ตอนที่ 72 โกรธเป็นกลุ่ม
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นพ่อแม่และน้องชายของเธอมาปรากฏตัวที่นี่ เธอก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาในทันที วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกอย่างนั้นหรือ ? หรือว่าที่พวกเขามาหาเธอที่นี่ เพราะพวกเขาอยากจะได้ของจากเธอกัน
“ฉุ้ยเหลียน เพราะลูกไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว พวกเราก็เลยมาหาลูกที่นี่!” เมื่อเช่าหวาเห็นจางฉุ้ยเหลียนเดินตรงเข้ามา หล่อนก็รุดหน้าเข้าไปหาเธอด้วยความกระตือรือร้นในทันที ความรักใคร่ที่เช่าหวาแสดงออกมานั้น ทำให้ไม่มีใครมองออกเลยว่าปกติแล้ว พวกเขาเย็นชากับจางฉุ้ยเหลียนมากแค่ไหน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม่ของเธอคือปีศาจร้ายต่างหากล่ะ และที่หล่อนมาทำดีกับเธอแบบนี้ มันจะต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ และมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้เห็นการแสดงของเช่าหวาแล้ว มันก็ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมากเลยทีเดียว
“แม่ แม่ตามหนูมา” จางฉุ้ยเหลียนไม่อยากจะตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น ถ้าหากว่าพ่อกับแม่ของเธอพูดอะไรไม่น่าฟังออกมา เธอก็อาจจะระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียวออกมาก็ได้
ดังนั้นเธอจึงอยากจะหาที่เงียบ ๆ เพื่อคุยกับพวกเขา จางฉุ้ยเหลียนพาพวกเขามาที่ที่หนึ่ง สถานที่แห่งนี้เงียบสงบเป็นอย่างมาก อีกทั้งมันก็ยังไม่มีคนพลุ่งพล่านมากอีกด้วย สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ และตลอดทางเดินนั้น ก็มีเก้าอี้ตัวยาววางตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ เพื่อให้ผู้ที่มานั่งได้ชมวิวทิวทัศน์
“แม่พูดมา ที่แม่หาหนูที่นี่ แม่ต้องการอะไรกันแน่ ? ” จางฉุ้ยเหลียนยกมือขึ้นมากอดอก พร้อมกับแสดงสีหน้าที่บ่งบอกออกมาว่า “หนูดูออกแล้ว” ออกมา
เมื่อเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในที่ที่เงียบสงบและไม่มีคนพลุ่งพล่านแล้ว เช่าหวาจึงหยุดแสดงบทบาทความเป็นแม่ที่แสนรักใคร่ลูกสาวในทันที จากนั้นหล่อนก็ถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปอย่างตรงประเด็นว่า “แกจะปิดเทอมอีกเมื่อไหร่?”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วทันที จากนั้นเธอก็ถามออกไปด้วยความสงสัยว่า “แม่มีเรื่องอะไร ? แม่ถามถึงปิดเทอมฤดูหนาวอย่างนั้นหรือ ? แต่ถ้าแม่ขาดคนช่วยนึ่งซาลาเปาล่ะก็ วันหยุดสุดสัปดาห์หนูคงจะไปช่วยแม่ไม่ได้หรอกนะ!”
