ตอนที่ 73 คิดทบทวน
จางเหว่ยนั้นเป็นคนที่ขี้โมโหและอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายที่สุดในหอพักแห่งนี้ เมื่อหล่อนได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของหลี่เหยา หล่อนก็รู้สึกโมโหขึ้นมาในทันที
“หลี่เหยา เธออย่ามาทำตัวไร้ยางอายไปหน่อยเลย ! ถ้าเธอไม่อยากจะอยู่ในห้องพักนี้แล้ว เธอก็ถือโอกาสนี้เก็บข้าวของของเธอย้ายออกไปเหมือนกับเฝิงเสี่ยวเจี๋ยเสียเลยสิ จะได้ไม่ต้องมาเที่ยวกัดคนอื่นเขาอยู่แบบนี้ !” คำพูดที่จางเหว่ยเปล่งออกมานั้น ก็เป็นคำพูดที่แทงใจดำของอีกฝ่ายมากเลยทีเดียว และหลี่เหยาก็รู้ว่าคำพูดที่หล่อนพูดออกมา มันก็มาจากใจจริง ๆ ของคนที่อยู่ในห้องพักแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
หล่อนยกมือขึ้นมากอดอกและพูดออกไปอย่างเย็นชาว่า “ไอ้หยา เธอกลายเป็นหัวหน้าใหญ่ของห้องพักแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? แล้วการที่เธอออกปากไล่คนอื่นแบบนี้ คนอื่นก็ต้องไปด้วยงั้นสิ ? ”
จางเหว่ยลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไปหาหลี่เหยาในทันที จากนั้นหล่อนก็พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจว่า “ฉันอดทนมานานมากแล้ว เธอรู้รึเปล่า ? คนแบบเธอน่ะ มันไม่เหมาะที่จะได้มาอยู่รวมกับพวกเราหรอก แต่ถ้าเธอยังจะหน้าด้านหน้าทนที่จะอยู่ที่นี่ต่อ ใครเขาจะว่าอะไรเธอได้ล่ะ แต่ถ้าเธออยากจะอยู่ที่นี่ต่อ เธอก็ควรที่จะล้างปาก ล้างมือ และล้างเท้าของเธอให้สะอาดด้วย ที่เราไม่เคยแฉเธอ มันก็เป็นเพราะเราไม่อยากจะทะเลาะกับคนที่มีไอคิวต่ำแบบเธอก็เท่านั้นเอง เธออย่าคิดว่าคนอื่นเขาเป็นเหมือนเธอกันทุกคนสิ!”
หลี่เหยากลอกตาไปมา จากนั้นหล่อนก็ยกมือขึ้นมาปิดปากและแสร้งทำเป็นพูดออกมาอย่างไร้เดียงสาว่า “ไอ้หยา ฉันกลัวจังเลย ฉันกลัวมากเลย เหอะ ! ที่พวกเธอพูดแบบนี้ก็เพราะพวกเธออิจฉาฉันใช่ไหมล่ะ ฉันรู้ตัวดี แต่ก็นะ ฉันเองก็ไม่อยากจะสุงสิงกับคนหน้าตาอัปลักษณ์อย่างพวกเธอหรอก!เหอะ! ”
หลังจากนั้นพูดจบ หลี่เหยาก็เดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายและเดินออกไปจากห้องในทันที แต่เหล่าบรรดาเด็กสาวที่ยืนอยู่ในห้องพักในขณะนี้ ต่างก็ไม่มีใครเอ่ยปากถามหล่อนออกไปเลยแม้แต่คนเดียวว่าหล่อนจะออกไปไหน
ตอนนี้ความสนใจของทุกคนต่างก็ตกมาอยู่ที่จางฉุ้ยเหลียนกันหมดแล้ว เพราะพวกเธอต่างก็อยากจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้และเรื่องราวในอดีตของจางฉุ้ยเหลียนกันมากเลยทีเดียว
เดิมทีจางฉุ้ยเหลียนนั้นไม่อยากจะให้คนอื่นรู้เรื่องราวของของตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะเธอไม่อยากจะให้ใครมาแสดงความสงสารเพียงเพราะเรื่องราวในอดีตของเธอ
