหน้าเสียดายออกมาเช่นเดียวกัน หล่อนตบมือลงไปบนหน้าขาของตัวเองและพูดออกไปด้วยความเสียดายไม่น้อยว่า “ถ้าก่อนหน้านี้ฉันรู้ว่าเขาจะเอาเงินมาให้ฉุ้ยเหลียนล่ะก็ ฉันก็คงจะรับเงินนั่นเอาไว้แทนเธอแล้ว ไอ้หยา เราเสียโอกาสที่จะได้เงิน 200 หยวนนั่นมา มันน่าเสียดายจริง ๆ ”
จางกว่างฝูถอดเสื้อตัวใหม่ที่เขากำลังสวมอยู่ออกอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก จากนั้นเขาก็ลูบมือลงไปบนเนื้อผ้าของเสื้อตัวนั้นและพูดขึ้นว่า “เธอไม่ต้องรู้สึกเสียดายหรอก เพราะไม่ช้าก็เร็วยังไง ๆ เงินของเขาก็ต้องตกมาเป็นของเราอยู่แล้ว สองวันหลังจากนี้เธอก็นึ่งซาลาเปาและเป็ดอีก 2 ตัวไปให้ตระกูลฟู่ซะ เราจะไม่ตอบแทนอะไรเขาเลยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะดูถูกเราได้ ”
เช่าหวาพยักหน้าตอบรับ จากนั้นหล่อนก็คลี่ยิ้มออกมาและพูดออกไปว่า “ได้! ฉันจะพาเสี่ยวจวินไปด้วย พวกเขาจะต้องชวนพวกเราสองแม่ลูกกินข้าวอย่างแน่นอน ถ้าพวกเราสองแม่ลูกได้กินข้าวที่บ้านของพวกเขา ฉันสัญญาเลยว่าฉันจะเอาของอร่อย ๆ พวกนั้นกลับมาด้วย!”
ในขณะที่เช่าหวาพาจางฉุ้ยจวินไปบ้านตระกูลฟู่เพื่อเอาของขวัญวันปีใหม่ไปมอบให้พวกเขาอยู่นั้น จางฉุ้ยเหลียนและสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยก็ได้กลับมาไหว้สุสานบรรพบุรุษที่บ้านพอดี
นี่เป็นวันปีใหม่แรกที่บ้านตระกูลเซี่ยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง พวกเขาสองสามีภรรยาตั้งใจว่าจะย้ายเข้ามาปักหลักอยู่ในเมือง เพราะถึงอย่างไรพ่อกับแม่ของพวกเขาทั้งสองก็จากโลกนี้ไปนานแล้ว อีกทั้งวันปีใหม่เมื่อปีที่แล้วก็เกิดปัญหาภายในครอบครัวเพราะเรื่องเงิน หลังจากที่ครุ่นคิดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาจึงตัดสินใจว่าพวกเขาจะไปไหว้สุสานบรรพบุรุษตระกูลเซี่ยในวันปีใหม่ และจะไปไหว้สุสานบรรพบุรุษตระกูลตงในวันเช็งเม้ง
ในวันที่ 22 ตามปฏิทินจันทรคติ จางฉุ้ยเหลียนก็ได้ตามสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยกลับไปที่บ้านเก่าของพวกเขาในเมืองหลินโค่ว หลังจากที่ลงจากรถโดยสารประจำทางแล้ว เธอก็เจอกับพี่ใหญ่ น้องสี่และน้องห้าของตระกูลเซี่ย ตงลี่หวาและจางฉุ้ยเหลียนต่างก็ไม่เห็นว่าจะมีญาติพี่น้องที่เป็นผู้หญิงอยู่ในที่นี้ด้วยเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นพวกเธอจึงปลีกตัวและเดินกลับไปที่บ้านของตัวเองอย่างเงียบ ๆ เซี่ยจวินปั่นจักรยานตามพี่น้องคนอื่น ๆ ไปยังสุสานของบรรพบุรุษ และเขาก็คาดว่าพี่น้องตระกูลเซี่ยก็น่าจะมีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดคุยกัน
จางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวาช่วยกันทำความสะอาดเก็บนั่นเก็บนี่อยู่ภายในบ้าน ด้วยความที่บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มาหลายเดือนแล้ว นั่นจึงส่งผลให้บ้านหลังนี้มีกลิ่นเหม็นอับตลบอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน อีกทั้งยังมีฝุ่นคละคลุ้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมของบ้านอีกด้วย
“ไม่รู้ว่าตอนเที่ยงนี้เราจะต้องไปกินข้าวที่ไหน แต่เท่าที่ดู เราน่าจะได้ไปกินข้างที่บ้านของคุณอาสี่นะลูก เพราะบ้านของคุณใหญ่ก็ไกลเกินไป!” ตงลี่หวาพูดขึ้นมาอย่างทอดถอนใจพร้อมกับกวาดพื้นไปด้วย ส่วนจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่เธอก็อมยิ้มออกมา ก่อนที่เธอจะพูดออกไปว่า “เราไปกินข้าวที่บ้านของคุณอาสี่ไม่ได้หรือคะ ? ”
ตงลี่หวากลอกตาไปมาเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว “ลูกก็รู้ว่าน้าสะใภ้ของลูกเป็นคนยังไง หล่อนไม่ยอมถูกคนอื่นเอาเปรียบอย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นหล่อนจะให้พวกเราไปกินข้าวที่บ้านของหล่อนอย่างนั้นหรือ ? เหอะ ! ขนาดว่าแม่กับหล่อนเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กันมานานมากกว่า 10 ปี แต่แม่ก็ยังไม่เคยเห็นอาหารที่บ้านของหล่อนมาก่อนเลย!”
จางฉุ้ยเหลียนแสยะยิ้มออกมา เธอคิดว่านิสัยและธาตุแท้จริง ๆ ของหลี่หงก็เป็นอย่างนี้แหละ และในขณะที่สองแม่ลูกกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น พวกเธอก็ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าบ้าน เมื่อได้ยินเสียงนั้น พวกเธอทั้งสองคนต่างก็หันมามองหน้ากันทันที และต่างพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าคนที่มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเธอเป็นใคร และก็เป็นอย่างที่พวกเธอคาดคิดเอาไว้จริง ๆ ว่าคนที่มาเคาะประตูหน้าบ้านของพวกเธอคือหลี่หง หล่อนสวมเสื้อผ้าแนวตะวันตกสีฟ้าเดินเข้ามาในบ้าน การแต่งตัวของหล่อนทำให้คนที่รู้จักในเรื่องของแฟชั่นเป็นอย่างดีอย่างจางฉุ้ยเหลียนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย และการแต่งการตัวที่แปลกประหลาดของหล่อนก็ทำให้ตงลี่หวาตื่นตระหนกตกใจมากทีเดียว
และในตอนนั้นเองตัวอักษรสองพยางค์คำว่า “โง่เขลา” ก็ได้ปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของพวกเธอทั้งสอง การแต่งตัวของหลี่หงในวันนี้มันดูซกมกมากจริง ๆ เดิมทีหล่อนก็เป็นคนที่มีรูปร่างเตี้ย อ้วน ดำ และมีเส้นเลือดฝาดสีแดงเด่นชัดอยู่บนใบหน้าอยู่แล้ว พอหล่อนใส่เสื้อตัวนี้เข้าไปมันก็ยิ่งดูเหมือนว่าหล่อนใส่เสื้อสูททับเสื้อกันหนาวนวมอย่างไรอย่างนั้น
หลี่หงได้เสื้อผ้าชุดนี้มาจากญาติของหล่อน และหล่อนก็มักจะเห็นคนในเมืองชอบใส่ชุดแบบนี้ไปทำงานเสมอ ๆ เมื่อหล่อนได้ยินมาว่าวันนี้ตงลี่หวากลับมาที่บ้าน หล่อนก็เลยตั้งใจใส่ชุดนี้มาอวดสองแม่ลูก
“ไอ้หยา ทำงานบ้านกันอยู่หรือ ? พวกเธอก็ย้ายไปอยู่ในเมืองกันแล้วนี่ ทำไมถึงต้องกลับมาเก็บบ้านซอมซ่อหลังนี้ด้วยล่ะ ? ” หลังจากที่หลี่หงเห็นว่าสองแม่ลูกกำลังช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านอยู่ หล่อนจึงได้พูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นหล่อนก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้าน ก่อนจะเบะปากและพูดออกมาว่า “พี่สะใภ้สาม พี่นี่ชีวิตดีมีความสุขจังเลยนะ อยู่ ๆ ก็ได้กลายเป็นคนในเมือง วาสนาดีจริง ๆ! ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตงลี่หวาจึงได้เผยรอยยิ้มออกมา “เป็นคนในเมืองอะไรกัน ฉันก็ยังเป็นคนชนบทเหมือนเดิมนั่นแหละ เธออย่าพูดแบบนี้เลย! ”
หลี่หงมองไปทางตงลี่หวาด้วยสายตาดูถูกไม่น้อย จากนั้นหล่อนก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ก่อนจะยื่นมือออกไปคลำบนเตียง ไม่นานหล่อนก็ขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า “ไอ้หยา พี่ไม่คิดที่จะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ ? เพราะแม้แต่เตียงก็ยังไม่ทำให้อุ่นเลย ? ”
