ตอนที่ 70 เยี่ยมเยียนบ้านว่าที่คู่หมั้น
เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาในทันที จางฉุ้ยเหลียนเคยเขียนจดหมายมาเล่าให้เขาฟังว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอนั้นเลือดเย็นแตกต่างจากพ่อแม่บุญธรรมที่ดีกับเธอเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเขาได้เห็นเหตุการณ์ในตอนนี้ มันกลับทำให้เขารู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อจางฉุ้ยเหลียนดี เหมือนอย่างที่เธอเขียนจดหมายไปเล่าให้เขาฟังเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่กู้จื้อเฉิงก็เข้าใจความคิดของเซี่ยจวินดี ที่เขาทำแบบนี้ ก็เพราะเขาเป็นห่วงจางฉุ้ยเหลียน เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นท่าทางหวาดกลัวของจางฉุ้ยเหลียน เขาก็รู้สึกปวดใจไม่น้อย ทัศนคติแบบนี้ของพ่อบุญธรรม จางฉุ้ยเหลียนมักจะคิดเสมอว่ามันคือความรัก แล้วพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดที่สร้างความปวดใจให้กับเธอล่ะ พวกเขาจะแสดงออกมาแบบไหนกันถึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนเสียใจได้มากถึงเพียงนี้ ?
“ไม่ต้องหรอกครับ!” กู้จื้อเฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นเขาก็ยื่นตะเกียบออกไปคีบผักดองเข้าปาก “ผมชอบกินอาหารเรียบง่ายแบบนี้แหละครับ ไม่ต้องให้ฉุ้ยเหลียนไปทำอะไรมาเพิ่มก็ได้”
เซี่ยจวินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่พอใจของกู้จื้อเฉิง ถึงแม้ว่าใบหน้าของเซี่ยจวินจะไม่ได้แสดงความรู้สึกพึงพอใจออกมา แต่ในใจของเขานั้นกลับรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาคิดว่าคนที่จะสามารถปกป้องจางฉุ้ยเหลียนได้นั้นมีน้อยมาก แต่เมื่อเขาได้เห็นว่ากู้จื้อเฉิงนั้นให้ความสำคัญกับเธอมากแค่ไหน เซี่ยจวินก็อดที่จะรู้สึกพึงพอใจไม่ได้
ในระหว่างนั้นตงลี่หวาก็ได้ยกไก่ตุ๋นเห็ดหอมเข้ามาเสิร์ฟพอดี เมื่อหล่อนได้ยินประโยคนี้จากปากของกู้จื้อเฉิง หล่อนก็รู้สึกคลายความกังวลไปได้มากเลยทีเดียว
หลังจากที่หล่อนยกอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะแล้ว หล่อนก็คลี่ยิ้มออกมาและพูดขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าวันนี้เป็นวันเกิดของแม่เธออย่างนั้นหรือ งั้นมื้อกลางวันเธอก็คงจะได้กินอาหารดี ๆ มาเยอะแล้วสินะ แต่มื้อเย็นเธอกลับต้องมากินอาหารรสชาติธรรมดา ๆ ที่บ้านของเราแบบนี้ อาหารบ้านเราคงจะไม่ถูกปากเธอเท่าไหร่ !”