เธออยากจะประสบความสำเร็จ และเธอก็อยากจะใช้ความขยันและความสามารถของตัวเองเพื่อไขว่คว้าความสำเร็จนั้นมา เธอไม่อยากจะเอาความสงสารที่คนอื่นมีต่อเธอไปแลกกับความสำเร็จหรอก
ในสายตาของจางฉุ้ยเหลียน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้มันก็อยู่เหนือความคาดหมายของเธอเป็นอย่างมาก ก็เหมือนกับตระกูลกู้ จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่สามารถปิดบังเรื่องราวในอดีตของเธอไปได้ตลอดเช่นกัน เพราะอย่างไรเธอก็ต้องใช้ชีวิตกับพวกเขาต่อจากนี้ไปตลอด และการที่เช่าหวามาปรากฏตัวที่วิทยาลัยของเธอเมื่อสักครู่นี้ มันก็ทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าเธอนั้นเป็นเปลือกไข่ที่แสนบอบบางอย่างไรอย่างนั้น
จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างคร่าว ๆ ให้กับเพื่อนในห้องพักฟัง เธอเล่าเรื่องราวในอดีตของเธอออกมา เธอเล่าให้พวกหล่อนฟังถึงสาเหตุที่ว่าทำไมพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอถึงต้องส่งเธอไปให้พ่อแม่บุญธรรมเลี้ยง และเพราะอะไรหลังจากที่ผ่านไปแล้ว 6 ปี พวกเขาถึงมารับตัวเธอกลับไปอยู่ด้วย
จากนั้นเธอก็เล่าให้พวกเธอฟังอีกว่าหลังจากที่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ มันก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น นั่นจึงทำให้เธอต้องกลับไปหาพ่อแม่บุญธรรมของเธอ และเธอก็ได้รู้เรื่องราวมากมายก่อนหน้านี้ที่เธอเข้าใจผิดพวกเขา และต่อมาเธอก็เล่าให้พวกเธอฟังถึงสาเหตุที่ว่าทำไมเธอถึงได้มีความขัดแย้งกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอแบบนี้
และสุดท้ายจางฉุ้ยเหลียนก็ได้เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดให้พวกเธอฟัง
“พวกเธอรู้ใช่ไหมล่ะว่าตอนนี้ฉันมีคนรักอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้บอกอะไรพวกเขาออกไป พวกเขาก็พยายามที่จะขายฉันออกไปเป็น “สินค้าแปลก ๆ ” ให้กับครอบครัวที่มีฐานะดีแบบนี้แล้ว! ” เมื่อพูดจบจางฉุ้ยเหลียนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพราะเธอนั้นรู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่จริง ๆ
“แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ เธอก็คงจะโทษพ่อกับแม่ของเธอฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะ” เกาปินพูดออกมาพร้อมกับเบะปาก จากนั้นเธอก็ย่ำเท้าที่เริ่มชาจากการที่ยืนนาน ๆ ของตัวเองอยู่กับที่และเดินไปนั่งโต๊ะที่อยู่ตรงข้ามกับเตียงของจางฉุ้ยเหลียน
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น พวกหล่อนต่างก็พากันมองไปทางเกาปินด้วยความรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เพราะเด็กสาวที่ชอบแต่งตัวตามทันสมัยคนนี้นั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่หล่อนกลับพูดแบบนี้ออกมา นั่นจึงทำให้ทุกคนแปลกใจ
เกาปินพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังเพื่อหวังจะให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า “ฉันว่าต่อให้เธอกินถั่วเหลืองไปสักร้อยเม็ด เธอก็ไม่มีวันละทิ้งของคาวไปได้หรอก ? (หมายความว่าต่อให้ทุกข์ช้ำมากแค่ไหน แต่ก็ยังโง่ที่จะทำต่อ) หรือว่าเธอไม่มียางอายอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางเด็กสาวที่แต่งตัวตามแฟชั่นทันสมัยตรงหน้าด้วยความรู้สึกสงสัย เธอไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ของหล่อนเลยแม้แต่น้อย เธอจึงทำได้เพียงแค่นั่งฟังเกาปินพูดอธิบายออกมาเพียงเท่านั้น “ตัวเธอเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าพวกเขาเป็นคนยังไง อีกอย่างเธอก็รู้ว่าพวกเขาปฏิบัติกับเธอแบบไหน ในเมื่อเธอเองก็มีพ่อแม่บุญธรรมที่ทั้งรักและห่วงใยเธอ มีแฟนหนุ่มที่คบหาดูใจกันอย่างมีความสุขอยู่แล้ว ทำไมเธอจะต้องพาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีกล่ะ ? เธอหลีกหนีออกมาจากพวกเขาไม่ได้หรือ ? ”
เมื่อพูดจบ เกาปินก็เมินหน้าหนีไปทางอื่น จากนั้นหล่อนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาต่อไปอีกว่า “เธอมันเป็นคนโลภไม่รู้จักพอ เธอเป็นคนฉลาดแต่ก็ไม่รู้ความ เธอมีพ่อแม่บุญธรรมที่ทั้งรักและห่วงใยเธออยู่แล้ว แต่เธอก็อยากจะเปลี่ยนแปลงความคิดของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ หรือไม่ก็อยากจะปลุกความมีมโนธรรมสำนึกของพวกเขาด้วยอย่างนั้นสินะ ? เธอคิดว่าเธอเป็นใครกัน ? เธอคิดว่าเธอเป็นพระอาทิตย์ที่คนทั้งโลกต้องยอมปรับเปลี่ยนเพื่อเธออย่างนั้นหรือ ! ”
คำพูดที่คนอื่นพูดออกมาก่อนหน้านี้ จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เกิดความรู้สึกกับมันเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเกาปิน ที่หล่อนพูดออกมาว่า “เธอคิดว่าเธอเป็นพระอาทิตย์ที่คนทั้งโลกต้องยอมปรับเปลี่ยนเพื่อเธออย่านั้นหรือ” นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกราวกลับว่ามีบางอย่างกำลังเสียดแทงเข้ามาในจิตใจส่วนลึกของเธออยู่ และในที่สุดเธอก็ตระหนักได้ถึงปัญหาของตัวเอง
ตอนนี้ทุกคนกำลังมองมาที่ใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียน ที่ตอนนี้มันซีดราวกับไก่ต้มด้วยความรู้สึกเป็นห่วง เมื่อเห็นดังนั้น หลี่ม่านจึงรีบเข้ามาผลักเกาปินให้ออกไป จากนั้นหล่อนก็พูดออกมาว่า “ไอ้หยา เธอหยุดพูดได้แล้วล่ะ คนน่ารำคาญแบบเธอ จะมาพูดโน้นน้าวคนอื่นได้อย่างไร!”
เกาปินเบะปากและพูดตอกกลับไปว่า “ถ้าเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด ฉันก็หมดปัญญาแล้วล่ะ เธอไปคิดเอาเองแล้วกันนะ!”
