ตอนที่ 79 ฟู่ซิน
เมื่อได้ยินคำพูดหยิ่งผยองของฟู่ซิน จางฉุ้ยเหลียนก็เดินออกไปจากที่ตรงนี้ในทันที โดยที่เธอเองก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก เธอบุ้ยปากและบ่นพึมพำออกมาว่า “มีประโยชน์อะไรกันล่ะ ? ”
ฟู่ซินเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับมองไปยังทิศทางที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังมองอยู่ในขณะนี้ และสิ่งที่เขาเห็นก็คือรถสามล้อกึ่งใหม่กึ่งเก่าคันหนึ่ง “เธอคิดว่ามันไม่พอหรือ ? ”
จางฉุ้ยหลียนเบะปากแสดงท่าทางดูถูกเหยียดหยามออกมาอย่างไม่ปิดบัง จากนั้นเธอก็เมินหน้าหนีไปทางอื่นและพูดขึ้นมาด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า “ฉันเป็นคนนะไม่ใช่สิ่งของ แล้วอีกอย่างการแต่งงานที่คิดแต่เรื่องได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ฉันไม่สนใจหรอก”
ฟู่ซินไม่เข้าใจในสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังพูดเลยแม้แต่น้อย แต่เขารู้สึกราวกับว่ามีแรงระเบิด ตู้ม! ขึ้นมาในใจของเขา และเขาก็รู้ว่าคำพูดง่าย ๆ ที่เธอพูดออกมานั้นมันก็เจาะจงมาที่เขา
หลายปีที่ผ่านมานี้เป็นเขาเองที่เอาแต่ปฏิเสธเรื่องการแต่งงานมาโดยตลอด ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบขนบธรรมเนียมประเพณีรูปแบบ ‘จักรพรรดิมากสนม’ หรอกนะ แต่จะมีใครบ้างล่ะที่จะไม่แนะนำคู่หมายของตัวเองด้วยการกล่าวถึงชาติตระกูล ฐานะที่ร่ำรวย และอนาคตของตัวเอง
เหล่าบรรดาผู้หญิงที่มาดูตัวกับเขาก็มักจะกล่าวถึงเรื่องพวกนี้กันทั้งนั้น พวกหล่อนต่างก็บอกว่า พ่อแม่ของพวกหล่อนนั้นทำงานอะไร แล้วครอบครัวของเขาจะให้เงินค่าสินสอดทองหมั้นกับฝ่ายหญิงเท่าไหร่ และหลังจากนี้ถ้าแต่งงานกันแล้วเขาจะให้หล่อนทำงานอะไร
และเมื่อคนทั้งสองเจอหน้ากัน ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดอะไรกัน พวกเขาก็รู้ถึงภูมิหลังของกันและกันแล้ว เขาเคยไม่พอใจกับช่วงเวลาเหล่านี้มาก่อน เพราะมันมีปัจจัยอะไรหลาย ๆ อย่างที่เขาไม่ชอบ
ฟู่ซินดึงสติของตัวเองกลับมา เขาหันไปมองพิจารณาจางฉุ้ยเหลียนอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ขนเส้นเล็กละเอียดบนใบหน้าของเธอนั้นสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนภายใต้แสดงแดดที่สาดส่อง เธอเป็นเด็กสาวที่ดูอ่อนเยาว์อีกทั้งยังอยู่ในวัยเรียน ผิวหนังนวลเนียนเกลี้ยงเกลาน่าสัมผัส ขนตาแผ่ยาวเรียงตัวสวย ดวงตากลมโต ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีส่วนไหนที่ฟู่ซินจะไม่รู้สึกชอบใจมันเลยแม้แต่น้อย
“งั้นที่เธอพูดมาทั้งหมดมันหมายความว่าอย่างไร ? เธอไม่ชอบฉันหรือว่าเธอมีคนรักอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ ? ” ฟู่ซินเอ่ยปากถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า จากนั้นเธอก็ตอบกลับเขาออกไปตรง ๆ ว่า “นายต้องเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในบ้านของฉันก่อน ฉันจะบอกความจริงกับนายนะว่า ที่แม่ของฉันวางแผนให้ฉันไปดูตัวกับนายในครั้งนี้ก็เพราะหล่อนเห็นว่าบ้านของนายมีฐานะร่ำรวย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าก่อนหน้านี้พวกเขาพูดตกลงอะไรกันไปแล้วบ้าง แต่ฉันมั่นใจว่าจำนวนเงินสินสอดที่หล่อนอยากได้มันจะต้องไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ อย่างแน่นอน และฉันก็ไม่มีสินเดิมของฝ่ายเจ้าสาวอีกด้วย !”