จางฉุ้ยจวินเป็นคนที่เก็บความลับไว้ไม่อยู่ อีกอย่างเขาก็อยากจะพูดจุดประสงค์ที่พวกเขามาในครั้งนี้ออกไปตั้งแต่ที่เขาได้เจอหน้าพี่สาวของเขาแล้ว เมื่อเห็นว่าพ่อกับแม่ของเขาไม่ยอมพูดเข้าประเด็นเสียที เขาจึงเอ่ยปากพูดออกไปว่า “แม่อยากให้พี่กลับบ้านไปดูตัวน่ะ เพราะตอนนี้ก็มีเด็กหนุ่มสองคนจากตระกูลที่มีฐานะดีรอดูตัวพี่อยู่ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางเช่าหวาด้วยความรู้สึกตกใจ จากนั้นเธอก็พูดออกไปเสียงดังว่า “ใครให้แม่หาคู่ให้หนูไม่ทราบ ? ”
ตอนแรกเช่าหวาคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนจะต้องแสดงท่าทางเขินอายหรือไม่ก็ตื่นเต้นออกมาแน่ ๆ แต่หล่อนกลับคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะถามหล่อนออกมาด้วยน้ำเสียงแบบนี้
เมื่อได้ยินดังนั้น หล่อนจึงไม่สามารถอดกลั้นความโกรธของตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไป หล่อนยืนขึ้นและพูดออกไปเสียงดังว่า “แกกำลังพูดอยู่กับใคร ? ฉันเป็นแม่ของแกนะ แล้วอีกอย่างการที่ฉันหาคู่ให้แก มันก็เป็นสิ่งที่ฉันสมควรทำแล้วไม่ใช่รึไง ? แล้วแกจะมาโวยวายทำไมอีก ? ”
จางฉุ้ยเหลียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามที่จะระงับอารมณ์โกรธที่คุกกรุ่นอยู่ในใจ จากนั้นเธอก็พูดตอบกลับไปว่า “เรื่องของหนู หนูจัดการเองได้ แม่ไม่ต้องมายุ่ง ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางกว่างฝูที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมาในทันที เขาอยากจะยกเท้าขึ้นไปเตะจางฉุ้ยเหลียนให้รู้แล้วรู้รอดตอนนี้เลย
วันนี้จางกว่างฝูแต่งกายมาด้วยชุดที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก เขาสวมกางเกงสีเขียวอ่อน อีกทั้งขาและเท้าของเขาก็เลอะไปด้วยโคลน เขาสวมรองเท้าผ้าใบที่ไม่มีเชือกผูก อีกทั้งยังเหยียบส้นรองเท้าอีกต่างหาก และการที่เขาเหยียบส้นรองเท้าแบบนั้น มันจึงเผยให้เห็นถึงส้นเท้าที่หยาบกร้านของเขาได้อย่างชัดเจน
แต่เมื่อเขานึกไปถึงเหตุกาณ์ก่อนหน้านี้ที่จางฉุ้ยเหลียนพยายามจะวางยาทุกคนในบ้าน เขาก็ไม่กล้าที่จะแตะต้องตัวเธอแต่อย่างใด เขาจึงทำได้เพียงแค่เขวี้ยงรองเท้าใส่เธอเพียงเท่านั้น
แต่เมื่อจางกว่างฝูโยนรองเท้าใส่จางฉุ้ยเหลียนไปแล้ว เขาก็เห็นว่าเธอแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา อีกทั้งเธอยังไม่กลัวเขาอีกต่างหาก นั่นจึงทำให้เขาคิดไปถึงคำพูดของภรรยาที่พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า เรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนกลัวมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการที่เธอจะไม่ได้เรียนต่อ และถ้าเธอกล้าที่จะต่อกรกับเขาล่ะก็ เขาก็จะเอาเรื่องเรียนมาข่มขู่เธอ