เมื่อพูดจบหล่อนก็ลุกขึ้นยืน และบอกกับทุกคนว่าหล่อนจะไปกินข้าวที่โรงอาหาร นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนได้สติ เธอคิดว่าถ้าตอนนี้ทุกคนยังไม่ออกไปกินข้าวที่โรงอาหารล่ะก็ พวกเขาก็จะไม่ได้กินข้าวแล้ว เพราะโรงอาหารมันกำลังจะปิด เธอจึงรีบโบกไม้โบกมือเพื่อเป็นการไล่ให้พวกหล่อนออกไปกินข้าวในทันที ส่วนตัวเองนั้นก็ขอนอนพักอยู่บนเตียงเพื่อคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เธอปฏิเสธน้ำใจที่พวกหล่อนจะนำอาหารมื้อเที่ยงกลับมาให้เธอ เพราะในตอนนี้เธอกินอะไรไม่ลงเลยจริง ๆ
จางฉุ้ยเหลียนฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะและเริ่มคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เธอนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เธอได้กลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ กลับมาคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดดูอีกครั้ง ความจริงแล้วเธอก็ไม่แน่ใจว่าทำไมในชาตินี้เรื่องราวของตระกูลเซี่ยและตระกูลจางมันถึงได้แปรเปลี่ยนกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ ฝ่ายหนึ่งก็ทำให้ชีวิตของเธอนั้นดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับทำให้เธอนั้นรู้สึกอับอายและกดดันมากขึ้นไปอีก
“หรือว่ามันเป็นเพราะทัศนคติของฉัน ? ในใจของฉันมันยังมีความรู้สึกเกลียดชังอยู่อีกงั้นหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองนั้นคอยแต่เอาอกเอาใจอันหลงมาโดยตลอด และนั่นมันก็ทำให้คนอื่น ๆ รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอ
แต่จากที่เธอคิดไตร่ตรองดูแล้ว การที่เธอเอาอกเอาใจอันหลงมันก็เพราะเธออยากจะให้หล่อนคอยสนับสนุนเรื่องของเธอกับกู้จื้อเฉิงไม่ใช่หรือ เพราะอย่างนั้นเธอถึงได้คอยเอาใจและประจบประแจงหล่อนอย่างเห็นได้ชัดแบบนั้นไงล่ะ
แต่สำหรับสองสามีภรรยาตระกูลจาง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องอดทนกับพวกเขามาโดยตลอด อีกทั้งเธอยังต้องทำตัวแข็งแกร่งเพื่อจางฉุ้ยจวิน และเอาชนะด้วยการอบรมสั่งสอนเขา
แล้วสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยล่ะ ? พวกเขาต่างก็ให้อะไรหลาย ๆ อย่างกับเธอมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ? จางฉุ้ยเหลียนย้อนกลับไปคิดถึงภาพในอดีตที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ให้อะไรกับพวกเขาเลย แต่พวกเขาต่างก็หยิบยื่นสิ่งต่าง ๆ ให้เธออย่างเต็มใจมาโดยตลอด
สองสามีภรรยาที่แสนประหยัดมัธยัสถ์ อีกทั้งยังไม่มีคนคอยดูแลเอาใจใส่พวกเขาด้วยใจจริงคู่นั้น พวกเขาต่างก็มีปัญหากับญาติพี่น้องของตัวเองเพราะเธอหลายต่อหลายครั้ง และพวกเขาก็ยังเชื่อมั่นในตัวเธอ และเลือกที่จะย้ายออกจากที่ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่มานานมากกว่าสิบปี เข้ามาทำธุรกิจในเมืองแบบนี้อีก
ถ้าหากว่าธุรกิจของพวกเขาไปไม่ได้ดี อย่าว่าแต่การที่พวกเขาจะต้องระหกระเหินกลับไปอยู่ที่บ้านเก่าของพวกเขาเลย ญาติพี่น้องของเขาก็รอซ้ำเติมอยู่เช่นกัน และแม้แต่เงินที่พวกเขาเก็บสะสมมานานหลายปี ก็คงจะหมดไปและไม่สามารถเอากลับคืนมาได้
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังเชื่อมั่นในตัวของเธอ พวกเขายอมเชื่อเธอโดยไม่มีเงื่อนไขเลยอย่างนั้นหรือ ? แต่การที่พวกเขาทั้งสองคนเชื่อมั่นในตัวเธอมันก็อาจจะเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าเธอสามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งเธอก็ยังใช้สมองในการหาเงินได้อีกด้วย
