ตอนที่ 65 เสื้อใหม่
จางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้นพร้อมกับพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “คุณป้าคะ สุขสันต์วันเกิดนะคะ!”
อันหลงชี้ไปทางจางฉุ้ยเหลียนและพูดกับเหล่าบรรดาญาติ ๆ ของหล่อนที่อยู่ด้านหลังว่า : “เด็กคนนี้ชื่อ จางฉุ้ยเหลียน ตอนนี้เป็นนักศึกษาอยู่ในวิทยาลัยครู” เมื่อพูดจบหล่อนก็พูดโม้โอ้อวดกับเหล่าบรรดาญาติ ๆ ของหล่อนออกไปอีกว่า “แล้วตอนนี้นิยายกับบทความของเธอก็ได้ตีพิมพ์ลงบนหน้าหนังสือพิมพ์ประจำมณฑล แล้วก็นิตยสารด้วยนะ!”
ใบหน้าของอันหลงในตอนนี้ก็แสดงออกมาว่าหล่อนนั้นรู้สึกมีความสุขมากจริง ๆ ที่หล่อนได้รู้จักกับคนที่ยอดเยี่ยมอย่างจางฉุ้ยเหลียน
จางฉุ้ยเหลียนจำหน้าแขกที่เดินเข้ามาในบ้านเหล่านั้นได้ พวกเขาเป็นญาติของตระกูลกู้ ครอบครัวของพวกเขานั้นมีฐานะที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนดี แต่พวกเขาก็มีความประจบสอพลอเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน
จางฉุ้ยเหลียนนั้นชอบนิสัยนี้ของอันหลงมาก เพราะเมื่อไหร่ที่บ้านของหล่อนมีเสื้อผ้าที่หล่อนไม่ใส่แล้ว หล่อนมักก็จะส่งต่อเสื้อผ้าเหล่านั้นไปให้กับพวกเขาเสมอ ๆ ถึงแม้ว่าหล่อนจะเป็นคนที่ชอบเอะอะโวยวาย แต่หล่อนก็แสดงออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด
หล่อนมักพูดว่า : ให้ข้าว 1 เม็ด ซาบซึ้งในพระคุณ ให้ข้าว 1 ครั้ง จากศัตรูกลายเป็นมิตร เมื่อก่อนจางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจสิ่งที่หล่อนต้องการที่จะสื่อ แต่ตอนนี้เธอก็ได้เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ตระกูลกู้นั้นได้ส่งต่อของใช้ในชีวิตประจำวันบางส่วนที่พวกเขาไม่ใช้แล้วให้กับคนเหล่านี้ไม่น้อยทีเดียว ซึ่งตระกูลกู้เองก็ได้รับของจากพวกเขาคืนมาไม่น้อยเลยเช่นกัน แค่ดูจากนิสัยของสองพ่อลูกตระกูลกู้ก็น่าจะรู้แล้วว่า พวกเขาทั้งสองคนนั้นก็มักจะควักเงินของตัวเองช่วยเหลือญาติพี่น้องอยู่เสมอ ๆ แต่หลังจากที่พ่อของกู้จื้อเฉิงได้จากโลกนี้ไป กู้จื้อเฉิงจึงได้ทำร้ายตัวเองด้วยการผันตัวไปเป็นคนขับรถแท็กซี่ และญาติพี่น้องเหล่านี้ก็คอยแต่พูดจาแดกดัน และเอาแต่ซ้ำเติมเขา
เมื่อได้เห็นญาติพี่น้องของพวกเขาในตอนนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็มองเห็นถึงความรักใคร่กลมเกลียวกันมากเลยทีเดียว
“ไอ้หยา เก่งจังเลย!” เมื่อได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนนนั้นเก่งมากแค่ไหน ภรรยาของเหล่าบรรดาญาติของตระกูลกู้ก็อดที่จะพูดชื่นชมเธอออกมาไม่ได้ พวกหล่อนต่างพากันมองพิจารณาจางฉุ้ยเหลียนตั้งแต่หัวจรดเท้า “หน้าตาก็ดีอีกต่างหาก!”