ฟู่ซินพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ฉันเห็นแวบแรกก็รู้แล้วล่ะว่ามันต้องเป็นแบบนี้ เพราะฉันไม่เคยเจอกับฝ่ายหญิงมาก่อน แม่ของฉันแค่บอกเงื่อนไขกับฉันก่อนหน้านี้เท่านั้น ถ้าจะพูดตามความจริงฉันก็ไม่ได้สนใจครอบครัวของเธอเท่าไหร่หรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที จากนั้นเธอก็รุดหน้าขึ้นมาและถามออกไปว่า “แล้วทำไมวันนั้นนายถึงไปดูตัวที่บ้านของฉันล่ะ ? ”
ฟู่ซินยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มและพูดออกไปว่า “เพราะฉันเห็นแก่หน้าของพวกเขาไง !แม่สื่อที่แนะนำเธอให้กับฉัน หล่อนเป็นญาติของฉันเอง แล้วอีกอย่างเหล่าบรรดาผู้อาวุโสก็ไม่ค่อยไว้หน้ากันเท่าไหร่นัก ยิ่งไปกว่านั้น ……..” ฟู่ซินหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดต่อไปอีกว่า “ฉันเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่านักศึกษาที่สวยดั่งเทพธิดาบนสรวงสวรรค์มันเป็นยังไง และมันจะคุ้มกับเงินค่าสินสอดจำนวน 8,000 หยวน ที่แม่ของเธอเรียกร้องกับครอบครัวของฉันรึเปล่า !”
จางฉุ้ยเหลียนเบิกตากว้างด้วยความตกใจในทันที “8,000 หยวน ? ”
ท่าทางที่หญิงสาวตรงหน้าแสดงออกมานั้น มันเหนือความคาดหมายของฟู่ซินมากจริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “เธอไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ หรือ ? เหอะ ! เธอนี่มันจริง ๆ เลยนะ”
เมื่อได้ยินจำนวนเงินที่เช่าหวาเรียกร้องจากครอบครัวของฟู่ซิน เธอก็เริ่มคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ในใจ ชาติที่แล้วเช่าหวาเรียกค่าสินสอดจากตระกูลกู้เพียงแค่ 4,000 หยวนเพียงเท่านั้น แต่ในชาตินี้ที่เธอได้เข้าเรียนวิทยาลัยและได้เป็นนักศึกษาราคาค่าตัวของเธอก็สูงขึ้นเป็นเท่าตัวเลยอย่างนั้นหรือ
“แต่ฉันคิดว่าเงินจำนวนนั้นมันก็ไม่ได้มากมายอะไรเลยนะ !” ฟู่ซินส่ายหน้าพร้อมกับยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง จากนั้นเขาก็เริ่มพูดโอ้อวดถึงฐานะที่ร่ำรวยของตัวเองออกมาว่า “เพราะกว่าที่ครอบครัวของเธอ จะเลี้ยงเธอจนเข้าเรียนวิทยาลัยได้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และฉันก็สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเธอได้ หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว ฉันก็จะให้การศึกษาแก่ลูก ๆ ของเรา ฉันมั่นใจว่าพวกเขาจะต้องเข้มแข็งกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน ฉันจึงคิดว่าเงินสินสอดจำนวนนี้มันก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย”
จางฉุ้ยเหลียนเลิกคิ้วและหมดคำพูดขึ้นมาทันที “นายกำลังจะบอกว่า เหตุผลที่พวกเขาเรียกร้องเงินค่าสินสอดมากมายขนาดนั้น ก็เพราะพวกเขาอยากจะเรียกร้องเงินค่าเล่าเรียนและเงินที่พวกเขาส่งเสียเลี้ยงดูฉันอย่างนั้นหรือ ? ”
ฟู่ซินพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นเขาก็แสดงท่าทางออกมาราวกับว่าเขาเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างเป็นอย่างดีอย่างไรอย่างนั้น “เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย เพราะถึงอย่างไรหลังจากที่เธอเรียนจบแล้ว เธอก็ต้องแต่งงานและเรียกค่าเงินสินสอดเพื่อนำเงินจำนวนนั้นไปคืนให้กับพ่อแม่ของเธอที่เลี้ยงดูเธอมาอย่างดี มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ !”