จางฉุ้ยเหลียนที่ไม่อยากจะเสวนากับหลี่หงต่อ เธอจึงเดินไปทำความสะอาดห้องน้ำในห้องนอนของตัวเอง ตงลี่หวาเองก็จนปัญญา หล่อนจึงทำได้เพียงแค่ปั้นหน้ายิ้มและรับมือกับคนอย่างหลี่หงเท่านั้น
“ไม่มีคนอยู่บ้านมาหลายเดือนแล้ว แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้มาที่บ้านเป็นปี และอีกอย่างจะฉลองวันปีใหม่ที่ไหนมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรเลย เพราะฉลองปีใหม่ที่ไหนมันก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ” ตงลี่หวาเป็นคนที่ยากจะคาดเดา เมื่อพูดจบหล่อนก็นั่งเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
หลี่หงนั้นเป็นคนที่อดทนต่อความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ได้ หลังจากที่หล่อนได้ยินคำพูดของตงลี่หวา หล่อนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที จากนั้นหล่อนก็เอ่ยปากถามออกไปว่า “พี่สะใภ้สาม พี่พูดความจริงกับฉันมาเลยดีกว่า ปีนี้พี่หาเงินได้เท่าไหร่ ? พี่หาเงินได้มากกว่าอยู่ที่นี่ใช่ไหม ? ”
ตงลี่หวาทอดถอนหายใจออกมา “งานในเมืองมันก็ต้องมีมากกว่างานในชนบทอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ไม่ว่าจะค่าน้ำ หรือค่าไฟก็แพงกว่าที่ชนบทแห่งนี้ไม่น้อยเลย เพราะอย่างนั้นจะอยู่ในเมืองหรือจะอยู่ที่นี่รายรับมันก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอกนะ! ”
หลี่หงไม่เชื่อ หล่อนจึงพูดออกไปเสียงดังว่า “ที่พี่สะใภ้สามไม่ยอมพูดความจริงกับฉัน ก็เพราะว่าพี่กลัวฉันจะยืมเงินของพี่ใช่ไหม พี่หาเงินได้เยอะก็บอกว่าหาเงินเยอะได้สิ พี่จะโกหกทำไม!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ตงลี่หวาก็พูดออกไปช้า ๆ ว่า “เธอคิดว่าพวกเราหาเงินได้เยอะ แล้วเธอยังจะถามฉันอีกทำไม ถ้าฉันบอกเธอว่าฉันยังมีหนี้ที่จะต้องจ่าย เธอจะเชื่อฉันไหม ? แล้วถ้าฉันบอกว่าตอนนี้ฉันยังหาค่าเช่าบ้านไม่ได้เลย เธอยังจะเชื่อฉันรึเปล่า ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่หงก็คิดว่าตงลี่หวาไม่ได้พูดโกหกหล่อนหรอก เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เพิ่งจะย้ายไปอยู่ในเมือง พวกเขาน่าจะยังหาเงินค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ และค่าไฟยังไม่ได้แน่ ๆ แล้วอีกอย่างพวกเขาก็คงจะยังไม่ชินกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากที่ที่พวกเขาเคยอยู่อย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว สีหน้าของหลี่หงก็ดีขึ้นมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นปากของหล่อนก็ยังไม่วายพูดสั่งสอนตงลี่หวาออกไปตรง ๆ ว่า “ถ้าพี่ทำเงินได้น้อยแล้วพี่ยังจะอยู่ในเมืองต่อไปอีกทำไมล่ะ ? พี่กลับมาอยู่ที่นี่สิ แล้วอีกอย่างในเมืองก็มีแต่กฎระเบียบข้อกฎหมายเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด”
ตงลี่หวาหัวเราะออกมา “ก็เพราะฉุ้ยเหลียนอยู่ในเมืองน่ะสิ การที่พวกเราได้อยู่ใกล้ ๆ ลูกมันก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว ถึงปีนี้รายได้จะไม่ค่อยดี แต่ถ้าเราประหยัด ใช้จ่ายแต่พอตัว มันก็จะดีขึ้นเองนั่นแหละ”
เมื่อหลี่หงเห็นว่าสองสามีภรรยาคู่นี้ปกป้องจางฉุ้ยเหลียนมากถึงเพียงนี้ หล่อนก็ยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมจางฉุ้ยเหลียนถึงได้โชคดีได้ถึงขนาดนี้กันนะ เธอมีสองสามีภรรยาคู่นี้คอยเป็นวัวเป็นม้าให้กับเธอได้อย่างไรกัน ? หรือว่านังเด็กบ้านั่นใช้เวทมนต์คาถาอะไรกันแน่ ?