“พี่สะใภ้ หล่อนเป็นญาติฝ่ายไหนของพี่อย่างนั้นหรือ ? ” จู่ ๆ ก็มีคนถามถึงสถานะของจางฉุ้ยเหลียนออกมาด้วยความอยากรู้ เมื่อได้ยินดังนั้น อันหลงก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นหล่อนก็ครุ่นคิดหาคำตอบให้กับคำถามนี้อยู่เนิ่นนาน
จางฉุ้ยเหลียนเม้มปากก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา : “หนูเป็นเพื่อนกับเสี่ยวชิวค่ะ วันนี้ตั้งใจมาอวยพรวันเกิดให้กับคุณป้า” เมื่อพูดจบเธอก็หยิบถุงที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาขึ้นมา จากนั้นก็ล้วงมือเข้าไปหยิบเสื้อคลุมที่อยู่ในถุงออกมา และยื่นมันไปให้กับอันหลง “คุณป้าคะ นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่หนูทำมาให้คุณป้าค่ะ!”
อันหลงรู้ว่านี่เป็นเสื้อคลุมที่จางฉุ้ยเหลียนเป็นคนถักเอง อีกทั้งในตอนนี้ก็ยังมีแขก “ที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน” จากชนบทอยู่ในบ้านนี้ด้วย หล่อนจึงคลี่ยิ้มและยื่มมือออกไปรับมัน ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เด็กคนนี้นี่ แค่เธอมาป้าก็ดีใจมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาของขวัญมาให้หรอก เธอยังหาเงินไม่ได้เลย อีกอย่างเธอก็ยังเป็นแค่เด็กนักศึกษา!”
ถึงแม้ว่าจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่หล่อนก็ยังกางเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาดู กู้จื้อเฉิงจึงได้เอ่ยปากชวนเหล่าบรรดาแขกเหล่านั้นให้นั่งลง ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็รินน้ำชาให้ทุกคนด้วยความเคยชิน
“เอ๊ะ ? ทำไมเสื้อไหมพรมถึงได้ผ่าหน้าแบบนั้นล่ะ ? ” เมื่ออันหลงกางเสื้อตัวนั้นออก หล่อนก็พูดออกมาเสียงแหลม นั่นจึงทำให้ผู้คนที่นั่งอยู่ในห้องโถงต่างพากันตกใจไปตาม ๆ กัน
“สีสันของมันสวยงามมากเลย แต่เสื้อตัวนี้ไม่มีกระดุม แล้วจะใส่ยังไงล่ะ ? ”
เมื่อมีคนสงสัย อันหลงจึงได้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงภูมิใจว่า “นี่คือเสื้อคลุมไหล่ต่างหากล่ะ”
แต่ก็ยังมีคนสงสัยขึ้นมาอีกว่า : “ไอ้หยา ! เสื้อแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมในเมืองตอนนี้อย่างนั้นหรือ? ซื้อในห้างสรรพสินค้าใช่ไหม ราคาเท่าไหร่ล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนจัดระเบียบเสื้อผ้าให้กับอันหลงด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ในเมืองมีเสื้อแบบนี้ขายที่ไหนกันล่ะคะ นี่เป็นแบบเสื้อที่กำลังเป็นที่นิยมในต่างประเทศต่างหาก หนูเห็นจากในนิตยสารว่าบรรดานางแบบในต่างประเทศใส่เสื้อแบบนี้กัน ก็เลยฝึกถักมาเป็นของขวัญให้คุณป้าน่ะค่ะ! ”
จางฉุ้ยเหลียนสำรวจเสื้อคลุมนั้นอีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “รูปแบบพอใช้ได้ คุณป้ามีสร้อยรึเปล่าคะ มันจะได้เข้ากัน!”