“ทำไมแกถึงได้พูดกับแม่ของแกแบบนี้ล่ะ ? นังเด็กนิสัยไม่ดี ถ้าขืนแกยังกล้าพูดแบบนี้กับแม่ของแกอีกล่ะก็ ฉันจะไปหาอธิการบดีของแกเดี๋ยวนี้เลย และฉันก็จะถามเขาว่า เขาสอนแกมายังไง ทำไมแกถึงได้กลายมาเป็นเด็กนิสัยไม่ดีแบบนี้!” คำขู่ที่จางกว่างฝูพูดออกมานั้น ไม่ได้ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด
เธอยิ้มออกมาอย่างเย็นชาและพูดออกไปว่า “คู่หมายที่พ่อกับแม่หาให้หนู ตระกูลของเขาร่ำรวยมากเลยใช่ไหมคะ ? พวกเขาตอบตกลงว่าจะให้ค่าสินสอดทองหมั้นกับแม่เท่าไหร่ล่ะ แม่ถึงได้มาเร่งเร้าอยากจะขายหนูออกไปมากขนาดนี้ ? ”
เมื่อเช่าหวาได้ยินคำพูดที่แทงใจดำเช่นนี้ หล่อนจึงพูดออกไปอย่างไม่ยอมว่า “แกพูดอะไร ? ใครอยากจะขายแกกัน แล้วเงินสินสอดทองหมั้นอะไร ? แล้วการที่แกพูดออกมาแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร ? อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน ทำไมฉันจะต้องขายลูกสาวกินด้วยล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ส่งเสียง เหอะ ! ออกมา และเสียงที่เธอเปล่งออกมานั้น มันก็ทำให้เช่าหวารู้สึกเจ็บยิ่งกว่าการโดนด่าเสียอีก หล่อนพยายามอดกลั้นความโกรธเอาไว้ จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “แล้ว… แล้วตอนนี้สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยย้ายมาอยู่ในเมืองแล้วอย่างนั้นหรือ ? บ้านของพวกเขามีเงินมากมายขนาดนั้นเลยรึไง ? แล้วพวกเขามาทำธุรกิจค้าขายในเมืองหรือ ? ”
ใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียนเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที เธอขมวดคิ้วและคิดขึ้นมาในใจว่า : ข่าวเรื่องที่พ่อแม่บุญธรรมของเธอย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองไปถึงหูของพวกเขาแล้วอย่างนั้นหรือ ?
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เธอก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ เมื่อเช่าหวารู้ว่าสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยย้ายเข้ามาทำธุรกิจในเมืองจริง ๆ หล่อนก็พูดออกไปอย่างเย้ยหยันว่า “คนอย่างเซี่ยจวินจะไปทำธุรกิจค้าขายอะไรได้ ? ขาของเขาก็พิการแบบนั้น แล้วอีกอย่างตงลี่หวาก็เป็นคนไร้ประโยชน์จะตายไป ไอ้หยา พวกเขาจะทำธุรกิจค้าขายอะไรได้ล่ะ ? ”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินเช่าหวาพูดถึงสองสามีภรรยาตตระกูลเซี่ยด้วยถ้อยคำหยาบคายแบบนี้ ในใจของเธอก็รู้สึกแย่ขึ้นมาทันที จากนั้นเธอก็พูดเยาะเย้ยเช่าหวากลับไปว่า “ทำไมแม่ถึงพูดหยาบคายแบบนี้ล่ะ ? แต่ถึงแม้ว่าขาของเขาจะพิการ แต่เขาก็ยังสามารถย้ายเข้ามาทำธุรกิจค้าขายในเมืองได้ แม่กับพ่อลองย้อนกลับไปดูตัวเองบ้างสิ แขนขาก็มีครบ แต่กลับยากจนข้นแค้นอยู่เหมือนเดิม”