หลี่หงกระพริบตาปริบ ๆ จากนั้นหล่อนก็แสร้งทำเป็นไอออกมาสองสามครั้งเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี เมื่อตงลี่หวาเห็นเช่นนั้น หล่อนก็รู้ได้ทันทีว่ามันต้องมีเรื่องอะไรตามมาอย่างแน่นอน
ตงลี่หวาขมวดคิ้ว จากนั้นหล่อนก็ถามออกไปเบา ๆ ว่า “หลี่หง เธอยังมีเรื่องอะไรอยากจะพูดอีกไหม ? ”
หลี่หงพึมพำออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักว่า “ฉันก็เป็นกังวลเรื่องลูกชายของฉันนั่นแหละ!ลูกชายของฉันไม่ได้เรื่องอะไรเลย ถ้าลูกของฉันเก่งและมีอนาคตที่ดีได้ครึ่งหนึ่งของจางฉุ้ยเหลียน ฉันก็คงจะจุดพลุฉลองไปนานแล้ว”
เมื่อตงลี่หวาได้ยินหลี่หงพูดถึงลูกชายของตัวเองออกมา หล่อนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที “เธอจะพูดเรื่องนี้ออกมาอีกทำไม ? เธอยังอยากจะยกลูกชายให้ฉันอีกอย่างนั้นหรือ ? ”
หลี่หงกลอกตาไปมา “ใครอยากจะยกลูกชายให้พี่กันเล่า ต่อให้พี่อยากจะได้ลูกชายของฉัน ฉันก็ไม่มีวันยกลูกชายของฉันให้พี่หรอกนะ ถ้าลูกชายคนโตของฉันเรียนไม่เก่ง ฉันก็จะไม่ส่งให้เขาเรียนแล้ว ฉันจะให้เขาไปเรียนที่โรงเรียนเทคนิคการช่างแทน”
ตงลี่หวาพยักหน้าอย่างเข้าใจ “อา เพราะอย่างนี้เองหรือ หลังจากผ่านปีใหม่นี้ไป เขาก็จะอายุได้ 13 ปีแล้วสินะ เธอจะไม่ให้เขาเรียนต่อมัธยมแล้วอย่างนั้นหรือ ? ”
หลี่หงพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ฉันปรึกษากับพ่อของเขาแล้วล่ะ เรียนจบมัธยมไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เสียเวลาไปตั้งหลายปี ไม่สู้เท่าให้เขาไปเรียนการช่างดีกว่า เหมือนกับพี่สาม มีฝีมือการช่างยังไงก็ไม่อดตาย”
ตงลี่หวาเข้าใจในทันที เพียงแต่ครั้งนี้หลี่หงไม่ได้พูดอะไรออกมาในทำนองขอร้องเลย เพราะอย่างนั้นตงลี่หวาจึงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ และก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ ประตูด้านหลังก็ถูกเปิดออก เซี่ยจวินและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันเดินเข้ามาในบ้าน เมื่อเซี่ยโหย๋วเห็นหลี่หงอยู่ในบ้านของพี่ชายของเขา เขาก็อึ้งงันไปในทันที จากนั้นก็เอ่ยปากถามออกไปว่า “เธอมาทำอะไรที่นี่ ? ฉันให้เธอทำอาหารอยู่ที่บ้านไม่ใช่หรือ ? ”