อันหลงเองก็รู้สึกสนใจไม่น้อย หล่อนลากจางฉุ้ยเหลียนเข้าไปในห้องนอนด้วยความตื่นเต้น หลังจากที่ปิดประตูแล้ว หล่อนก็ยังได้ยินเสียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านนอกต่างพากันส่งเสียงชื่นชมเสื้อตัวนี้ด้วยความตื่นเต้นดังเข้ามาในห้องเป็นระยะ ๆ และก็มีบางคนเข้าไปสอบถามเรื่องนี้จากกู้จื้อเฉิงด้วยความอยากรู้ด้วยเช่นกัน
“ฉุ้ยเหลียน ฝีมือของหนูดีมากจริง ๆ ” อันหลงยืนส่องเงาของตัวเองในกระจก หล่อนมองซ้ายที มองขวาทีด้วยความรู้สึกพึงพอใจ
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าอันหลงนั้นหลงไหลคลั่งไคล้อะไร เธอยิ้มและถามขึ้นว่า “คุณป้าคะ คุณป้ามีกระโปรงยาวไหมคะ ? เป็นกระโปรงที่เข้ารูปสักหน่อยน่ะค่ะ ? ”
อันหลงคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นหล่อนก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า “ป้าจะบอกเธอหนูให้นะ ป้ามีกระโปรงผ้าขนอยู่แค่ตัวเดียวเอง และป้าก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ป้ายังจะใส่มันได้อยู่รึเปล่า!”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้เห็นกระโปรงตัวนั้น เธอก็ถึงกับตาลุกวาวขึ้นมาในทันที เพราะรูปทรงของมันนั้นเป็นทรงแบบย้อนยุค มันมีทรงคล้ายกับชุดกี่เพ้า แต่มันไม่ได้ผ่าข้างหรือผ่าหลังแต่อย่างใด อีกทั้งมันก็มีความยาวคลุมเข่าพอดีอีกด้วย
ท่อนล่างเป็นกระโปรงเข้ารูปสีชมพูดอกบัว ส่วนท่อนบนก็คลุมด้วยเสื้อคลุมไหล่ที่จางฉุ้ยเหลียนถักเอง เมื่ออันหลงใส่สร้อยคอมุกเข้าไปด้วยแล้ว ตอนนี้หล่อนจึงเหมือนกับคุณหญิงที่ดูมีฐานะร่ำรวยขึ้นมาในทันที
“จะว่าไป คุณป้าก็ดูดีมากเลยนะคะ!” อันหลงส่องดูตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะแต่งตัวสวยมากแค่ไหน หล่อนก็ขอแค่อย่าให้ขาเปลือยเปล่าโผล่พ้นออกมาสัมผัสกับอากาศหนาวเย็นรอบกายเพียงเท่านั้น เพราะวันนี้อากาศข้างนอกนั้นก็หนาวจัด แต่หลังจากนี้อีกครึ่งเดือนอากาศก็คงจะอุ่นขึ้นแล้ว และหล่อนก็คงจะไม่ได้ใส่ชุดนี้อีก
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมาและพูดว่า “คุณป้าใส่กางเกงเลกกิ้งข้างในด้วยก็ได้นะคะ”
อันหลงลำบากใจเล็กน้อย “กางเกงเลกกิ้งของป้ามันใหญ่เกินไป ไม่สวยหรอก!”
จางฉุ้ยเหลียนยกมือขึ้นมาปิดปาก จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “คุณป้าคะ คุณป้าก็ใส่ตัวที่มันเล็กกว่านี้สิคะ หรือคุณป้าจะใส่กางเกงในช่วงฤดูใบไม้ผลิก็ได้ค่ะ คุณป้าลองใส่กางเกงของเสี่ยวชิวดูสิคะ! ”
อันหลงเพิ่งคิดได้ จากนั้นหล่อนจึงรีบวิ่ง ตึง ๆ เข้าไปในห้องนอนของกู้จื้อชิวในทันที จากนั้นหล่อนก็หยิบกางเกงเลกกิ้งของลูกสาวออกมา เมื่อใส่เข้ากับรองเท้าหนังขนาดเล็กแบบมีเชือกผูกแล้ว ทุกอย่างก็ออกมาสมบูรณ์แบบมากทีเดียว
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ให้หนูทำผมให้กับคุณป้านะคะ!” จางฉุ้ยเหลียนรีบเข้าไปดึงแขนของอันหลงเอาไว้ก่อนที่หล่อนจะเดินออกไปนอกห้อง
ตอนที่อันหลงยังเป็นวัยรุ่น เส้นผมของหล่อนนั้นก็ดูสุขภาพดีมากทีเดียว เพราะมันทั้งดำ ทั้งเงางาม จางฉุ้ยเหลียนได้ทำการถักเปียก้างปลาให้กับหล่อน และมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากทรงผมของตงลี่หวาในครั้งที่แล้วที่เธอทำให้กับหล่อนแต่อย่างใด เธอทำการถักเปียทั้งสองข้างยาวไปจนถึงด้านล่าง เพื่อเป็นการเปิดใบหน้าของอันหลงให้ดูเด่นชัดมากยิ่งขึ้น จากนั้นก็ติดกิ๊บให้แน่น
