ตอนที่ 56 ซูสีไทเฮามาแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าสวรรค์นั้นช่างดีกับเธอมากเหลือเกิน ไม่เพียงแต่จะให้เธอได้กลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้แล้วเท่านั้น สวรรค์ยังนำพาคนมั่งคั่งร่ำรวยมากมายมาให้เธออีกต่างหาก เธอเป็นกังวลมาโดยตลอดว่าถ้าในอนาคตเธอได้แต่งงานกับกู้จื้อเฉิงแล้ว เธอก็ต้องไปอยู่ในกรมทหารที่แสนเปล่าเปลี่ยวกับเขา ถ้าเธอได้เข้าไปอยู่ในกรมทหารที่แม้แต่นกก็ไม่กล้ามาอุจจาระในที่แห่งนั้นแล้วล่ะก็ เธอจะหาเงินได้อย่างไรกันล่ะ
เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว การเป็นนักเขียนมืออาชีพก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ตราบใดที่สามารถวางเค้าโครงนิยายไว้ล่วงหน้าได้ หลังจากนี้ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
วันที่ 3 เดือนกรกฎาคม เป็นวันสอบปลายภาค เมื่อสอบปลายภาคเสร็จทางวิทยาลัยก็กำหนดให้นักศึกษาทุกคนกลับบ้านก่อนวันที่ 10 เดือนกรกฎาคม
หลังจากที่การสอบสิ้นสุดลง ติงหลงหลงก็ได้นำข่าวดีมาบอกกับจางฉุ้ยเหลียน หล่อนบอกว่าหล่อนจะตามคุณน้าซ่งเหวยไปต่างประเทศเดือนตุลาคมปีนี้ หล่อนจะไปเรียนภาษาที่นั่น 1 ปี จากนั้นก็ค่อยสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนจะไปเรียนในมหาวิทยาลัยไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่ความสามารถของหล่อนแล้วล่ะ
จางฉุ้ยเหลียนมีความเชื่อมั่นในตัวของติงหลงหลงเป็นอย่างมาก และเธอก็เชื่อมั่นในการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศจีนไม่น้อยด้วยเช่นกัน เธอเชื่อว่าติงหลงหลงจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ตัวเองต้องการได้อย่างแน่นอน ก็เหมือนกับที่หล่อนสามารถจัดการทุกปัญหาที่เข้ามาหาหล่อนก่อนหน้านี้ได้นั่นเอง
วันที่ 8 เดือนกรกฎาคม หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเก็บกระเป๋าเดินทางของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เธอก็นั่งรถโดยสารประจำทางกลับไปที่บ้านตระกูลจาง หลังจากที่ลงรถ จางฉุ้ยเหลียนก็เห็นเช่าหวาออกมาขายซาลาเปาอยู่ที่ริมถนน
ฝนจะตกรึเปล่าเนี่ย ? ทำไมแม่ของเธอถึงได้ขยันขันแข็งแบบนี้ล่ะ ? ดูท่าแล้วจางฉุ้ยจวินน่าจะผลาญเงินของเช่าหวาและจางกว่างฝูไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“แม่ !”จางฉุ้ยเหลียนรุดหน้าเข้าไปทักทายแม่ของเธอ
เมื่อเช่าหวาเห็นจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามา ดวงตาของหล่อนก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที “ไอ้หยา ลูกสาวสุดที่รักของฉันกลับมาแล้ว !ตอนนี้แกปิดเทอมแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
จางฉุ้ยเหลียนตกใจกับท่าทางกระตือรือร้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของเช่าหวาเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นท่าทางของหล่อนจางฉุ้ยเหลียนก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ
“แม่ ทำไมแม่ถึงออกมาขายซาลาเปาได้ล่ะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนถามออกมาด้วยความรู้สึกสงสัย
เมื่อได้ยินคำถามของลูกสาว เช่าหวาก็ได้แต่ทอดถอนหายใจออกมาและพูดว่า “ก็เพราะน้องชายของแกใช้เงินที่บ้านไปหมดแล้วน่ะสิ ถ้าเราไม่ออกมาหาเงิน เราจะเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะ ? อีกอย่างพ่อของแกก็ติดพนัน วัน ๆ ก็ไม่เคยคิดที่จะอยู่บ้าน ! ไอ้หยา ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกแกสองคนพี่น้อง ฉันก็คงจะหย่าร้างกับพ่อของแกไปตั้งนานแล้วล่ะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา เธอรู้สึกอนิจจังกับความไม่มีคุณธรรมของเช่าหวาที่ชอบว่าร้ายให้คนอื่นโดยที่ไม่หันกลับมาดูที่ตัวเองเป็นอย่างมาก จากนั้นเธอก็ชี้ไปทางซาลาเปาและถามขึ้นว่า “แล้วซาลาเปาของแม่ขายดีไหมคะ ? ”
เช่าหวาแบะปาก จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “ขายดีอะไรกันล่ะ !แค่ขายได้ก็ดีแล้ว !”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเปิดฝากล่องโฟมเก็บอุณหภูมิออกดู เธอก็เห็นว่าในกล่อนั้นมีซาลาเปาเหลืออยู่ประมาณ 20 กว่าลูก เธอขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า “เหลือแค่นี้แล้ว เราเอากลับไปกินที่บ้านดีกว่าค่ะ แม่ดูสิแป้งซาลาเปามันแข็งไปหมดแล้ว ขืนยังขายต่อไป ก็ไม่มีใครซื้อหรอกค่ะ !”