กู้จื้อเฉิงจึงได้พูดออกไปอย่างมีความหมายว่า “บ้านของผมก็ทำอาหารเหมือนกับบ้านอื่น ๆ นั่นแหละครับ อีกทั้งในวันฉลองปีใหม่เราก็ทำอาหารแค่ 2 อย่างเพียงเท่านั้น ถ้าคุณป้าบอกว่าอาหารที่บ้านของคุณป้ารสชาติธรรมดา ๆ ล่ะก็ อาหารที่บ้านผมก็คงจะไม่มีรสชาติแล้วล่ะครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างก็เข้าใจความหมายที่กู้จื้อเฉิงต้องการที่จะสื่อดี ที่เขาพูดออกมาแบบนี้ ก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการที่จะบอกกับทุกคนว่าเขานั้นเป็นคนเรียบง่าย อีกทั้งคนในตระกูลกู้ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร และเขาก็ไม่มีทางดูถูกคนอื่นเพียงเพราะเรื่องความจนกับความรวยหรอก
จางฉุ้ยเหลียนนั้นรู้สึกดีใจไม่น้อย ตงลี่หวาเองก็วางใจได้เช่นเดียวกัน มีแต่เซี่ยจวินคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ และในขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารกันอยู่นั้น กู้จื้อเฉิงก็ได้รินเหล้าให้กับเซี่ยจวินเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ เซี่ยจวินเริ่มดื่มหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเมามายว่า “ฉันแซ่เซี่ย ส่วนลูกสาวของฉันแซ่จาง นายรู้ไหมว่ามันเป็นเพราะอะไร ? ”
กู้จื้อเฉิงที่ดื่มหนักเช่นกัน เขาก็พูดออกไปอย่างอย่างโอ้อวดว่า “เรื่องทุกอย่างในอดีตของเธอ ผมรู้ดีครับ ถึงแม้ว่าเธอจะแซ่อะไรก็เหมือนกันนั่นแหละครับ เพราะหลังจากนี้ทุกคนก็จะเรียกเธอว่าคุณนายตระกูลกู้แล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ถึงกับต้องถลึงตามองไปทางกู้จื้อเฉิงในทันที จากนั้นเธอก็โวยวายอยู่ในใจของตัวเองเสียงดังว่า : เป็นชายชาตรี แต่กลับมีจิตใจอ่อนหวานราวกับผู้หญิง เธอเห็นด้วยกับประโยคนี้จริง ๆ
เมื่อตงลี่หวาเห็นว่ากู้จื้เฉิงนั้นดื่มหนักเกินไปแล้ว หล่อนจึงได้รุดหน้าเข้าไปห้ามเขาไว้ในทันที “หยุดดื่มได้แล้ว เดี๋ยวเธอต้องขับรถกลับบ้านนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของภรรยา เซี่ยจวินกลับพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเขาดื่มเยอะ ก็ให้เขานอนค้างที่นี่เสียเลยสิ !”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินดังนั้น เธอก็ตกใจขึ้นมาทันที ตงลี่หวาเองก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาเช่นเดียวกัน จากนั้นหล่อนก็ยื่นมือออกไปผลักเซี่ยจวินและพูดว่า “นอนค้างอะไรกันเล่า ? มีที่นอนที่ไหนกัน ? คุณนี่ คิดอะไรไม่เข้าท่าเอาเสียเลย”
กู้จื้อเฉิงเองก็ตกใจกับคำพูดของเซี่ยจวินไม่น้อย เมื่อเขาได้สติ เขาก็โบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธและพูดออกไปว่า “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร อีกอย่างตอนนี้มันก็ยังไม่ดึกมาเท่าไหร่ ถ้าผมสร่างเมาแล้ว ผมจะขับรถกลับบ้านทันทีเลยครับ !”
เมื่อเซี่ยจวินเห็นทั้งสามคนต่างก็แสดงท่าทางกระวนกระวายใจออกมา เขาก็หัวเราะ ฮ่า ฮ่า ออกมาทันที จากนั้นก็ชี้ไปที่ด้านนอกและพูดขึ้นว่า “แถวนี้จะไม่มีใครขับรถไปส่งเขาที่บ้านได้เลยรึไงล่ะ ? ทำเป็นตกอกตกใจกันไปได้ ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกตกใจ เพราะเซี่ยจวินนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดหยอกล้อกับใคร
หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ กู้จื้อเฉิงก็ดื่มชาเพื่อให้ตัวเองสร่างเมา ตงลี่หวาจึงเดินไปเรียกคบขับรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่ในร้านซ่อมรถมาช่วยขับรถของกู้จื้อเฉิงไปส่งเขาที่บ้าน
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงกลับไปแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เก็บจานและถ้วยบนโต๊ะอาหารไปพลาง และเบะปากพึมพากับตัวเองไปพลางว่า “สิ้นเปลืองจริง ๆ เลย ให้คนหนึ่งขับรถของเขาไปส่งเขาที่บ้าน แล้วยังให้อีกคนขับมอเตอร์ไซค์ตามหลังรถไปอีก ใจกว้างกันเสียจริง! ”
ตงลี่หวาเทอาหารที่เหลือรวมไว้ด้วยกัน จากนั้นก็ยกเข้าไปเก็บในครัว “ก็ตอนนี้มันดึกแล้วไงลูก แล้วอีกอย่างรถโดยสารประจำทางก็ไม่มีแล้ว !”
จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็บ่นพึมพำต่ออีกว่า “แม่น่าจะให้เขาขับรถที่คนเอามาซ่อมกลับไปนะคะ แล้วพรุ่งนี้เช้าก็ให้เขาเอารถมาเปลี่ยน เขาคงจะไม่ไปโม้ว่าตัวเองวิ่งมาในระยะทาง 5 กิโลเมตรเพียงแค่ 20 นาทีหรอกมั้งคะ เหอะ หนูจะคอยดูว่าเขาจะทำได้รึเปล่า ! ”
ตงลี่หวาก็ได้คลี่ยิ้มออกมาและพูดว่า “ถ้าแม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ลูกอยากจะเจอกับเขามากขนาดนี้ แม่ก็คงจะไม่วานให้คนอื่นขับรถไปส่งเขาหรอก เปลืองเงินแถมยังต้องจ่ายค่าน้ำมันให้พวกเขาอีก ลูกก็น่าจะบอกแม่ออกมาตรง ๆ นะ !”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกเขินอายไม่น้อย เมื่อได้ยินผู้เป็นแม่พูดหยอกล้อออกมาแบบนี้ เธอจึงแสร้งทำเป็นผลักตงลี่หวาเบา ๆจากนั้นเธอก็เดินกลับเข้าไปในห้องครัวทันที ทางด้านตงลี่หวา วันนี้หล่อนก็รู้สึกเหนื่อยมากเช่นเดียวกัน หลังจากที่หล่อนล้างมือเสร็จ หล่อนก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
เมื่อหล่อนเดินเข้ามาในห้องแล้ว หล่อนก็เห็นเซี่ยจวินกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนเตียง หล่อนหมุนตัวไปล็อคประตูห้อง จากนั้นก็เดินมาเปิดโทรทัศน์ แต่จู่ ๆ เซี่ยจวินก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ทำไมคุณถึงได้ทำตัวเหมือนคนบ้าแบบนี้ล่ะ ? ”
ตงหลี่หวาถูฝ่ามือของตัวเองไปมา จากนั้นหล่อนก็หันไปถามสามีของตัวเองด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า “เด็กหนุ่มคนนี้ คุณคิดว่าเขาเป็นยังไงบ้างคะ ? ”
เซี่ยจวินเอาแต่ดื่มชาเข้าไปอึกใหญ่ เพราะไม่อยากที่จะพูดความจริงกับภรรยาของตัวเองออกไป
เมื่อเห็นท่าทางของเขา ตงลี่หวาจึงรีบรุดขึ้นมาด้วยความร้อนใจ จากนั้นหล่อนก็แย่งแก้วชาจากมือของเซี่ยจวินมาถือไว้ ก่อนจะกัดฟันกรอดด้วยความโกรธและพูดขึ้นว่า “คุณอยากจะตายเร็ว ๆ ใช่ไหม!”
เซี่ยจวินคลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “เด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่เลวเลย ดูท่าทางเขาจะแข็งแรงกว่าเด็กหนุ่มคนที่มาบ้านของเราก่อนหน้านี้อีก !”
ตงลี่หวาขมวดคิ้ว และถามออกไปด้วยความสงสัยว่า “แต่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้เลยนะ ? อย่างน้อยเด็กหนุ่มคนที่เคยมาบ้านเราก่อนหน้านี้ เขาก็ยังแนะนำตัวเอง อีกทั้งยังพูดถึงเรื่องครอบครัวของตัวเองให้พวกเรารู้อีกด้วย แล้วอีกอย่างสถานะทางบ้านของเขาเป็นอย่างเราเองก็รู้ บ้านของเขาก็อยู่ใกล้เรา และที่บ้านของเขาก็มี พี่ ๆ น้อง ๆ เวลาที่มีปัญหาอะไรก็จะได้ช่วยเหลือกันได้ไม่ใช่หรือ”
เซี่ยจวินเบะปาก และพูดออกไปว่า “แต่ละบ้านเป็นยังไง เธอเองก็เห็นมากับตาแล้วไม่ใช่หรือ มีพี่ ๆ น้อง ๆ แล้วยังไงล่ะ ? เธอก็เห็นว่าเรามีพี่น้องตั้ง 7-8 คน แล้วมีใครบ้างไหมที่อยากจะดูแลผู้สูงอายุ ? เธอดูอย่างฉันสิ ฉันไร้ประโยชน์มากกว่าเขาเสียอีก !”