แต่สองสามีภรรยาตระกูลจางมองไม่เห็นความสามารถของเธออย่างนั้นหรือ ? แต่พวกเขาก็เห็นไม่ใช่หรือว่าหลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนกลับชาติมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ เธอก็เปลี่ยนไปมากแค่ไหน และนอกจากนี้พวกเขาก็เห็นว่าการขายซาลาเปาให้กับคนขับรถที่ขับรถผ่านไปผ่านมาที่ริมถนนนั้นมันทำเงินได้มากมายขนาดไหน
พวกเขาก็เห็นถึงความสามารถในการหาเงินของจางฉุ้ยเหลียนมาโดยตลอด แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันเลยสักนิด ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านตอนนี้จะยากจนมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะออกไปเล่นไพ่เพื่อฆ่าเวลาทุกวัน
พวกเขาไม่สนใจมันสมองของจางฉุ้ยเหลียนเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขากลับเลือกที่จะโปรดปรานลูกชายที่ไม่เอาการเอางานของตัวเอง และถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการรับจ้างปะติดกล่องลังนั้นมันจะทำเงินได้มากกว่าการออกไปขายซาลาเปาที่ริมถนนมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็จะรับจ้างปะติดกล่องลังแค่ตอนที่พวกเขาไม่เหลือเงินแล้วเท่านั้น
เมื่อพวกเขาไม่มีการพัฒนาที่ดีขึ้นเหมือนอย่างคนอื่น พวกเขาก็เกิดความรู้สึกร้อนใจขึ้นมา และแม้ว่าตัวเองจะไม่พัฒนา แต่พวกเขาก็ยังจะมาดูถูกจางฉุ้ยเหลียนที่มีความขยันหมั่นเพียร
อีกทั้งตัวเองมีวิสัยทัศน์ที่ตื้นเขิน แต่กลับมาหัวเราะเยาะความคิดอันกว้างไกลของจางฉุ้ยเหลียน
และทั้งหมดที่พูดมานี้มันก็คือความแตกต่างระหว่างสองสามีภรรยาตระกูลจางและตระกูลเซี่ย แล้วตัวเธอเองล่ะ ?
จางฉุ้ยเหลียนหลับตาทั้งสองข้าง จากนั้นเธอก็เห็นเงาของตัวเองปรากฏขึ้นมา ส่วนในหูของเธอก็ได้ยินประโยคที่เกาปินพูดออกมาซ้ำ ๆ ดังลอยวนอยู่ในหู มันก็เหมือนดั่งคำที่ว่า คนในมองไม่เห็น แต่คนนอกสามารถมองเหนเหตุการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งอย่างนั้นหรือ ?
เธอคิดว่าการที่สวรรค์ให้โอกาสเธอได้กลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะให้เธอเปลี่ยนแปลงโลกนี้ แต่การที่เธอได้กลับมาเกิดใหม่ เธอก็คิดว่าตัวเองนั้น เป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้อย่างนั้นหรือ ? และถึงแม้ว่าเธอจะล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แต่เธอจะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนอื่นได้ย่างไรกัน ?
เธอหวังอยากจะให้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอชื่นชอบในตัวเธอ เพราะความสามารถที่โดดเด่นที่ไม่เหมือนใครของเธอ
และเธอก็หวังที่จะเปลี่ยนแปลงวัฏจักรชีวิตของจางฉุ้ยจวิน เปลี่ยนแปลงเขาจากคนที่ขี้เกียจ เปลี่ยนไปเป็นคนที่มีความกล้าหาญและเข้าสังคมได้
เธอหวังอยากจะให้คนในตระกูลจางสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้ในทุกยุคทุกสมัยผ่านการล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของเธอ เธออยากจะให้พวกเขาคว้าโอกาสในทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และได้เปลี่ยนจากชีวิตที่ยากจนข้นแค้นกลายเป็นคนที่ร่ำรวย
แต่เธอกลับพบว่านิสัยของมนุษย์นั้นมันเปลี่ยนแปลงได้ยาก มากจริง ๆ เธอเริ่มรู้สึกมึนงงกับตัวเอง เธอกลัวว่าเธอจะสูญเสียทุกอย่างไป ถ้าพวกเขาคิดที่จะพรากเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเธออย่างเรื่องเรียนไปล่ะ ต่อจากนี้เธอจะทำอย่างไร
ถ้าเธอไม่ได้เรียนต่อแล้ว เธอจะคู่ควรกับกู้จื้อเฉิงได้อย่างไร ? และถ้าเธอไม่ได้แต่งงานกับกู้จื้อเฉิง ชาตินี้เธอก็คงจะไม่ได้เจอหน้าเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอแล้วอย่างนั้นใช่ไหม ?