เช่าหวาพยักหน้าเป็นการเห็นด้วย จากนั้นหล่อนก็ถือกล่องโฟมเก็บอุณภูมิเดินตามจางฉุ้ยเหลียนกลับไปที่บ้าน เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของเช่าหวา เธอก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะไม่ว่าชาตินี้หรือชาติที่แล้ว เธอก็ไม่เคยเห็นว่าหล่อนจะขยันขันแข็งแบบนี้เลยสักครั้ง
“แม่ บ้านเรามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า ? ” จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามารับกล่องโฟมเก็บอุณภูมิที่เช่าหวากำลังถืออยู่มาถือไว้ เมื่อเช่าหวาได้ยินคำถามของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
จางฉุ้ยเหลียนไม่เคยเห็นเช่าหวาดูอ่อนลงแบบนี้มาก่อน หรือว่าหล่อนจะไปก่อเรื่องอะไรมาอย่างนั้นหรือ ?
เมื่อกลับมาถึงบ้าน จางฉุ้ยเหลียนก็เจอกับคน ๆ หนึ่งนั่งอยู่ในบ้านของเธอ อีกทั้งเธอก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเธอจะได้เจอกับคน ๆ นี้ในบ้านของเธอ และคน ๆ นั้นก็คือ คุณยายของเธอนั่นเอง เมื่อหล่อนเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนและเช่าหวาเดินเข้ามาในบ้าน หล่อนก็ชำเลืองตามองมาที่พวกเธอทั้งสองคนโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“คุณยาย ! ” เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในบ้านแล้ว เธอก็รีบวางกล่องโฟมเก็บอุณหภูมิที่ถืออยู่ในมือลง จากนั้นเธอก็รีบกล่าวทักทายคุณยายของเธอทันที เธอรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่เธอเห็นคุณยายของเธอกำลังนั่งอยู่ในบ้านของตัวเองแบบนี้
จางฉุ้ยเหลียนนับถือและให้ความเคารพต่อคุณยายของเธอเป็นอย่างมาก ถ้าบอกว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่ไม่สนใจใครหน้าไหน อีกทั้งยังเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลแล้วล่ะก็ เธออยากจะบอกว่านั่นเป็นเพียงแค่นิสัย 1 ใน 10 ส่วนของคุณยายของเธอเพียงเท่านั้น เพราะคุณยายของเธอนั้นเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล ขี้โวยวาย อีกทั้งยังชวนทะเลาะเก่งเป็นที่หนึ่ง แถมหล่อนยังมีนิสัยเผด็จการมากอีกด้วย
ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนยังเป็นเด็ก เธอจำได้ว่าตอนนั้นยายทวดของเธอยังมีชีวิตอยู่ ยายทวดของเธอเป็นหญิงชราที่มีนิสัยดีและใจดีมากคนหนึ่ง แต่ด้วยความที่ยายทวดของเธออายุมากแล้วดวงตาของหล่อนจึงพร่ามัว และคุณยายของเธอก็มักจะต่อว่าแม่สามีของหล่อนอยู่เสมอ ๆ ต่อมายายทวดของเธอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หล่อนจึงตัดสินใจกินยาฆ่าตัวตายในที่สุด