ปกติแล้วอันหลงก็ค่อนข้างใส่ใจกับเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเองเป็นอย่างมาก จางฉุ้ยเหลียนหยิบดินสอเขียนคิ้วมาเขียนลงไปบนคิ้วของหล่อน จากนั้นเธอก็หยิบแป้งทรงไข่เป็ด และครีมรองพื้นขอแบรนด์ไต้ชุนหลิน อีกทั้งก็ยังมีผงหอมแบรนด์ “สี๋เฟิ่ง” ครีมทาแก้มแบรนด์ “ว้านซู่เชียนหง” และ “อี้เหมย”จากบนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาแต่งหน้าให้กับอันหลง
จางฉุ้ยเหลียนใช้ครีมรองพื้นทาเป็นพื้นฐานให้กับใบหน้าของอันหลงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ใช้ดินสอเขียนคิ้วชนิดครีมวาดเป็นโครงให้กับหล่อน แต่เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเปิดตลับอายแชร์โดของอันหลงออกมา ภาพที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าก็ทำให้เธอถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว เพราะสีฟ้าและสีเขียวเป็นสีที่ค่อนข้างทันสมัยมากในตอนนี้
อันหลงเตือนเธอในเรื่องการใช้เจ้าสิ่งนี้ จางฉุ้ยเหลียนกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและพูดว่า : “สีนี้ไม่เข้ากับเสื้อผ้าในวันนี้ของคุณป้าหรอกค่ะ!” อันหลงได้แต่ครุ่นคิดเล็กน้อย แต่สุดท้ายหล่อนก็ปล่อยให้จางฉุ้ยเหลียนทำต่อไป
จางฉุ้ยเหลียนใช้สีดำผสมกับสีม่วงเล็กน้อย จากนั้นก็ทาลงไปบนเปลือกตาของอันหลงให้ดูราวกับว่าตอนนี้หล่อนยังเป็นวัยรุ่นอยู่ อีกทั้งมันก็ไม่เด่นเกินไปสำหรับอันหลงอีกด้วย เพราะดวงตาของหล่อนกลมโตมาก เธอจึงไล่สีของอายแชร์โดว์จากเบ้าตาไปจนถึงหางตา และมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับมีเส้นตาเล็กน้อย ทำให้ตาของหล่อนดูกลมโตมากยิ่งขึ้น
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ใช้สีแดงแต่อย่างใด เพราะใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยสีแดงนั้นดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นัก ส่วนสีปากของหล่อน จางฉุ้ยเหลียนก็ใช้สีแดงทาลงไปบาง ๆ เพื่อไม่ให้สีของมันเด่นชัดออกมา แต่แค่เป็นการเพิ่มมิติให้กับใบหน้าเท่านั้น เมื่อแต่งหน้าเสร็จแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็หยิบผงหอมออกมา เธอบอกให้อันหลงหลับตา จากนั้นเธอก็ทำการเป่าผงหอมไปทางอันหลงเบา ๆ ผงหอมก็มีความสำคัญกับการแต่งหน้ามากเลยทีเดียว ก็เหมือนกับการทำอาหารที่ต้องใช้น้ำมัน
หลังจากที่เก็บกวาดทุกอย่างเสร็จแล้ว อันหลงก็คิดอยากจะพรมน้ำหอมเล็กน้อย แต่เมื่อหันไปเห็นน้ำอบหอมที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง จางฉุ้ยเหลียนจึงได้แต่ส่ายหน้า : “ไม่ต้องแล้วล่ะค่ะ!”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทันใดนั้นพวกเธอทั้งสองคนก็ได้เสียงเจื้อยแจ้วของกู้จื้อชิวที่ดังมาจากห้องรับแขก จากนั้นไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง กู้จื้อชิววิ่งเข้ามาและพูดว่า “พวกญาติ ๆ บอกว่าเสื้อที่แม่ใส่สวยมาก……..”