เช่าหวาเบะปากอย่างไม่ใส่ใจ “ก็เพราะฉันต้องเลี้ยงดูเด็กเหลือขออย่างพวกแกสองคนไงล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันคงจะได้กินของดี ๆ มีชีวิตที่ดีไปแล้ว ! ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมา จากนั้นเธอก็หันไปมองพ่อกับแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอด้วยสายตาดูถูก “แม่ไม่ได้เป็นคนเลี้ยงดูหนูสักหน่อย พ่อเซี่ยจวินต่างหากที่เป็นคนเลี้ยงดูหนู แม่อย่าเอาความขี้เกียจสันหลังยาวและความยากจนข้นแค้นของแม่มายัดเยียดให้หนูเลย และการที่แม่พูดให้หนูยอมรับความจนของแม่ หนูรับไม่ได้หรอกนะ! ”
สีหน้าของจางกว่างฝูแย่ลงไปทันที การที่มีคนมาด่าเขาว่า เขาเป็นคนไม่มีอนาคต เขาก็ยังพอทนได้ แต่การที่ลูกสาวของเขามาด่าเขาว่า เขาเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวแบบนี้ เขาทนไม่ได้จริง ๆ อีกทั้งคำพูดนี้มันก็ทิ่มแทงใจของเขาเป็นอย่างมาก และมันก็ทำให้เขาเจ็บจนแทบจะกระอักเลือดเลยทีเดียว
เขาเดินไปเก็บรองเท้าที่เขาเขวี้ยงมันใส่จางฉุ้ยเหลียนก่อนหน้านี้ขึ้นมา จากนั้นเขาก็ฟาดมันลงไปบนไหล่ของจางฉุ้ยเหลียนอย่างแรงในทันที เขาฟาดแรงจนจางฉุ้ยเหลียนถึงกับร้องเสียงหลงออกมา และในตอนนี้จางกว่างฝูก็ไม่สามารถอดกลั้นอารมณ์โกรธของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว เขาด่าทอจางฉุ้ยเหลียนออกไปพร้อมกับฟาดรองเท้าไปบนตัวของเธอไม่ยั้งมือ
เพราะตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนยังอยู่ในวิทยาลัย เธอจึงไม่สามารถโต้กลับจางกว่างฝูได้ เพราะอย่างนั้นเธอจึงทำได้เพียงแค่หลบหลีกและพยายามที่จะไม่ส่งเสียงร้องออกมา
และในตอนนี้ มันก็เป็นเวลาเลิกเรียนพอดี เหล่าบรรดานักศึกษาที่เดินออกมาจากอาคารเรียนต่างก็พากันเดินกลับไปที่หอพักของตัวเอง หรือไม่ก็พากันเดินไปยังโรงอาหาร นั่นจึงทำให้ผู้คนจำนวนมากที่กำลังเดินออกมาจากอาคารเรียนต่างก็เห็นเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทของพวกเขาทั้งสี่คน เกาปินที่เดินออกมาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยความตกใจ จากนั้นหล่อนก็ชี้นิ้วไปทางคนที่กำลังทะเลาะกัน และถามออกไปว่า “นั่นจางฉุ้ยเหลียนไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมถึงได้มีคนมาทำร้ายร่างกายจางฉุ้ยเหลียนแบบนั้นล่ะ ? ”
เมื่อหลี่ม่านได้ยินดังนั้น หล่อนก็รีบพุ่งตัวออกไปทันที ส่วนจางเหว่ยก็รีบวิ่งตามหลี่ม่านออกไปเช่นกัน หล่อนวิ่งออกไปพร้อมกับหันหลังไปตะโกนเรียกเพื่อนที่ยืนอยู่ด้านหลังว่า “พวกเธอยังยืนนิ่งกันอยู่อีกหรือ รีบไปช่วยจางฉุ้ยเหลียวเร็ว อย่าให้คนไม่ดีมารังแกเธอได้เด็ดขาด!”