ว่ากันว่าในตอนที่มีคนพบศพของคุณยายทวด คุณยายของเธอก็ยังยืนด่ากราดอยู่ในลานบ้านอยู่เลย อีกทั้งตอนทำพิธีฝังศพ คุณยายของเธอก็ยังโพล่งด่ายายทวดเสีย ๆ หาย ๆ หน้าหลุมศพราวกับว่าคุณยายทวดไม่ใช่คนแต่เป็นเพียงแค่สิ่งของอย่างไรอย่างนั้น และในเวลานั้นหล่อนก็ถูกเหล่าบรรดาลูกหลานคนอื่น ๆ ของคุณยายทวดตบตีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด สุดท้ายเพราะคำขู่ที่ว่าลูกหลานของคุณยายทวดจะ “ขุดหลุมฝังศพ” ของคุณยายทวดขึ้นมา เพื่อที่จะเปิดโปงความจริงว่าเพราะสาเหตุอะไรคุณยายทวดถึงได้เสียชีวิตกันแน่ คุณยายของเธอจึงได้เงียบไปในที่สุด
หลังจากที่คุณตาตัดขาดกับญาติของตัวเองแล้ว คุณตาของเธอก็รู้สึกผิดมาโดยตลอด สุดท้ายเขาก็ป่วยเป็นมะเร็งและเสียชีวิตไปในที่สุด แต่จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจนิสัยคุณยายของเธอเป็นอย่างดี หล่อนเป็นคนที่โหดร้ายมากคนหนึ่ง เพราะก่อนที่คุณตาของเธอจะเสียชีวิต เขาก็ถูกคุณยายทำร้ายไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น
“กลับมาแล้วหรือ ? หาเงินได้เท่าไหร่ล่ะ ? ” คุณยายปรายตามองมาที่เช่าหวาและถามขึ้น
เมื่อเช่าหวาได้ยินคำถามของผู้เป็นแม่ หล่อนจึงรีบเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางอ่อนน้อมในทันที “เรายังเหลือซาลาเปาอยู่อีก 20 กว่าลูก แต่ตอนนี้แป้งมันแข็งหมดแล้ว มันก็เลยขายไม่ออก!””
“เหลวไหล !ฉันถามแกว่าแกขายซาลาเปาได้เงินมาเท่าไหร่ ฉันได้ถามแกรึเปล่าว่าซาลาเปามันแข็งหรือไม่แข็ง ? แกปิดบังอะไรฉันอยู่ใช่ไหม หรือว่าแกกลัวว่าฉันจะเอาเงินของแกอย่างนั้นหรือ ? ” คุณยายตะโกนออกมาด้วยความโกรธ และนั่นมันก็ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกตกใจไม่น้อย
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ เช่าหวาก็ก้มหน้าลง จากนั้นก็พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า “20 หยวนค่ะ!”
คุณยายพูดแค่ “อืม” ออกมา จากนั้นหล่อนก็หันหน้ากลับไปดูโทรทัศน์ต่อ ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็เดินถือกล่องโฟมเก็บอุณภูมิเข้าไปเก็บไว้ในครัว เมื่อนำกล่องไปเก็บเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เช่าหวาเดินเข้ามาในห้องของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นหล่อนก็เดินมาดันหลังของเธอพร้อมกับพูดออกไปว่า “ไอ้หยา แกหยุดเก็บของได้แล้ว แกรีบไปอุ่นซาลาเปาและต้มโจ๊กให้คุณยายของแกเดี๋ยวนี้เลย แล้วก็รีบ ๆ ทำกับข้าวซะ เราจะได้รีบกินข้าวกัน !”