“ไอ้หยา สวยมาก! แม่คะ แม่ดูเหมือนภรรยาของคนรวยในละครโทรทัศน์เลย!” กู้จื้อชิวตะโกนร้องออกมาด้วยความตกตะลึง แต่การพูดเปรียบเทียบของหล่อนนั้นก็ทำให้พ่อของหล่อนอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
แต่อันหลงพอใจกับการพูดเปรียบเทียบของลูกสาวเป็นอย่างมาก หล่อนตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูสง่าผาเผย แต่ก็ไม่วายชำเลืองตามองไปทางลูกสาวด้วยสายตาโกรธเคืองเล็กน้อยว่า “จะตะโกนทำไม ? ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย!”
กู้จื้อชิวลากแขนของจางฉุ้ยเหลียนมาด้านข้าง จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “จางฉุ้ยเหลียน พี่เก่งมากเลย พี่ถักเสื้อให้ฉันสักตัวสิ วันเกิดของฉันอยู่ห่างกับแม่อีกตั้งหลายเดือน ฤดูหนาวโน้นแน่ะ!”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มและพยักหน้า “ได้ ฉันจะกลับไปถักเสื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้กับเธอนะ! ”
อันหลงอยากเดินออกไปโชว์ตัวให้กับคนที่อยู่ด้านนอกได้ดูใจจะขาด เมื่อคิดได้ดังนั้น หล่อนก็รีบเดินออกไปที่ห้องรับแขกทันที เสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชมของแขกที่มาเยือนต่างก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่กู้จื้อเฉิงที่เอาแต่เงียบมาโดยตลอดก็ได้แต่นั่งส่งยิ้มไปทางแม่ของตัวเองเช่นเดียวกัน เขาคิดในใจว่าแม่ของเขานั้นเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้เลยทีเดียว
“ไอ้หยา เด็กสาวคนนี้เก่งจริง ๆ เลย เหมือนกับแสดงมายากลอย่างไรอย่างนั้น ไอ้หยา คำนั้นเรียกว่าอะไรนะ…..การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต! ” ภรรยาอ้วนเตี้ยที่ไว้ผมทรงนักเรียน หนึ่งในบรรดาสะใภ้เหล่านั้นก็พูดขึ้นมา จางฉุ้ยเหลียนจำได้ว่าหล่อนคือคุณอาหก
เธอยิ้มและพูดต่อว่า “จากที่คุณอาหกพูด ความจริงแล้วมันเป็นเพราะลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของคุณป้าต่างหากล่ะคะ หล่อนมีกลิ่นอายความร่ำรวยอยู่ในตัว จะแต่งตัวยังไงก็ออกมาดูดีทั้งนั้นแหละค่ะ! ”
อันหลงนั่งยิ้มอย่างสง่าผาเผยอยู่บนโซฟา และพูดคุยกับทุกคน
ในตอนนั้นเองกู้เต๋อไห่ก็ได้เดินเข้ามา เขามองพิจารณาอันหลงตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็พยักหน้าอย่างชื่นชม “อื้อ สวยมาก สวยมากจริง ๆ เหมือนกับภรรยาเจ้าของที่ดินเลย!”
สะใภ้ที่ยืนข้างคุณอาหกที่ชื่อว่าหวังย่าจือก็ได้แต่หัวเราะฮ่า ฮ่า ออกมา “ภรรยาเจ้าของที่ดินที่ไหนกันล่ะ เห็นปุ๊ปก็นึกว่าเป็นภรรยาของหัวหน้าใหญ่ต่างหาก!”