จางกว่างฝูมองไปทางลูกสาวของตัวเองที่ไม่ว่าเขาจะตีหรือดุด่าเธอมากแต่ไหน เธอก็ไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่นิดเดียว จางกว่างฝูคิดว่าที่จางฉุ้ยเหลียนไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมาหรือไม่ยอมโต้กลับเขา มันอาจจะเป็นเพราะเธอรู้สึกอับอายก็ได้
ทางด้านของเช่าหวา ตอนนี้หล่อนก็กำลังยืนด่าทอพร้อมทั้งถ่มน้ำลายไปทางจางฉุ้ยเหลียน และแต่ละคำที่หล่อนเอ่ยออกมานั้น มันก็ไม่น่าฟังเลยแม้แต่น้อย “ฟาดเลย ฟาดอีก นังเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แกคิดว่าแกเป็นใครกัน หา ? ”
เมื่อเช่าหวาเห็นเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งวิ่งตรงเข้ามา และหล่อนก็คิดว่าพวกเขาจะต้องเหมือนกับคนในหมู่บ้านของหล่อนอย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นเมื่อหล่อนเห็นเด็กเหล่านั้นวิ่งเข้ามา หล่อนจึงคิดว่าพวกเขาก็แค่วิ่งเข้ามามุงดูเหตุการณ์เพียงเท่านั้น เมื่อเช่าหวาเห็นว่าตอนนี้ยิ่งมีคนมามุงดูหล่อนมากเท่าไหร่ หล่อนก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้นเท่านั้น เพราะหล่อนมักจะชอบสั่งสอนลูก ๆ ต่อหน้าคนอื่นอยู่เสมอ อีกทั้งหล่อนก็ยังชอบแสดงนิสัยที่ไม่ดีต่อคนในครอบครัวออกมาให้ทุกคนได้เห็นอีกด้วย
เช่าหวามักจะใช้คำว่า “ฉันอารมณ์ไม่ดี” มาเป็นข้ออ้างเสมอ และสิ่งที่หล่อนรู้สึกภาคภูมิใจที่สุดก็คือ ความสามารถในการแสดงความหยาบคายมากมายของตัวเองออกมาให้ทุกคนได้เห็น
แต่หล่อนกลับคิดไม่ถึงเลยว่าเด็ก ๆ ที่กำลังวิ่งเข้ามาหาหล่อนในตอนนี้ จะไม่เหมือนกับคนในหมู่บ้านของหล่อน เพราะในสายตาของเด็ก ๆ พวกนั้น หล่อนก็คือกลุ่มคนที่กำลังรังแกจางฉุ้ยเหลียนอยู่ในตอนนี้
“ลุงจะทำอะไรคะ ? ” หลี่ม่านพุ่งเข้ามาผลักตัวของจางกว่างฝูออกไปอย่างแรง ส่วนเกาปินก็เดินเข้ามายืนขวางหน้าของจางฉุ้ยเหลียนเอาไว้ จากนั้นหล่อนก็ชี้ไปที่จางกว่างฝูและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “ถ้าลุงยังกล้าลงไม้ลงมือกับเพื่อนของหนูอีก หนูจะแจ้งตำรวจ แล้วอีกอย่างลุงกับป้าเป็นใครกัน มีสิทธิ์อะไรมารังแกคนอื่นแบบนี้ ? ”
ในสายตาของจางกว่างฝู เขาก็เห็นหล่อนเป็นเพียงแค่เด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น เขาจึงไม่ได้สนใจคำพูดของหล่อนแต่อย่างใด เขาเขวี้ยงรองเท้าที่ตัวเองกำลังถืออยู่ลงไปบนพื้นอย่างแรงด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ จากนั้นเขาก็ใช้เท้าเขี่ยมันมาใส่พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ฉันเป็นใครงั้นหรือ? ฉันก็เป็นพ่อของนังเด็กเหลือขอนั่นไง!”
เด็กสาวเหล่านั้นต่างก็พากันอึ้งงันไปในทันที พวกเธอนึกไม่ถึงเลยว่าผู้ชายที่มีนิสัยหยาบคายคนนี้จะเป็นพ่อแท้ ๆ ของจางฉุ้ยเหลียน เมื่อเช่าหวาเห็นเหล่าบรรดาเด็กสาวพวกนั้นต่างก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา หล่อนก็พูดออกไปด้วยความลำพองใจว่า “พวกเธอจะไปไหนก็ไปเลยไป อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น พ่อแม่เขาจะสั่งสอนลูกของตัวเอง ถ้าพวกเธออยากจะดูก็ดูไป แต่ถ้าไม่อยากดูก็ไสหัวออกไปซะ!”
“ฉุ้ยเหลียน พวกเขาเป็นพ่อแม่ของเธอจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ? ” หลี่ม่านช่วยประคองจางฉุ้ยเหลียนไว้ จากนั้นหล่อนก็ถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปด้วยความเป็นห่วง
จางฉุ้ยเหลียนจึงตอบกลับไปด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “พวกเขาเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของฉันเอง!”