จางฉุ้ยเหลียนรู้จักนิสัยของคุณยายของเธอเป็นอย่างดี เธอจึงไม่กล้าที่จะถามคุณยายของเธอออกไปว่า ทำไมหล่อนถึงได้มาที่บ้านของเธอ เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในครัวแล้ว เธอก็เห็นข้าวโพดฝักใหญ่ที่แช่น้ำค้างคืนอยู่ในถ้วยบนหลังตู้ เธอจึงเทน้ำในถ้วยนั้นออกและเติมน้ำใหม่เข้าไป จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็เดินมาก่อไปใต้เตา หลังจากที่เธอตั้งหม้อโจ๊กเสร็จ เธอก็เดินออกไปเก็บผักในสวน
เธอเก็บถั่วฝักยาวมาประมาณ 1 กำ จากนั้นก็ขุดเอามันฝรั่งขึ้นมา 2 หัว ต้นหอม 2 ต้น แล้วก็ตามด้วยผักชีอีก 1 กำ หลังจากที่กลับเข้ามาในห้องครัว จางฉู้ยเหลียนก็เติมฟืนเข้าไปอีกกองหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังเติมฟืนอยู่นั้นโจ๊กในหม้อของเธอก็เริ่มเดือดแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนตั้งหม้ออีกเตาหนึ่ง จากนั้นเธอก็เติมน้ำมันหมูลงไปเล็กน้อย เมื่อน้ำมันเริ่มร้อนแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ใส่ถั่วฝักยาวและมันฝรั่งที่เธอล้างจนสะอาดและหันไว้ก่อนหน้านี้ลงไปผัด เมื่อผักสุกแล้ว เธอก็เติมน้ำลงไปเพื่อเป็นการตุ๋นมัน จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็นำซึ้งนึ่งมาตั้ง เธอนำซาลาเปาลงไปนึ่ง
ในตอนที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังรอให้ซาลาเปาสุกอยู่นั้น เธอก็เดินไปเอาต้นหอม ผักชี และพริกมาล้างทำความสะอาด จากนั้นเธอก็เดินไปตักเต้าเจี้ยวและผักดองที่เธอทำให้กับเช่าหวาก่อนหน้านี้มา
หลังจากที่เครื่องเคียงและผักดองถูกยกไปเสิร์ฟบนโต๊ะ คุณยายก็หันมาชี้หน้าด่าจางฉุ้ยเหลียนว่า “แกเห็นฉันเป็นกระต่ายรึไง ? ฉันมาบ้านแกทั้งทีแต่แกกลับให้ฉันกินแต่ผักอย่างนั้นหรือ ? ”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณยาย จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกตกใจไม่น้อย จากนั้นเธอก็พูดออกไปด้วยสีหน้าซีดเผือดว่า “คุณยายคะ หนูตุ๋นถั่วฝักยาวให้คุณยายด้วยนะคะ !”
ยังไม่ทันที่คุณยายจะเขวี้ยงตะเกียบใส่จางฉุ้ยเหลียน เช่าหวาก็เดินมาลากตัวของจางฉุ้ยเหลียนให้เดินออกไปที่ลานบ้านเสียก่อน จากนั้นเช่าหวาก็พูดออกไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีว่า “ฉันรู้ว่าแกตั้งใจทำอาหารพวกนั้นแล้ว แต่ยายของแกไม่เหมือนคนปกติทั่วไป ถ้าหล่อนด่าแก แกก็ต้องฟัง ถ้าหล่อนอยากจะกินเนื้อ แกก็ต้องผัดเนื้อให้หล่อน ถ้าแกทำไม่ได้ แกก็ต้องออกไปซื้อปลาข้างนอกมาทำอาหารให้หล่อนกิน !”
ดั่งสุภาษิตที่ว่า สิ่งหนึ่งย่อมข่มกับอีกสิ่งหนึ่ง ในเวลานี้จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจความหมายของสุภาษิตนี้ได้เป็นอย่างดี สาเหตุที่เช่าหวาปฏิบัติกับเธอไม่ดี นั่นก็เป็นเพราะว่าหล่อนได้รับอิทธิพลมาจากคุณยาย หล่อนไม่ได้ถูกคุณยายบังคับให้ออกไปขายซาลาเปา แต่หล่อนอยากจะหลบหน้าคุณยายของเธอต่างหาก
“แม่ แล้วเราจะไปเอาเนื้อมาจากไหนล่ะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนถามออกไปด้วยความสงสัย บ้านของเธอก็ไม่มีเนื้อแม้แต่ชิ้นเดียวเลยด้วย แล้วเธอจะไปเอาเนื้อมาจากไหนล่ะ
เมื่อได้ยินคำถามของจางฉุ้ยเหลียน เช่าหวาก็ชี้นิ้วไปทางโกดังเก็บของ จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “ในโกดังเก็บของยังมีเนื้อตากแห้งที่เหล่าเซี่ยเอามาให้ในวันปีใหม่เหลืออยู่ แกไปเอามาผัดไป !”
ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนเดินไปเอาเนื้อตากแห้งในโกดังเก็บของอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงของคุณยายตะโกนเสียงดังมาจากในบ้านว่า “เนื้อตากแห้วพวกนั้นแข็งจะตาย ฉันจะกัดได้ยังไงกัน ?”