จางฉุ้ยเหลียนกัดฟันกรอด จากนั้นเธอก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เงินค่าเล่าเรียนตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้มันก็เป็นเงินของพ่อแม่บุญธรรมของฉันทั้งนั้น และเงินค่าเล่าเรียนวิทยาลัยของฉันในตอนนี้ มันก็เป็นเงินที่ฉันลำบากตรากตรำทำงานหามาด้วยตัวเอง พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของฉันไม่เคยให้เงินฉันเลยแม้แต่เฟินเดียว แล้วทำไมพวกเขาจะต้องได้เงินค่าสินสอดจากครอบครัวของนาย 8,000 หยวนด้วยล่ะ ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟู่ซินก็รู้สึกตื่นตกใจจนต้องอ้าปากตาค้างเลยทีเดียว จากนั้นเขาก็โพล่งออกไปว่า “แม้แต่เฟินเดียวพวกเขาก็ไม่เคยให้เธอเลยอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่อยากจะเล่าเรื่องของตัวเองให้กับคนแปลกหน้าฟังสักเท่าไหร่ เธอจึงโบกไม้โบกมือไปมาเพื่อให้เรื่องนี้มันจบ ๆ ไป “ช่างเถอะ พูดกับนายไปมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก และวันนี้ฉันก็จะพูดกับนายให้ฉันชัดเจนไปเลยว่า ฉันไม่อยากแต่งงานกับนาย ต่อให้นายจะรวยมีเงินทองมากมายกองเท่าภูเขา ฉันก็ไม่สนใจ ฉันมีมือมีเท้าฉันหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ และฉันก็ไม่อยากเกาะใครกิน อีกอย่างฉันก็ไม่อยากให้นายเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ นายไปหาผู้หญิงคนอื่นเถอะ ฉันคงแต่งงานกับนายไม่ได้หรอก ! ”
เมื่อพูดจบ จางฉุ้ยเหลียนก็หมุนตัวและเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที ฟู่ซินรีบเดินตามเธอไปเพราะเขาอยากจะคุยกับเธอให้รู้เรื่อง แต่เขากลับนึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้ว เธอจะล็อคประตูเพื่อกันไม่ให้เขาเข้าไปแบบนี้ เมื่อไม่สามารถตามเธอเข้าไปในบ้านได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่กระทืบเท้าระบายอารมณ์อยู่ที่หน้าประตูเพียงเท่านั้น
หลังจากที่ฟู่ซินกลับไปได้ไม่นานก็ถึงเวลาอาหารเย็น ตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนก็กำลังนั่งล้อมโต๊ะกินอาหารเย็นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา จางฉุ้ยเหลียนจึงถือนี้โอกาสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ให้ทุกคนได้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่เงินสินสอดทองหมั้นจำนวน 8,000 หยวนที่เช่าหวาไปเรียกร้องกับครอบครัวของฟู่ซิน
ถึงแม้ว่าในเวลานี้เซี่ยจวินจะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งขึ้นมาก แต่หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวที่จางฉุ้ยเหลียนเล่าให้ฟังแล้ว เขาก็นิ่งงันไปในทันที จากนั้นเขาก็กินข้าวต่อไปอย่างเงียบ ๆ จนหมด แต่กลับกลายเป็นตงลี่หวาที่หน้าแดงเถือกขึ้นมาด้วยความโกรธ ไม่ว่าหล่อนจะพยายามสุขุมเยือกเย็นมากเท่าไหร่ สุดท้ายหล่อนก็อดที่จะด่าทอเช่าหวาออกมาด้วยความโกรธไม่ได้
ก่อนหน้านี้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่เธอจะต้องเล่าเรื่องภายในครอบครัวของเธอให้กับสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยฟัง แต่ในตอนนี้พวกเขาก็เหมือนกับเป็นคนในครอบครัวของเธอ เธอจึงไม่ได้รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อยที่จะเล่าเรื่องภายในครอบครัวของตัวเองให้พวกเขาฟัง