เมื่อเช่าหวาได้ยินดังนั้น หล่อนก็พูดขึ้นมาด้วยความลำพองใจอีกว่า “พ่อแกตีแก แกก็ต้องอดทน คนอื่นจะช่วยอะไรแกได้ ต่อให้ตำรวจมา พวกเขาก็ช่วยอะไรแกไม่ได้”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางเด็กสาวเหล่านั้นที่กำลังมองมาทางเธอด้วยสายตาหวาดกลัว อีกทั้งพวกหล่อนก็ยังส่งสายตาแปลก ๆ มาให้เธออีกด้วย เธอคิดว่าถ้าเธอไม่พูดออกไปให้พวกหล่อนเข้าใจในตอนนี้แล้วล่ะก็ ต่อจากนี้ไปชีวิตของเธอในวิทยาลัยแห่งนี้ก็อาจจะไม่มีความสุขก็ได้
จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็พูดออกไปทั้งน้ำตาว่า “ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะเป็นผู้ให้กำเนิดของหนู แต่พ่อกับแม่เคยทำตัวให้สมกับเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของหนูบ้างไหม ? ”
เช่าหวาถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมาทันที “เหลวไหล ทำไม แกกล้าพูดแบบนี้กับพ่อแม่ของแกอย่างนั้นหรือ ? แกไม่ยอมเชื่อฟังฉันใช่ไหม ได้ ! ฉันจะไปหาอธิการบดีของแกเดี๋ยวนี้แหละ และฉันก็จะไม่ให้แกเรียนที่นี่ต่อไปแล้ว!”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินเธอก็ตะโกนออกไปเสียงดังทันที : “ไปเลย แม่ไปเลยสิ!เพราะการที่แม่มาหาหนูในวันนี้ ก็เพื่อที่จะมาลาออกให้หนูไม่ใช่หรือ พอแม่ลาออกให้หนูแล้ว แม่ก็จะเอาหนูไปขายให้คนอื่น แม่ไปเลย ไปเลยสิ! ”
เกาปินถึงกับถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อว่า “นี่มันคืออะไร ? นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ ? ทำไมพ่อกับแม่ของเธอต้องให้เธอลาออกจากวิทยาลัยด้วยล่ะ แล้วทำไมพวกเขาต้องขายเธอด้วย ? ”
จางฉุ้ยเหลียนร้องไห้โฮออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดหน้า “พวกเธอเคยคิดใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมฉันถึงอยากจะออกไปทำงานหาเงินข้างนอก ? แล้วทำไมฉันถึงต้องถักเสื้อไหมพรมขาย อีกทั้งยังต้องไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัยอีก ? นั่นก็เป็นเพราะว่าฉันต้องหาค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเองยังไงล่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว จางกว่างฝูจึงด่าออกไปว่า “แกจะโทษใครได้? ในเมื่อแกเป็นคนอยากเรียนเอง ถ้าแกไม่หาเงินเอง แล้วจะให้เราส่งแกเรียนรึไง ? ฝันไปเถอะ!”