หลังจากนั้นไม่นานเช่าหวาก็เดินออกมาจากบ้านด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จากนั้นหล่อนก็พูดกับจางฉุ้ยเหลียนว่า “แกเอาเนื้อตากแห้งพวกนี้ไปเก็บเถอะ ยายของแกเคี้ยวไม่ได้หรอก แกออกไปซื้อปลาข้างนอกมาไป แล้วแกก็เอามานึ่งให้หล่อนกิน ! ”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา จากนั้นเธอก็พูดรั้งเช่าหวาเอาไว้ก่อนที่หล่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านว่า “แม่ !ตอนนี้เราก็มีผักตุ๋นกับโจ๊กสองหม้อใหญ่แล้วนะ ถ้าแม่จะนึ่งปลาอีก แล้วเมื่อไหร่เราจะได้กินข้าวล่ะ ? แล้วอีกอย่างถ้าเรายังทำอาหารเพิ่มอีก คืนนี้เราจะได้นอนตอนไหนกัน !”
เมื่อได้ยินดังนั้น เช่าหวาก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา จากนั้นก็ชำเลืองตามองเข้าไปในบ้าน ก่อนจะถามขึ้นมาด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “แล้วแกจะทำยังไงล่ะ ? ไอ้หยา ถ้าไม่ได้กินเนื้อ หล่อนจะต้องโวยวายใส่ฉันแน่ ๆ !”
จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ “แม่ งั้นแม่ออกไปซื้อเครื่องในหมูมา ถ้ามีกระดูกหมู แม่ก็ซื้อมาด้วย เดี๋ยวหนูจะเอามาแช่ค้างคืนไว้ แล้วพรุ่งนี้เช้าหนูจะตุ๋นให้คุณยายกินเอง ส่วนผักตุ๋นพวกนี้ กลิ่นมันก็หอมอีกทั้งรสชาติของมันก็อร่อย หล่อนจะต้องยอมกินอย่างแน่นอน !”
ถึงอย่างไรเช่าหวาก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ เธอคงทนเห็นหล่อนถูกคุณยายต่อว่าไม่ได้หรอก จางฉุ้ยเหลียนจึงใช้วิธีการเอาใจคุณยายของเธอ อีกทั้งเธอก็ยังใช้วิธีการเป็นกลางให้มากที่สุดอีกด้วย !
“แกจะเอาเครื่องในหมูไปทำอะไร ? แล้วแกจะเอาตับหมู กระเพาะหมูหรือว่าปอดล่ะ ? ” เช่าหวาขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนต้องการเครื่องในหมู และหล่อนก็พึมพำกับตัวเองอยู่ในใจว่า ถึงแม้ว่าเครื่องในหมูจะมีราคาถูกและรสชาติอร่อย แต่มันก็ไม่มีทางเทียบเนื้อได้หรอก
จางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “แม่ไปซื้อไส้หมูกลับมาก่อนเถอะ ยิ่งไส้หมูสดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
หลังจากที่เช่าหวาออกไปซื้อไส้หมูกลับมาที่บ้านนั้น จางกว่างฝูและจางฉุ้ยจวินก็กลับมาถึงบ้านพอดี
เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองคนเดินเข้ามา จางฉุ้ยเหลียนจึงเดินเอาน้ำไปให้กับพวกเขาทั้งสงอคนที่ดูท่าทางเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเล็กน้อย จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเช่าหวาว่า “หม้อโจ๊กเดือดได้ที่แล้ว แม่ช่วยหนูยกหม้อโจ๊กลงหน่อยนะคะ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปเสียงดัง เพราะเธออยากจะให้คุณยายของเธอที่นั่งอยู่ในบ้านได้ยิน เพราะเธอกลัวว่าหล่อนจะต่อว่าเรื่องที่อาหารมาเสิร์ฟช้ามากเกินไป จางฉุ้ยเหลียนเห็นแผ่นหลังของจางฉุ้ยจวินที่ถูกแดดเผาจนแดง เธอก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
จางฉุ้ยจวินล้างตัวไปพลางและบ่นกับจางฉุ้ยเหลียนไปพลางว่า “แก่แล้วทำไมไม่ตาย ๆ ไปเสีย ยังจะมีหน้ามาใช้ให้เราทำงานงก ๆ อยู่อีก !”