เมื่อหลี่หงได้ยินดังนั้น ดวงตาของหล่อนก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที “อา ? ฉันก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าฉันทำอาหารเสร็จแล้ว ? ไอ้หยา ฉันก็แค่มารอฟังข่าวเฉย ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอาล่ะ ๆ กลับบ้านกันเถอะ บ้านนี้ทั้งโล่งทั้งหนาว ตอนนี้ฉันหนาวจะแย่อยู่แล้ว! ”
หลังจากที่หลี่หงได้พูดคุยกับตงลี่หวาอยู่ครึ่งค่อนวัน อารมณ์ที่คุกกรุ่นของหล่อนก็ค่อย ๆ ดีขึ้น จางฉุ้ยเหลียนไม่เคยเห็นหลี่หงชวนตงลี่หวาไปกินข้าวที่บ้านของหล่อนมาก่อนเลย เธอจึงอดที่จะพูดถามออกไปด้วยน้ำเสียงถากถางไม่ได้ว่า “พูดเรื่องอะไรกันหรือคะ ? ถึงทำให้คุณน้าสะใภ้ใจดีกับพวกเราถึงขั้นชวนไปกินข้าวที่บ้านได้!”
คำพูดถากถางของจางฉุ้ยเหลียนนั้นก็ทำให้สีหน้าของหลี่หงไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที และมันก็ทำให้ใบหน้าของเซี่ยโหย๋วเคร่งเครียดขึ้นมาด้วยเช่นกัน เขาจ้องเขม็งไปทางภรรยาของตัวเองด้วยความโกรธ จากนั้นก็ตบไปบนไหล่ของจางฉุ้ยเหลียนและพูดออกไปว่า “น้องชายของเธอจะไปเข้าเรียนโรงเรียนเทคนิคในเมือง ต่อไปเขาจะต้องไปอยู่บ้านของพวกเธอ ถ้าเขามีปัญหาเรื่องการเรียนยังไง เธอก็ช่วยสอนเขาด้วยแล้วกันนะ!”
เมื่อตงลี่หวาได้ยินประโยคนี้ หล่อนจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา โชคดีที่พวกเขาไม่ให้ลูกของตัวเองไปทำงานที่บ้านของหล่อน แต่ถึงอย่างนั้นการที่พวกเขาส่งลูกชายมาอาศัยอยู่ที่บ้านของหล่อน หลังจากนี้มันจะต้องมีเรื่องยุ่งยากตามมาอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะยิ้มเยาะอยู่ในใจ แต่ใบหน้าของเธอกลับแสดงออกมาถึงความไม่เข้าใจ “โรงเรียนเทคนิคก็มีหอในโรงเรียนไม่ใช่หรือคะ ทำไมไม่ส่งเขาไปอยู่ในหอล่ะ ? แบบนี้เขาก็ต้องกลับไปกลับมาระหว่างโรงเรียนกับบ้านทุกวัน ถ้าวันไหนเขาเรียนจนดึก เขาจะไม่มีรถโดยสารประจำทางกลับมาที่บ้านนะคะ”
หลี่หงกลัวว่าเซี่ยจวินจะเข้าใจผิด หล่อนจึงได้รีบพูดอธิบายออกไปว่า “ไอ้หยา อยู่แต่กับเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันไปมาอยู่ในห้องเรียน เขาจะไปมีเวลาทบทวนบทเรียนได้ยังไง ไม่สู้เท่าเขากลับบ้านไปช่วยพี่สามทำงานทุกวันไม่ดีกว่าหรือ! ”
เมื่อพูดจบหล่อนก็เงยหน้าไปมองตงลี่หวา จากนั้นก็พูดออกไปเสียงดังว่า “สาขาวิชาที่ลูกชายของฉันเลือกเรียนคือซ่อมรถ เพราะอย่างนั้นเขาจะต้องช่วยงานพี่สามได้แน่นอน”
ชิ!เขาจะไม่สนใจหลานชายแท้ ๆ ของตัวเองเลยอย่างนั้นหรือ ?
MANGA DISCUSSION