ตงลี่หวาขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “ฉันไม่เข้าใจ แต่ฉันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ คุณดูจางฉุ้ยเหลียนสิ วัน ๆ เธอก็เอาแต่วิ่งแจ้นเข้าไปในเมือง วันนี้เธอทำผ้าพันคอไปให้พ่อของเขา พรุ่งนี้เธอก็ถักเสื้อไปให้แม่ของเขา แล้วไหนจะน้องสาวของเขาอีก ฉุ้ยเหลียนไปประจบประแจงเอาใจพวกเขามากเกินไปรึเปล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยจวินจึงโต้แย้งกลับไปทันทีว่า “เธอจะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้ !เพราะลูกของเราเป็นคนยินยอมเองไม่ใช่หรือ ? เธอดูไม่ออกรึไงล่ะ ? ถ้าลูกของเราไม่ชอบเขา ใครจะไปบังคับลูกของเราได้ ? ”
ตงลี่หวาหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที “ก็ฉันกังวลนี่!เรื่องที่ลูกของเราเป็นคนยินยอมเอง เรื่องนี้ฉันเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอจะต้องเอาใจใส่ครอบครัวของเขามากขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ เรื่องการแต่งงานมันคือทั้งชีวิตของเธอนะ เธอจะต้องประจบสอพลอครอบครัวของเขาไปตลอดชีวิตเลยรึไง ? ”
เซี่ยจวินจึงถามขึ้นด้วยความกลัดกลุ้มใจออกไปว่า “เมื่อกี้ที่ฉันเห็นท่าทางของเธอ เธอไม่ค่อยพอใจเขาอย่างนั้นหรือ ? ”
ตงลี่หวาทอดถอนใจออกมา “ฉันพอใจเด็กหนุ่มคนนี้นะ ดูท่าแล้วน่าจะดีกว่าเด็กหนุ่มจากตระกูลกัวที่เคยมาที่บ้านของเราก่อนหน้านี้ไม่น้อยเลย ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มตระกูลกัวคนนั้นมีหน้าตาที่หล่อเหลา ปากก็หวานจนชวนเลี่ยน แถวยังเอาการเอางาน ทุกอย่างมันดูสมบูรณ์แบบไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริงเลย”
เมื่อตงลี่หวาพูดถึงกัวเจี้ยนจวินแล้ว หล่อนก็พูดถึงกู้จื้อเฉิงต่อว่า “เด็กหนุ่มตระกูลกู้คนนี้ก็ไม่เลวเลย แต่คนในบ้านของเขากลับไม่น่าพอใจเท่าไหร่นัก เมื่อดูพื้นเพทางครอบครัวแล้ว ครอบครัวเราไม่เหมาะสมกับครอบครัวของเขาหรอก ฉันคิดว่าเด็กหนุ่มตระกูลกัวนั้นดีกว่า เพราะถึงอย่างไรฉุ้ยเหลียนของเราก็ดีกว่าครอบครัวของเขาในทุก ๆ ด้าน พวกเขาจะต้องเอาใจพวกเราอย่างแน่นอน และพวกเขาก็จะต้องไล่ตามจางฉุ้ยเหลียนไปตลอดชีวิต !”
ถึงตงลี่หวาจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ในคำพูดเหล่านั้นมันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกของคนเป็นแม่ ด้วยความที่จางฉุ้ยเหลียนนั้นถูกคนที่บ้านของเธอข่มเหงรังแกมาโดยตลอด เธอยังจะต้องถูกพ่อแม่สามีข่มเหงรังแกอีกอย่างนั้นหรือ ? เธอต้องเอาใจใส่บ้านของตัวเองมาตลอด 20 ปี แล้วเธอยังต้องไปเอาใจใส่บ้านของแม่สามีอีก และการที่เธอก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป ถ้าบอกว่าเธออายุยืนได้ หล่อนก็คงจะแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เซี่ยจวินไม่ใช่คนที่จะไม่คอยสังเกตอะไรเลย และเขาก็รู้สึกว่ากู้จื้อเฉิงนั้นเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว เขาจึงพูดตอบกลับภรรยาของเขาออกไปด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “กว่าจางฉุ้ยเหลียนจะเรียนจบก็อีกตั้ง 2 ปี เธออย่าเพิ่งกังวลไปเลย ให้พวกเขาลองคบกันไปก่อน ถ้าไม่ดีก็ค่อยใส่ตะกร้าล้างน้ำใหม่ก็ได้ ”
ตงลี่หวาเป็นหญิงสาวที่ยึดติดในเรื่องจารีตประเพณีมาก เมื่อได้ยินดังนั้น หล่อนก็รู้สึกตกใจขึ้นมาไม่น้อย “ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกันเล่า ? แบบนี้เธอก็กลายเป็นตัวตลกของคนอื่นน่ะสิ ? แล้วอีกอย่างคุณก็เห็นว่าเด็กหนุ่มตระกูลกู้ก็อายุมากแล้ว ถ้าขืนเขายังรอให้จางฉุ้ยเหลียนเรียนจบแล้วค่อยแต่งงาน คนในตระกูลกู้จะไม่มาหาเรื่องคุณอย่างนั้นหรือ ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยจวินก็หัวเราะออกมา “ไอ้หยา หารงหาเรื่องอะไรกันล่ะ ? ฉุ้ยเหลียนได้ของจากพวกเขามาแล้ว หรือว่าแม่ของเธอได้สินสอดทองหมั้นมาจากพวกเขาแล้วกันล่ะ ? ความจริงแล้ว ……….”