เมื่อได้ยินคำพูดของน้องชาย จางฉุ้ยเหลียนก็ยกมือขึ้นมาตีที่แขนของเขาทีหนึ่ง จากนั้นเธอขมวดคิ้วและพูดสั่งสอนออกไปว่า “แกสมควรที่จะพูดแบบนี้ออกมารึไง ? หล่อนเป็นผู้อาวุโสนะ แกควรจะให้เกียรติหล่อนบ้าง”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยจวินแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาทันที จากนั้นเขาก็พูดตอกกลับจางฉุ้ยเหลียนออกไปอย่างไม่ยอมว่า “จางฉุ้ยเหลียน พี่อย่ามาสั่งสอนฉันเลย เพราะตอนนี้ฉันก็หาเงินเองได้แล้ว และฉันก็หาเงินเก่งกว่าพี่ด้วย พี่มีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนฉัน ฉันจะบอกอะไรพี่ให้นะว่าฉันไม่กลัวพี่หรอก !”
จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าน้องชายของเธอนั้นเปลี่ยนไปหลังจากที่เขาได้เจอมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ แต่เธอกลับนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงแบบนี้ อีกทั้งยังทำท่าทางราวกับปล่อยมือจากหม้อแตกและไม่คิดจะแก้ไขอะไรอีกด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็เดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยอารมณ์โกรธในทันที เธอไม่อยากจะคุยกับน้องชายที่ไม่ได้เรื่องของเธอต่อไปอีกแล้ว หลังจากที่เห็นว่าพี่สาวของตัวเองเดินเข้าไปในบ้านแล้ว จางฉุ้ยจวินก็พึมพำออกมาเบา ๆ ว่า “หล่อนคิดว่าตัวเองเก่งมากนักรึไง น่าขยะแขยงจริง ๆ !””
จางฉุ้ยเหลียนเดินกลับเข้าไปในห้องครัวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เมื่อเธอเห็นไส้หมูที่แช่อยู่ในกะละมัง เธอจึงถอนหายใจออกมา เธอคิดในใจว่าพ่อค้าที่ขายไส้หมูนี้ เป็นคนที่เอาใจใส่มากเลยจริง ๆ เพราะเขาล้างไส้หมูมาให้อย่างดีแล้ว มันจึงไม่หลงเหลือกลิ่นเหม็นคาวเลยสักนิดเดียว
จางฉุ้ยเหลียนนำแป้งมันมาล้างไส้อีกครั้ง และวิธีการนี้ก็จะทำให้ไส้ไม่มีกลิ่นเหม็นคาวและสะอาดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
หลังจากที่จางฉุ้ยจวินอาบน้ำเสร็จ เขาก็เดินออกมาจากห้อง เมื่อเขาหันไปเห็นเครื่องเคียงที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาก็ขมวดคิ้วและตะโกนออกไปเสียงดังว่า “หิวจะตายอยู่แล้ว เมื่อไหร่จะได้กินข้าวเนี่ย !”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหลานชาย คุณยายจึงได้แต่กลอกตาไปมา จากนั้นหล่อนก็ด่าจางฉุ้ยจวินออกไปว่า “จะตะโกนอะไรนักหนา ? อย่างกับเสียงหมาหอนอย่างไรอย่างนั้น แม่แกไม่ได้สั่งสอนแกรึไง ? ”
ถ้าในเวลาปกติจางฉุ้ยจวินก็คงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปแล้ว แต่หลังจากสองสามวันที่ผ่านมานี้ ที่คุณยายของเขามาอยู่ที่บ้านของเขา จางฉุ้ยจวินก็ตระหนักได้ถึงความสามารถของคุณยายของเขาได้เป็นอย่างดี เพียงแค่เขาพูดออกมาไม่กี่คำ หล่อนก็โพล่งคำด่าออกมาแล้ว พอบ่อย ๆ เข้าก็ทำให้ทุกคนในบ้านกินข้าวไม่ลงกันเลยทีเดียว
แต่ครั้งนี้เขากลับทำเป็นว่าไม่ได้ยินเสียงของหล่อนอย่างไรอย่างนั้น ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ถ้าไม่ให้กินข้าวและจะให้เขานอนรึไงกันล่ะ ไร้สาระสิ้นดี !
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอยู่ในครัว เมื่อซูสีไทเฮามาแล้ว แน่นอนว่าทุกคนก็จะต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว
MANGA DISCUSSION