ทุกประโยคต่างแสดงออกถึงการชื่นชมสองสามีภรรยาทั้งสองไม่น้อย อีกทั้งยังขับให้ฐานะของตระกูลกู้เด่นขึ้นมาอีกด้วย กู้จื้อเฉิงเม้มปากและยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ชำเลืองตาไปมองจางฉุ้ยเหลียน
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นกู้จื้อเฉิงพยักหน้าและส่งยิ้มมาให้กับตัวเอง ในใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมาทันที และเธอไม่รู้ว่าเธอควรจะตอบกลับเขาไปยังไงดี แต่ก็เธอก็โชคดีที่มีเสียงของกู้จื้อชิวดังเจื้อยแจ้วอยู่ข้าง ๆ เธอจึงคิดวิธีละสายตาจากกู้จื้อเฉิงไปได้
แต่เมื่อเธอเห็นว่ามันเป็นอย่างนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งอยากทำตัวเป็นเด็กน้อยให้กู้จื้อเฉิงสนใจตัวเองมากขึ้นเท่านั้น กู้จื้อเฉิงเงยหน้ามองเวลา และพูดกับแม่ของตัวเองว่า “แม่ครับ แม่แต่งตัวแบบนี้แล้วแม่จะทำอาหารยังไงล่ะครับ ? ”
หวังย่าจือยิ้มและพูดว่า “ใครเขาให้ภรรยาผู้ร่ำรวยทำอาหารกันล่ะ ? อีกอย่างฉันก็เห็นว่ามันไม่เหมาะสมด้วยที่เจ้าของวันเกิดจะทำอาหาร เธอไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยววันนี้ฉันทำอาหารให้พวกเธอเอง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ตระกูลกู้ก็รู้สึกเกรงใจขึ้นมาไม่น้อย พวกเขาจะให้แขกมาทำอาหารได้อย่างไรกัน เมื่อคิดได้ดังนั้น อันหลงก็รีบลุกขึ้นยืน จากนั้นก็คลี่ยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ ๆ พวกเธอนั่งกินผลไม้และดูโททัศน์อยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันไปทำอาหารเอง!”
กู้จื้อเฉิงรีบลุกขึ้นและพูดว่า “คุณแม่ครับ วันนี้วันเกิดของคุณแม่นะครับ คุณแม่จะมาทำอาหารได้อย่างไรกัน !เดี๋ยวผมทำอาหารให้เองครับ!”
เมื่อลูกชายเอ่ยปากพูดออกมาแบบนั้น คนเป็นแม่ก็ยิ้มแก้มปริทันที จากนั้นก็โบกมือไปมาและพูดว่า “ลูกจะทำอะไรเป็นล่ะ เผลอ ๆ ลูกจะทำให้แม่ขายหน้าเสียเปล่า ๆ!ถ้าจะทำก็ให้เสี่ยวชิวทำ ไปสิ เสี่ยวชิวไปทำอาหารเดี๋ยวนี้! ”
กู้จื้อชิวถึงกับอึ้งงันขึ้นมาในทันที จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “อา ? แม่จะให้หนูทำอาหารจริง ๆ หรือคะ ? ”
กู้จื้อเฉิงคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็เดินไปดึงมือของจางฉุ้ยเหลียนและพูดว่า “ผมมักจะช่วยพ่อครัวใรกรมทหารทำอาหารอยู่บ่อย ๆ อีกอย่างวันนี้เราก็มีแม่ครัวใหญ่อยู่ด้วยไม่ใช่หรือครับ เดี๋ยวผมช่วยเธอทำอาหารเอง แม่แกับพ่ออยู่รับแขกที่นี่เถอะครับ!”
อันหลงส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “ทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน ฉุ้ยเหลียนก็เป็นแขกเหมือนกัน”
จางฉุ้ยเหลียนเองก็พายเรือตามน้ำเช่นกัน “คุณป้าคะ คุณป้าแต่งตัวเหมือนกับคนรวยขนาดนี้ ไม่เหมาะจะมาทำอาหารอยู่ในครัวหรอกค่ะ ถึงอย่างไรหนูก็ว่างพอดี ให้หนูทำอาหารเถอะนะคะ!”
กู้เต๋อไห่ที่มองคนออกมากกว่าอันหลง ในเวลานี้เขาก็เห็นว่าลูกชายตัวเองนั้นมีพฤติกรรมที่แปลกไป อีกทั้งตอนที่ลูกชายของเขาพูด เขาก็มักจะคอยดึงแขนของจางฉุ้ยเหลียนอยู่ตลอดเวลาอีกต่างหากและจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้ต่อต้านในความใกล้ชิดของพวกเขาทั้งสองคนด้วย
ดูจากพฤติกรรมของทั้งสองคนแล้ว พวกเขาน่าจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ความจริงแล้วจางฉุ้ยเหลียนไม่ทันได้สังเกตพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ของกู้จื้อเฉิงแต่อย่างใด เพราะในชาติที่แล้วเธอและเขาก็ได้อยู่กินฉันท์สามีภรรยามานานมากกว่า 20 ปี นั่นจึงทำให้เธอไม่รู้สึกอะไรกับการกระทำของเขาเลยสักนิดเดียว
ในตอนนั้นเอง กู้เต๋อไห่ก็ได้ยืนขึ้นและพูดว่า “เอาล่ะ คุณภรรยาที่รัก วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ ผมจะให้คุณพัก 1 วัน เด็ก ๆ ที่ทำอาหารเป็นก็ไปทำเถอะ!”