ฟู่ซินขับรถสามล้อกลับบ้าน เมื่อเขากลับมาถึงบ้านแล้ว เขาก็เจอกับเหล่าบรรดาคนในครอบครัวที่กำลังนั่งรอเขาอยู่ หลังจากที่พี่สะใภ้ใหญ่ตระกูลฟู่ได้ยกอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารแล้ว หล่อนก็เดินกลับเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในครัวทันที
ฟู่ซินได้เล่าเรื่องที่เขาพบเจอมาในวันนี้ให้กับทุกคนได้ฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสินสอดจำนวน 8,000 หยวน เมื่อคุณลุงสองได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกตกใจขึ้นมาในทันที เขานึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องทุกอย่างมันจะกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้
แต่แล้วยังไงล่ะ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองนั้นเสียเปรียบอยู่ดี แม่ของฟู่ซินสูบบุหรี่พร้อมกับด่ากราดออกไปท่ามกลางควันขมุกขมัวว่า “ฉันว่าแล้วเชียวว่า ทำไมพวกเขาถึงได้กล้าบากหน้ามาเรียกร้องเงินค่าสินสอดมากมายขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะเด็กนักศึกษาคนนั้น พวกเขาจะกล้าเรียกร้องเงินมากมายเหล่านั้นได้หรือ เหอะ ! นี่มันเกินไปแล้วจริง ๆ เงิน 8,000 หยวนเลยนะ เงินนะไม่ใช่เหรียญทองที่จะหากันได้ง่าย ๆ ที่แท้พวกนั้นก็คิดที่จะจับเสือมือเปล่านี่เอง หัวหมอคิดจะหลอกคนอย่างผูชูเฟินที่เก่งกาจได้อย่างนั้นหรือ !”
ฟู่ซินขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด ไม่มีอะไรที่จะสามารถมาหยุดยั้งคำหยาบคายของแม่เขาได้เลยจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมิวายพูดแก้ต่างให้จางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “ผมว่าเด็กสาวคนนั้นไม่น่าจะเป็นพวกเดียวกับพวกเขาหรอกครับ ไม่อย่างนั้นตอนที่ผมไปที่บ้านของพวกเขา หล่อนก็คงจะไม่ตั้งใจแต่งตัวให้ดูสกปรกซอมซ่อแบบนั้นออกมาเจอผมหรอก !”
แต่ในเวลานี้ผูชูเฟินที่ยังมีคงมีอารมณ์โกรธอยู่ ต่อให้มีคนพูดโน้มน้าวอย่างไรหล่อนก็ไม่สนใจ เพราะถึงอย่างไรก็มีเด็กสาวมากมายที่กำลังจ้องจับลูกชายของหล่อนอยู่ อีกทั้งหล่อนก็รู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่มีเจ้าหญิงคนไหนที่เพรียบพร้อมพอที่จะมาแต่งงานกับฟู่ซินลูกชายของหล่อนได้เลย
“ถึงจะไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน เราก็ไม่เอาหรอก !”ผูชูเฟินกลอกตาไปมาพร้อมกับเบะปาก จากนั้นหล่อนก็ถ่มน้ำลายออกมาอย่างไม่เกรงใจ “ฉันว่าแกไปหาผู้หญิงที่หน้าตาดีและอ่อนโยนกว่านี้ดีกว่า หล่อนจะมีการศึกษารึเปล่า หรือว่าหล่อนจะมีฐานะทางบ้านที่ดีหรือไม่ดี มันก็ไม่สำคัญหรอก ขอเพียงแค่หล่อนเชื่อฟังฉัน คลอดลูก และสอนลูกให้รู้ความว่าอะไรเป็นอะไร แค่นั้นฉันก็พอใจแล้ว จนถึงตอนนี้ตระกูลของเราก็ยังไม่มีหลานเลยสักคน แกก็แค่ให้หล่อนคลอดลูกออกมาสัก 2-3 คนมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรใช่ไหม ? ”
เมื่อพูดจบ หล่อนก็หันไปมองที่ห้องครัวด้วยสายตาเกลียดชัง จากนั้นหล่อนก็ส่งเสียงด่าทอออกไปว่า “ถ้ามีการศึกษาแต่ไร้ประโยชน์ จะมีไปทำไมล่ะ ? ”
คำหยาบคายที่ผูชูเฟินพูดออกมานั้นมันก็ไม่น่าฟังเอาเสียเลย อีกทั้งมันก็เกินขอบเขตที่ว่าตีวัวกระทบคราดไปไกลแล้วเช่นกัน พี่ใหญ่ตระกูลฟู่เป็นคนเย่อหยิ่งและไม่ชอบพูด เช่นเดียวกับน้องชายของเขาที่ไม่ชอบคำพูดที่สร้างความหายนะให้กับทุกคนของผู้เป็นแม่เป็นที่สุด