จางฉุ้ยเหลียนดันเหล่าบรรดาเด็กสาวที่ยืนขวางหน้าเธอออกไป จากนั้นเธอก็วิ่งออกไปยืนอยู่ตรงหน้าพ่อกับแม่ของเธอ เธอตะโกนถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า “หนูเรียกร้องให้พ่อกับแม่จ่ายค่าเทอมให้หนูตอนไหนกัน ? ตั้งแต่ที่หนูเกิดมาพ่อกับแม่ก็ส่งหนูไปให้คนอื่นเลี้ยง แล้วอีกอย่างพ่อกับแม่ก็ยังไม่เคยส่งเงินมาให้หนูเลยแม้แต่เฟินเดียวไม่ใช่หรือ ? หลังจากนั้นพ่อกับแม่ก็มารับตัวหนูกลับไปอยู่ด้วย และตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา เงินที่พ่อกับแม่ใช้มันเป็นเงินของพ่อแม่บุญธรรมของหนูทั้งนั้น พวกเขาส่งเงินมาให้ก็เพื่อที่จะได้ส่งหนูเรียน แต่พ่อกับแม่กลับเอาเงินที่พวกเขาส่งมาให้หนูไปสนองความต้องการของตัวเอง และเหลือให้หนูใช้เท่าไหร่ล่ะคะ ? ”
เด็กสาวเหล่านั้นที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้มาก่อน เมื่อพวกหล่อนได้ยินจางฉุ้ยเหลียนพูดเรื่องนี้ออกมาทั้งน้ำตา พวกหล่อนก็ต่างพากันตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“และมันก็ไม่ง่ายเลยกว่าที่หนูจะได้อยู่อย่างสบาย ๆ แบบนี้ แต่พ่อกับแม่กลับจะเอาหนูไปขายให้กับคนอื่น ไม่ใช่ว่าพ่อกับแม่อยากจะได้เงินสินสอดทองหมั้นของพวกเขาหรือ ? หนูเป็นอะไร หนูยังเป็นลูกสาวของพ่อกับแม่อยู่รึเปล่า ? ก่อนหน้านี้ก็กีดกันไม่ให้หนูไปเรียนมหาลัย และตอนนี้เงินค่าเทอมวิทยาลัย พ่อกับแม่ก็ให้หนูเป็นคนจ่ายเอง แล้วพอมาตอนนี้พ่อกับแม่ถึงกับต้องมาทำเรื่องลาออกให้หนู เพราะพ่อกับแม่อยากที่จะขายหนูออกไปและจะได้เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างนั้นหรือ”
และในตอนนี้ นักศึกษาจำนวนมากที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่ในระแวกนี้ ต่างก็เริ่มทยอยกันเข้ามายืนมุงดูเหตุการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งเหล่าบรรดาอาจารย์และยามรักษาความปลอดภัยของวิทยาลัยต่างก็พากันตกใจไม่น้อยเลยเช่นกัน
ทุกคนต่างก็พากันตกใจกับคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน พวกเขานึกไม่ถึงว่าจะมีพ่อแม่แบบนี้อยู่ในสังคมด้วยจริง ๆ
“พอหนูไม่ยอม พ่อกับแม่ก็ตีหนู เพื่อนของหนูปกป้องหนูจากการที่หนูไม่ได้รับความเป็นธรรม พ่อกับแม่ก็จะวิ่งแจ้นไปฟ้องท่านอธิการบดีว่า หนูเป็นเด็กอกตัญญูและไม่เลี้ยงดูพ่อแม่อย่างนั้นหรือ ? พ่อกับแม่ยังมีแผนการอะไรอีก ? ไหน ๆ วันนี้พ่อกับแม่ก็มาหาหนูที่นี่แล้ว พ่อกับแม่ก็พูดออกมาให้หมดเลยสิ พ่อกับแม่ได้รับเงินค่าสินสอดเท่าไหร่ล่ะ ? ให้หนูร่างสัญญาใบแจ้งหนี้เลยไหม ในอนาคตหนูจะคืนเงินจำนวนนั้นให้พ่อกับแม่พร้อมดอกเบี้ยเลยก็ได้!แต่หนูขอร้องพ่อกับแม่อย่างหนึ่ง พ่อกับแม่ปล่อยหนูไปเถอะ! ”
เช่าหวานึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องทั้งหมดมันจะบานปลายมาถึงขนาดนี้ จางฉุ้ยหลียนพูดอ้อนวอนพวกเขาต่อหน้าธารกำนัล อีกทั้งเธอยังพูดเหมือนว่าพวกเขานั้นไม่ใช่คน และก็เหมือนกับว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