เธอมีจุดอ่อน และเช่าหวาก็รู้จุดอ่อนนี้ของเธอดี และเพียงเพราะอยากที่จะเรียนต่อ เธอถึงกับต้องถือมีดวิ่งไล่ฆ่าน้องชายของตัวเองและข่มขู่ให้คนที่บ้านที่คิดจะขัดขวางเธอตายไปพร้อมกัน
แต่เธอก็สามารถอดทนได้ ไม่ใช่ว่าเธอจะอดทนกับมันไม่ได้ อีกอย่างเธอก็คิดว่าปัญหามากมายเหล่านี้จะเบาบางลงหลังจากที่เธอเรียนจบ
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าเธอควรจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งสะท้อนขึ้นมาจิตใจของเธอ และเธอก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันเป็นเสียงของใคร หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนนั่งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เธอก็เดินไปหยิบกระดาษมา จากนั้นเธอก็เขียนความสงสัย ความกลัดกลุ้ม และความเป็นกังวลทั้งหมดของตัวเอง เขียนระบายมันลงไปในนั้น เมื่อเขียนเสร็จแล้วเธอก็พับมันและใส่ลงไปในซองจดหมาย เธอเดินออกไปจากห้องและตรงไปที่ไปรษณีย์ทันที
“ต่างประเทศ ? ” บุรุษไปรษณีย์เงยหน้าขึ้นมามองจางฉุ้ยเหลียนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“ค่ะ!” ผู้รับชื่อติงหลงหลง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าจดหมายฉบับนี้จะไปถึงมือของหล่อนเมื่อไหร่ และอีกอย่างเธอก็รู้ว่าติงหลงหลงนั้นไม่สามารถดับไฟในใจของเธอได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากจะส่งไปให้หล่อน
เพราะความกลัดกลุ้มใจทั้งหมด มันก็เกิดจากตัวเธอเอง นั่นจึงทำให้ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้ และปัญหาในตอนนี้ก็นี้ก็คือ เธอจะไปหายารักษาอาการนี้ได้จากที่ไหน!
อีกด้านหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่จางฉุ้ยหวินถูกกลุ่มคนมากมายลากตัวเขาออกมาทิ้งไว้ที่ด้านหน้าวิทยาลัยแบบนี้ นั่นจึง ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เมื่อพวกเขาทั้งสามคนกลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็รู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในทันที จางกว่างฝูที่โกรธจนหน้าแดงก็เอาแต่ด่า ทอสาปแช่งขอให้ชีวิตของจางฉุ้ยเหลียนนั้นพังพินาศ
ส่วนเช่าหวาก็เอาร้องห่มร้องไห้ราวกับว่าตัวเองนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ครึ่งค่อนวัน หลังจากที่หล่อนร้องไห้จนพอใจแล้ว หล่อนก็ลุกขึ้นมาจากเตียง จากนั้นก็พูดออกไปพร้อมกับกัดฟันว่า “นังเด็กสารเลวนั่นคิดที่จะต่อกรกับฉันอย่างนั้นหรือ ได้ ! ต่อจางนี้ไปฉันจะไม่สนใจนังเด็กนั่นอีกแล้ว เหอะ ! ถึงอย่างไรฉันก็จะบังคับนังนั่นให้แต่งงานให้ได้ และฉันก็จะคอยดูว่าพอถึงตอนนั้นมันจะทำอย่างไร!”