เมื่อพูดจบเขาก็หันไปพูดกับแขกเหล่านั้นว่า “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว งั้นเราไปเดินเล่นในสวนดอกไม้กันดีกว่า” เมื่อพูดจบ เขาก็ก้มหน้าลงมองนาฬิกา : “แล้วพอใกล้จะ 12.00 น. เราค่อยกลับเข้ามาอีกที!”
ในเมือง Q แห่งนี้มีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง มันมีพื้นที่กว้างขวาง และต่อมามันก็ได้มีการขยายพื้นที่ออกไปอย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงเป็นพื้นที่สำหรับเดินเที่ยวและพักผ่อน นอกจากนี้ก็ยังมีเหล่าบรรดาสัตว์น้อยใหญ่หลากหลายชนิด มีภูเขา มีแม่น้ำ จนมันกลายเป็นสวนที่รวมทุกสิ่งอย่างที่ใหญ่ที่สุดในแห่งเมืองนี้
ตอนนี้ทิวทัศน์ในสวนดอกไม้ช่วงปลายฤดูใบไม่ร่วงก็ยังคงงดงาม เพราะทั่วทุกหนทุกแห่งในสวนแห่งนี้มันก็เต็มไปด้วยดอกไม้ที่กำลังผลิบาน และก็ยังมีต้นไม้ที่ยังคงเขียวชอุ่ม นอกจากนี้ก็ยังมีเหล่าบรรดาสัตว์ชนิดต่าง ๆ มาอาศัยอยู่ในสวนแห่งนี้อีกด้วย
เมื่อทุกคนได้ยินกู้เต๋อไห่พูดแบบนั้น พวกเขาต่างก็ทยอยกันลุกขึ้นยืนและพร้อมใจกันตอบตกลง อันหลงเองก็อยากไปเดินเล่นข้างนอกเช่นเดียวกัน เพราะหล่อนอยากจะให้คนข้างนอกได้เห็นเสื้อผ้าชุดใหม่ของหล่อน
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กัน ดวงตาของกู้จื้อชิวเปล่งประกายลุกวาวขึ้นมาทันที และด้วยความที่หล่อนอยากไปกับพวกเขาด้วย หล่อนจึงส่งเสียงร้องตะโกนออกไป
อันหลงรู้สึกไม่ดีที่ปล่อยให้แขกของตัวเองต้องมาทำอาหารให้หล่อน หล่อนจึงพูดออกไปว่า “ไม่ได้ ลูกต้องอยู่ช่วยฉุ้ยเหลียน!”
กู้จื้อชิวเบะปากขึ้นมาทันที : “ก็มีพี่กู้จื้อเฉิงอยู่ช่วยแล้วไม่ใช่หรือคะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็พูดโน้มน้าวออกไปว่า “ไม่เป็นไรหรอกคะคุณป้า ให้เสี่ยวชิวไปด้วยเถอะค่ะ เพราะครั้งที่แล้วคุณป้าก็เห็นตอนที่หล่อนช่วยหนูปอกเปลือกมันฝรั่งแล้วไม่ใช่หรือคะ หล่อนปอกมันฝรั่งลูกใหญ่จนเหลือลูกเล็กเท่านี้เอง!” จางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาพร้อมกับแสดงท่าทางประกอบไปด้วย เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนก็พากันหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ออกมา
กู้จื้อเฉิงจึงช่วยพูดให้กับน้องสาวว่า “ใช่ครับ นาน ๆ ทีจะได้ไปเที่ยวสักครั้ง ให้เสี่ยวชิวไปช่วยถ่ายรูปให้กับแม่และพวกคุณป้าก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมจ่ายให้เอง!”
“รับทราบค่ะ!” เมื่อกู้จื้อชิวได้ยินดังนั้น หล่อนก็แสดงความเคารพด้วยความกระตือรือร้นออกมาในทันที จากนั้นหล่อนก็วิ่งตามพ่อกับแม่ไปเที่ยวด้วยความนรู้สึกเบิกบานใจ
MANGA DISCUSSION