“พอได้แล้ว หุบปากของแกไปเลย!เด็กผู้หญิงบ้านไหนเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ ฉันขอถามแกหน่อยเถอะ การที่แกมาเรียนอยู่แบบนี้มันมีประโยชน์มากนักรึไง ? ไม่สู้เท่าแกไปหาคนดี ๆ มาแต่งงานด้วยไม่ดีกว่าหรือ ที่ฉันทำทุกอย่างนี้ มันก็เพื่อตัวของแกเองทั้งนั้น ถ้าแกแต่งงานกับพวกเขา แกก็จะมีเงินมีทอง และชีวิตนี้ก็จะไม่อดตาย สุดท้ายเงินมรดกของพวกเขาก็จะตกมาอยู่ที่แก แล้วแกยังจะไม่พอใจอะไรอีก แกเรียนจบจากที่นี่ไปแล้ว แกจะไปทำอะไรล่ะ ? แกจะไปเป็นครูอย่างนั้นหรือ เป็นครูมันดีตรงไหน ? มันก็เป็นได้แค่พวกดักดานเท่านั้นแหละ!” เช่าหวาโพล่งออกมาอย่างไม่ทันคิด อีกทั้งหล่อนก็ลืมไปด้วยว่าตอนนี้หล่อนกำลังยืนอยู่ในวิทยาลัยครู
แต่หล่อนก็คิดว่านักศึกษาส่วนใหญ่ที่จบออกไปจากที่นี่ ร้อยทั้งร้อยพวกเขาต่างก็ไปสมัครเป็นสิ่งที่หล่อนพูดออกมาจากปากว่า “ดักดาน” กันทั้งนั้น หล่อนไม่แม้แต่จะด่าทอถึงพฤติกรรมของจางฉุ้ยเหลียนแล้วเท่านั้น หล่อนยังพูดออกมาอีกด้วยว่าการที่จางฉุ้ยเหลียนลาออกจากที่นี่ไปแต่งงานกับคนที่มีฐานะดี ๆ นั้น มันก็ดีกว่าการเรียนครูเป็นไหน ๆ
เมื่อเหล่าบรรดาคนที่กำลังยืนมุงดูเหตุการณ์ได้ยินคำพูดของเช่าหวา พวกเขาต่างก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้าทันที จากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันเรียกร้องความยุติธรรมให้กับจางฉุ้ยเหลียน
ในตอนนั้นเอง เหล่าบรรดาอาจารณ์ที่กำลังยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่ในขณะนี้ก็เดินเข้ามาหาจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วไปทางเช่าหวาและพูดออกมาอย่างปกป้องว่า “การที่พวกคุณทำแบบนี้มันผิดกฎหมาย พวกคุณรู้รึเปล่า ? แล้วอีกอย่างฉันไม่เคยเห็นพ่อแม่ที่มีแต่ความโลภแบบนี้มาก่อนเลยด้วย”
เช่าหวากำลังจะอ้าปากพูดตอกกลับไป แต่หล่อนก็ถูกเด็กผู้ชายที่ตอนนี้กำลังโกรธจนเลือดขึ้นหน้า พูดขับไล่พวกเขาทั้งสามคนให้ออกไปจากวิทยาลัยเสียก่อน
หลี่ม่านและคนอื่น ๆ ช่วยกันประคองจางฉุ้ยเหลียนกลับไปที่หอพัก บางคนก็เข้ามาปลอบใจเธอ บางคนก็เอาอาหารมาให้เธอ ในเวลานี้ทุกคนต่างก็สามัคคีกันมากจนรู้สึกผิดปกติ และพวกเขาต่างก็พากันซุบซิบนินทาด้วยความไม่พอใจ
“ไอ้หยา เพื่อชื่อเสียงของตัวเอง ถึงกับต้องใช้ประโยชน์จากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเลยอย่างนั้นหรือ เธอนี่มันแสดงละครได้เก่งจริง ๆ เลยนะ ทำไมไม่ไปเป็นดาราภาพยนต์เลยล่ะ ? ” เฝิงเสี่ยวเจี๋ยที่ได้เห็นเหตุการณ์ที่สนุกสนานเมื่อสักครู่ ก็ได้เดินเข้ามาหาจางฉุ้ยเหลียนพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
จากนั้นหลี่เหยาก็พูดสมทบออกมาอีกว่า “มา ๆ ๆ ให้ฉันดูหน่อย ว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรมมากขนาดไหนกัน!”
MANGA DISCUSSION