เมื่อได้ยินว่าผู้เป็นแม่กำลังด่าภรรยาของตัวเอง พี่ใหญ่ตระกูลฟู่อย่างฟู่เฉียงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จากนั้นเขาก็พูดออกไปด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า “แม่ !แม่ยังไม่จบอีกหรือ? แม่ก็พูดเรื่องของน้องสามไปสิ ทำไมแม่ถึงต้องวกกลับมาด่าลูกสะใภ้ด้วย ? ”
ผูชูเฟินขมวดคิ้วขึ้นมาทันที จากนั้นหล่อนก็คว้าเอาด้ามไม้กวาดที่อยู่บนพื้นขึ้นมาฟาดใส่ลูกชายตนโตของตัวเองอย่างแรง หล่อนกัดฟันกรอดและพูดออกไปว่า “แกมันไร้น้ำยา!ฉันพูดถึงภรรยาของแกแค่นี้ก็ไม่ได้เลยรึไง ฉันพูดแค่ไม่กี่คำแกก็เจ็บปวดและรับไม่ได้แล้วงั้นหรือ ทำไม ? ฉันพูดไม่ได้เลยใช่ไหม ? แม่ไก่ที่ไม่ฟักไข่ก็เหมือนกับผู้หญิงที่คลอดลูกไม่ได้นั่นแหละ ฉันพูดไม่ได้เลยงั้นสิ ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟู่เฉียงก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาทันที จากนั้นก็พูดออกไปด้วยความไม่พอใจว่า “นั่นมันเป็นสิ่งที่แม่สมควรพูดออกมาหรือครับ ? ปากของแม่เป็นอะไรนักหนา วัน ๆ ก็เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระไม่มีประโยชน์ ถ้าแม่ไม่ชอบเรานัก เราย้ายออกไปอยู่ที่อื่นก็ได้ !”
ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองคนก็เคยย้ายออกไปอยู่ที่บ้านพักของคุณครูในโรงเรียนแล้ว เด็กน้อยที่สลัดหลุดออกจากการควบคุมของพ่อและแม่ได้ ช่างเป็นวันที่สดใสและมีความสุขมากเลยจริง ๆ
เมื่อผูชูเฟินได้ยินคำพูดของลูกชายคนโต หล่อนก็ถึงกลับนิ่งงันไปทันที เพราะหลังจากที่ลูกชายคนโตของหล่อนหนีออกจากบ้านไปในครั้งนั้น ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะเยาะหล่อนราวกับว่าหล่อนเป็นตัวตลกอย่างไรอย่างนั้น หล่อนเป็นเพียงแม่บ้านในตระกูลคนหนึ่งเท่านั้น หล่อนไม่เคยเข้าไปยุ่งหรือก้าวก่ายในโรงงานของตระกูลเลย หล่อนคิดว่านั่นเป็นเรื่องของผู้ชาย ส่วนหล่อนก็ทำได้เพียงแค่งานบ้านอย่างการซักผ้า ทำกับข้าว และให้อาหารสัตว์เพียงเท่านั้น
เมื่อลูกชายคนโตหนีออกไปจากบ้าน ลูกชายคนที่สามของหล่อนก็ยังอยู่ในกรมทหาร นั่นจึงทำให้ไม่มีใครทำงานในโรงงาน พ่อของพวกเขาโกรธมากอีกทั้งยังตวาดใส่หล่อน ต่อมาหล่อนจึงต้องบากหน้าไปขอร้องอ้อนวอนให้พวกเขาทั้งสองคนกลับมา
แต่ในตอนนี้ที่หล่อนพูดออกไปแบบนั้น มันก็เป็นเพราะความสนุกปากของหล่อนเพียงเท่านั้น แค่หล่อนด่าออกไปไม่กี่คำ ลูกชายคนโตของหล่อนก็ไม่พอใจแล้วอย่างนั้นหรือ
“แกจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นอย่างนั้นหรือ ? ถ้าแกกล้าไป แกก็ไปเลยสิ !เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ฟู่ซินก็กลับมาแล้ว ตอนนี้แกก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับฉันแล้ว พวกแกสองคนไสหัวออกไปเลยไป แล้วก็ไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีก ! ”ผูชูเฟินไม่ได้คิดเหมือนกับที่หล่อนพูดออกไปจริง ๆ หรอก หล่อนก็แค่พูดออกไปเพราะความโมโหก็เท่านั้น
ฟู่เฉียงไม่ได้สนใจคำพูดของผู้เป็นแม่แต่อย่างใด เขายกมือขึ้นไปตบไหล่น้องชายของตัวเองเบา ๆ จากนั้นเขาก็พูดออกไปต่อหน้าแม่ของตัวเองว่า “แกเห็นรึยังล่ะ? ว่าแม่ของเราเป็นคนเจ้าอารมณ์มากแค่ไหน !ฉันว่าแกหาลูกสะใภ้อย่างที่หล่อนต้องการดีกว่านะ อย่าเอาคนที่แกชอบมาเป็นภรรยาเลย ไม่อย่างนั้นแกก็ต้องทนเห็นภรรยาของแกทุกข์ทรมานทุกค่ำคืน และจะเป็นแกเองนั่นแหละที่จะต้องเจ็บปวด !”