จางกว่างฝูถอดเสื้อตัวนอกออก นั่งจึงเผยให้เห็นเสื้อกล้ามรัดรูปสีขาวที่เขาสวมใส่อยู่ด้านใน จากนั้นเขาก็เริ่มด่าทอออกไปด้วยความโมโหว่า “เธอจะบ้ารึไง ? เธอไม่ได้ยินที่คนพวกนั้นพูดอย่างนั้นหรือ ? การที่เธอทำแบบนั้นมันผิดกฎหมายนะ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นแม่ของหล่อน เธอก็ทำแบบนั้นไม่ได้!”
เช่าหวาหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหอะ!คนพวกนั้นก็แค่รู้เยอะก็เท่านั้น ฉันไม่เชื่อที่พวกเขาพูดหรอกนะ คุณคิดว่าตระกูลทั้งสองตระกูลที่ฉันหาให้จางฉุ้ยเหลียน พวกเขาจะรู้เรื่องนี้อย่างนั้นหรือ ? ฉันจะไปพูดเรื่องเงินกับตระกูลฟู่ก่อนดีกว่า เพราะพวกเขารวยที่สุดแล้ว ยิ่งมีเงินเยอะคนก็มักจะโง่ รอให้เงินตกมาอยู่ในมือของฉันก่อนเถอะ ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ยอมแต่งงาน แต่ถึงอย่างไร ฉันก็มีวิธีที่จะทำให้เธอยอมคืนเงินค่าสินสอดนั้นให้กับพวกเรา! ”
จางฉุ้ยเหลินที่กำลังเดินเข้ามาที่ลานบ้านของคุณน้าสอง เพื่อที่จะมาถามพวกเขาว่าออกไปไหนกันมา เมื่อเขาได้ยินคุณน้าสองพูดถึงเรื่องแต่งงานของจางฉุ้ยเหลียน
เขาก็เตรียมที่จะหมุนตัวเดินกลับบ้านไปอย่างเงียบ ๆ ในทันที อีกทั้งในใจของเขาก็รู้สึกเป็นห่วงน้องเขยในอนาคตของเขาขึ้นมา
“จางฉุ้ยเหลียนยังต้องชดใช้หนี้อะไรอีกอย่างนั้นหรือ ? หล่อนทำเรื่องอะไรไว้เมื่อชาติที่แล้วกันนะ ชาตินี้หล่อนถึงต้องมาชดใช้กรรมแบบนี้” จางฉุ้ยหลินที่ยืนอยู่ข้างกำแพงกั้นระหว่างสองบ้าน ก็พูดพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกเป็นห่วง
และในขณะนี้เองหลิวกุ้ยเฟินก็เดินออกมาเห็นลูกชายของตัวเองกำลังยืนเหม่ออยู่ตรงข้างกำแพงพอดี หล่อนจึงถามออกไปเสียงดังว่า “ทำไมลูกถึงยังไม่ไปอีก ? คุณอาสองกับคุณน้าสองของลูกอาจจะยังไม่ได้กินข้าวก็ได้ ลูกไปถามพวกเขาดูว่าพวกเขาอยากจะกินโจ๊กข้าวโพดที่บ้านเรารึเปล่า”
เมื่อเช่าหวาได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากข้างนอก หล่อนก็หันไปสบตากับสามีของหล่อนเป็นอันรู้กันในทันที หล่อยจัดทรงผมของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นก็เดินออกไปข้างนนอก เมื่อหล่อนเห็นว่าคนที่มาหาหล่อนคือจางฉุ้ยหลิน หล่อนจึงคลี่ยิ้มออกมา เมื่อเห็นว่าคุณน้าสองเดินออกมา เขาจึงได้ถามหล่อนออกไปว่า “คุณน้าสอง แม่ของผมฝากมาถามว่าบ้านคุณกินข้าวกันแล้วรึยังครับ บ้านของผมมีโจ๊กข้าวโพดอยู่ คุณน้าอยากจะกินรึเปล่า ? ”
MANGA DISCUSSION