เดิมทีเรื่องนี้ก็ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ในตอนนี้กู้จื้อเฉิงก็กลับมาถึงบ้านของตัวเองด้วยอาการมึนเมาเล็กน้อย เมื่ออันหลงถามเขาออกไป ทุกคนก็ได้รู้เรื่องที่เขาไปบ้านของว่าที่ลูกสะใภ้มา
ตระกูลกู้และตระกูลเซี่ยต่างก็เข้าใจความรู้สึกของเด็กทั้งสองคนเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่เหล่าบรรดาญาติพี่น้องของทั้งสองตระกูลต่างก็พากันอวยพรเรื่องแต่งงานของพวกเขาทั้งสองคนยกใหญ่
ปัญหาที่คนในตระกูลเซี่ยกำลังคิดอยู่ในขณะนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย เพราะเธอนั้นก็ได้ทำเรื่องที่ไม่สมควรต่อหน้าพิธีศพของคุณตาของเธอไปแล้ว และตอนนี้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอก็คงจะเกลียดเธอจนอยากจะตัดความสัมพันธ์กับเธอแล้วล่ะ ส่วนเรื่องที่ว่าเธอจะแต่งงานกับใครมันก็คงจะไม่สำคัญกับพวกเขาแล้ว
และในตอนนี้เธอก็เริ่มเก็บสะสมเงินค่าต้นฉบับบทความและนิยายของเธอแล้ว เพราะเมื่อถึงวันแต่งงาน เช่าหวาผู้เป็นดั่งสิงโตเขมือบก็คงจะต้องการเงินสินสอดทองหมั้นของเธออย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงต้องเก็บเงินส่วนนี้เอาไว้ให้กับตัวเองในอนาคต
กู้จื้อเฉิงกลับเข้ากรมทหารด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ เขาเดินฮัมเพลงเข้าไปในห้องทำงาน เมื่อจิ้นเหวินเห็นท่าทางของกู้จื้อเฉิงในวันนี้ เขาก็รู้สึกตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว จากนั้นก็เอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “ดูจากอารมณ์ของนายวันนี้แล้ว ไม่ทราบว่ากำลังจะไปขอสาวบ้านไหนเป็นภรรยาล่ะ!”
กู้จื้อเฉิงไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากเดินเข้าไปล็อคคอของจิ้นเหวินพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาเพียงเท่านั้น จิ้นเหวินนั้นเป็นนักเรียนทหารที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก อีกทั้งตอนนี้เขาก็กำลังเรียนอยู่ในระดับผู้บังคับบัญชาอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นสมรรถภาพทางด้านร่างกายของเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่ากู้จื้อเฉินแต่อย่างใด บวกกับที่วันนี้กู้จื้อเฉิงมีความกระตือรือร้นสูงด้วยแล้ว เขาจึงจัดการซัดจมูกศัลยกรรมของจิ้นเหวินจนบวมเป่ง อีกทั้งเขายังสั่งให้นายทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพาตัวจิ้นเหวินออกไปสั่งสอนอีกด้วย
ทางด้านตระกูลจาง ตอนนี้เช่าหวาก็กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการหาคู่ให้กับจางฉุ้ยเหลียน