ผูชูเฟินนึกไม่ถึงเลยว่าไม่เพียงแต่ลูกชายคนโตจะไม่ยอมเชื่อฟังหล่อนแล้วเท่านั้น เขายังยุงยงน้องชายของตัวเองให้ไม่ยอมเชื่อฟังในคำพูดของหล่อนด้วย เมื่อได้ยินดังนั้นหล่อนกระโดดลงมาจากเตียงและวาดมือออกไปตบลูกชายคนโตอย่างแรง โดยที่หล่อนก็ลืมไปเลยว่าสามีของหล่อนก็นั่งอยู่ที่นี่ด้วย
“ไอ้หยา พอได้แล้ว !” เมื่อฟู่ซินได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใบหน้าของเขาก็แย่ลงไปทันที จากนั้นพ่อของเขาก็เปล่งเสียงร้องห้ามออกมา แม้น้ำเสียงของเขาจะไม่ได้ถึงขั้นดังสนั่นลั่นบ้าน แต่แค่นั้นมันก็สามารถทำให้แม่ของเขาหยุดการกระทำทุกอย่างลงได้แล้ว เมื่อได้ยินเสียงร้องห้ามของสามี ผูชูเฟินจึงกลับไปนั่งลงบนเตียงตามเดิม หล่อนยกมือขึ้นมาปิดหน้าและส่งเสียงร้องไห้โฮออกมาราวกับว่าตัวเองนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรม
หลังจากที่นั่งฟังมานาน สุดท้ายประมุขใหญ่ของบ้านตระกูลฟู่ก็พูดออกมา เขาหันไปตำหนิภรรยาของตัวเองว่า “คุณนี่มันก็จริง ๆ เลยนะ คุณจะยอมรับได้จริง ๆ หรือถ้าลูกชายคนโตออกไปอยู่ที่อื่น ? ”
คนที่ผูชูเฟินเกรงกลัวมากที่สุดในบ้านก็คือสามีของหล่อน รองลงมาก็เป็นลูกชายคนเล็ก เมื่อได้ยินคำถามของสามี หล่อนก็พูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ฉันเป็นแม่สามีนะ ฉันไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเลยอย่างนั้นหรือ ? หล่อนก็อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว แต่ตอนนี้หล่อนก็ยังไม่มีลูกเลยสักคน แล้วฉันจะไม่โกรธได้อย่างไร ? ”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ ฟู่ซินก็อยากจะพูดออกไปมากว่า จะมีวันไหนบ้างที่แม่จะไม่พูดตำหนิลูกสะใภ้ ? ถึงแม้ว่าเรื่องที่แม่พูดมามันจะเป็นเรื่องจริง แต่ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมานี้ การที่แม่ของเขาเอาแต่พูดเรื่องนี้ มันก็ทำให้พี่สะใภ้ใหญ่ของเขารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมมากขนาดไหน
ฟู่เฉียงจึงได้โพล่งออกไปว่า “พอได้แล้วล่ะครับ เราหยุดพูดเรื่องนี้กันเถอะ”
ผูชูเฟินที่ไม่เคยเกรงกลัวลูกชายคนโตของหล่อนมาก่อน เมื่อหล่อนได้ยินประโยคนี้ออกมาจากปากของลูกชาย หล่อนก็ถึงกับน้ำตาแตกออกมาในทันที จากนั้นหล่อนก็ตวาดออกไปเสียงดังว่า “ทำไม ? ในที่สุดแกก็จะยอมหย่าแล้วอย่างนั้นหรือ ? แกหย่ากับหล่อนก็ดีแล้วล่ะ หลังจากที่หย่ากันแล้วแกก็พาหล่อนกลับไปส่งที่บ้านแม่ของหล่อนเลย และแกก็ห้ามให้เงินหล่อนแม้แต่เฟินเดียวด้วย ! ”
ฟู่เฉียงรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก เขาขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า “ผมไม่หย่า!และเราสองคนก็จะไม่มีลูกด้วย ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็พากันอึ้งงันไปทันที “แกว่าไงยังไงนะ ? โรคที่หล่อนเป็นรักษามันไม่หายอย่างนั้นหรือ ? ”
ฟู่เฉียงแสดงสีหน้าโกรธเคืองออกมาในทันที “ภรรยาของผมหายจากโรคนั้นมาตั้งนานแล้วล่ะครับ แต่เป็นผมเองต่างหากที่มีลูกไม่ได้ ต่อให้ผมต้องเปลี่ยนภรรยาอีกสักกี่คน ผมก็มีลูกไม่ได้ !”