“ไม่ได้ !ถึงแม้ว่าบ้านของพวกเขาจะใหญ่โต แต่พวกเขาก็เพิ่งจะสร้างบ้านเมื่อปีที่แล้วนี่เอง !” เมื่อเช่าหวาเดินเข้ามาในบ้าน หล่อนโบกมือไปมาด้วยท่าทางหยิ่งยโสโอหังให้กับแม่สื่อในทันที
จางกว่างฝูขมวดคิ้ว พร้อมกับถามออกไปว่า “แล้วบ้านหลังใหญ่ ๆ มันไม่ดีอย่างนั้นหรือ ? ”
แม่สื่อเองก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ! เธอก็เห็นบ้านหลังใหญ่ปูกระเบื้อง 6 ห้องนอนพร้อมกับลานบ้านขนาดใหญ่ของพวกเขาแล้วไม่ใช่หรือ อีกทั้งลานขนาดใหญ่ด้านหลังบ้านพวกเขาก็ยังปลูกบ้าน 3 ห้องนอนให้กับลูกชายและลูกสะใภ้ของพวกเขาอีกด้วย มันดีมากเลยนะ พวกเขาเทพื้นปูนทั้งบ้านเลย ไอ้หยา ขนาดฉันยังไม่กล้าที่จะย่างเท้าเข้าไปเหยียบในบ้านของพวกเขาเลย! ”
เช่าหวาเบะปาก จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “เธอไม่เข้าใจหรอก ถ้าพวกเขามีเงินจริง ๆ พวกเขาก็คงสร้างบ้านไปนานแล้วล่ะ แต่นี่อะไรเพิ่งจะมาสร้างเมื่อปีที่แล้วเอง แล้วพวกเขาจะเหลือเงินสินสอดเท่าไหร่ล่ะ ? ”
แม่สื่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นก็คลี่ยิ้มและพูดขึ้นว่า “เธอนี่มันฉลาดจริง ๆ ฉันคิดไม่ถึงเลยนะเนี่ย !”
เช่าหวาไม่ได้สนใจคำพูดเยาะเย้ยของอีกฝ่ายแต่อย่างใด จากนั้นหล่อนพูดขึ้นมาด้วยท่าทางลำพองใจว่า “งั้นเธอคอยดูแล้วกัน ถึงเรื่องอื่นฉันจะไม่เก่ง แต่เรื่องสมอง ฉันปราดเปรื่องมากเลยนะ ฉันวานให้เธอไปสืบดูชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาหน่อยแล้วกัน ไปดูคู่หมายหาให้ฉันก่อนว่าเขาเป็นคนอย่างไร ถ้าถูกใจ ฉันก็จะให้ฉุ้ยเหลียนไปที่บ้านของเขาในวันฉลองปีใหม่”
แม่สื่อขมวดคิ้วขึ้นมาทันที จากนั้นหล่อนก็ถามออกไปด้วยความสงสัยว่า “อา ? เธอจะไปเยี่ยมเยียนบ้านว่าที่คู่หมั้นก่อนอย่างนั้นหรือ ? เธอจะไปหาพ่อแม่ฝ่ายชายก่อนได้อย่างไรกัน ? เธอไม่พาลูกสาวไปด้วย พวกเขาจะยอมตกลงเรื่องงานแต่งงานไหมล่ะ ? ”
เช่าหวาเบะปากอย่างเสียอารมณ์ “งั้นเธอก็คอยดูแล้วกันว่าพวกเขาจะยอมไหม เพราะหลังจากนนี้อีก 1 ปี ลูกสาวของฉันก็จะเรียนจบแล้ว หลังจากนั้นลูกสาวของฉันก็จะทำงานในองค์กรหรือว่าเป็นครูสอนในโรงเรียน และอีกอย่างเราก็เดินทางไปแต่งงานที่บ้านในชนบทของพวกเขาได้ !”
เมื่อแม่สื่อได้ยินคำพูดนี้ หล่อนก็ถึงกับพูดไม่ออกในทันที นอกจากเบะปากและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอย่างเย็นชาว่า “ลูกสาวของพวกเธอมีเงินมากขนาดนั้นเลยหรือ ? ทำไมจะต้องไปแต่งงานในชนบทด้วยล่ะ ? ”
เช่าหวาทอดถอนหายใจออกมา “ไอ้หยา เธอนี่มันไม่เข้าใจอะไรเลยจริง ๆ นะ ในเมืองตอนนี้ชายหญิงต่างก็เท่าเทียมกันแล้ว ใครเขาจะมาสนใจกันเรื่องสินสอดทองหมั้นกันล่ะ ? ไม่เพียงแต่จะไม่ต้องให้เงินสินสอดก็ได้แล้วเท่านั้น ครอบครัวฝ่ายหญิงยังต้องออกเงินไม่น้อยเลยด้วย ”
MANGA DISCUSSION