เมื่อเขาพูดจบ ทุกคนต่างก็พากันเงียบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาอีกเลยแม้แต่คนเดียว ผูชูเฟินทรุดนั่งลงไปบนเตียง ส่วนฟู่ซินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พี่ชายก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “ที่แท้เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นแบบนี้นี่เอง !ถ้าอย่างนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้ พี่สะใภ้ใหญ่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับความไม่เป็นธรรมมาตลอดเลยน่ะสิ ! ”
ผูชูเฟิงเบะปากและพูดออกไปอย่างเสียดสีว่า “แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ของบ้านเราแล้ว แต่งกับไก่ก็ต้องตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ต้องตามสุนัข ในเมื่อหล่อนแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ของบ้านเราแล้ว หล่อนก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสามีและครอบครัวของสามีให้ได้สิ มันไม่ได้รับความเป็นธรรมตรงไหนกัน !”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉียงก็หันไปมองแม่ของตัวเองที่กำลังยกหางถือว่าตนเองนั้นเก่ง ก่อนที่เขาจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงถากถางว่า “ตอนนี้สิ่งที่แม่ควรจะกลัวก็คือหล่อนจะหย่ากับผมรึเปล่าต่างหากล่ะครับ ? หล่อนมีงานดี ๆ ทำ อีกทั้งหล่อนก็ยังสาวยังสวย ถ้าหล่อนไปเจอกับผู้ชายคนใหม่ที่ดีกว่าผมหลังจากที่หล่อนหย่ากับผมไป ปีหน้าหล่อนก็อาจจะมีลูกก็ได้”
“อา ? นั่นมันก็เป็นการตบหน้ากันชัด ๆ แกหย่าไม่ได้เด็ดขาด !” เมื่อได้ยินดังนั้น ผูชูเฟินก็รีบพูดเตือนลูกชายคนโตของตัวเองออกไปทันทีด้วยด้วยเสียงต่ำ ๆ พร้อมกับส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามไปทางห้องครัวทันที
“แล้วหล่อนรู้เรื่องที่แกมีลูกไม่ได้ไหม ? ” ผูชูเฟินเชิดคางขึ้นพร้อมกับถามลูกชายคนโตของหล่อนออกไป
ฟู่เฉียงส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “ไม่รู้ครับ ผมไม่ได้บอก”
ผูชูเฟินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นหล่อนก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมออกมาและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “เราจะรู้เรื่องนี้กันแค่ 4 คนเท่านั้น ห้ามมีใครพูดแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปโดยเด็ดขาด เราจะจบเรื่องนี้ไว้แค่นี้ และหลังจากนี้ก็ห้ามมีใครพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก !”
ในขณะที่ผูชูเฟินกำลังพูดอยู่นั้น พี่สะใภ้ใหญ่ก็ได้ผลักประตูเข้ามาในห้องโถงพอดี หล่อนคลี่ยิ้มพร้อมกับพูดออกมาว่า “ตอนนี้อาหารเย็นเสร็จแล้ว เรามากินข้าวกันเถอะค่ะ !”
MANGA DISCUSSION