ตอนที่ 55 เซ็นสัญญา
“ใครเป็นคนทำย่อมรู้อยู่แก่ใจดี เธอเอาจดหมายของฉันไป แล้วเธอจะเอาไปทำอะไรล่ะ ? ฉันไม่อยากทำให้ใครไม่พอใจอีกแล้ว เธอก็คิดหาทางเอาเองแล้วกัน ว่าเธอจะเอามาคืนฉันอย่างไร คืนนี้ ฉันต้องเห็นจดหมายของฉัน ไม่อย่างนั้น พรุ่งนี้ฉันจะไปเรียกลุงยามให้มาชี้ตัวคนที่เอาจดหมายของฉันไป แล้วอย่ามาว่าฉันไม่ไว้หน้าแล้วกัน แล้วฉันก็ขอเตือนเลยนะว่าอย่ามาทำนิสัยแบบนี้อีก ! ” เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดจบ เธอก็เดินเข้าไปหยิบหนังสือเรียนของตัวเองและเดินออกจากห้องไป
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเดินออกจากห้องไปแล้ว หลี่ม่านก็เดินไปที่หน้าประตูห้อง และหันมาพูดกับทุกคนเสียงดังว่า “การที่พวกเราทุกคนได้มาอยู่ร่วมหอพักกัน มันเป็นเพราะพวกเรามีโชคชะตาร่วมกัน ใครกันที่มีจิตใจโหดร้ายแบบนี้ ก่อกวนกันไปมาอยู่ได้ ช่างไร้ยางอายเสียจริง ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เกาปินก็ได้ลุกขึ้นมา จากนั้นก็พูดพึมกับตัวเองว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ฉันแน่นอน เดี๋ยวเราก็รู้เองแหละว่าใครเป็นทำ !”
หวังโต้วโต้วหันไปมองหลี่เหยาแวบหนึ่ง จากนั้นหล่อนก็ยักไหล่ ก่อนจะดันแว่นตาของตัวเองเล็กน้อย “เห้อ !”
หลังจากที่ทุกคนเดินออกไปจากห้องพักหมดแล้ว หลี่เหยายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นหล่อนก็บ่นพึมพำกับตัวเองว่า “เหอะ !ฉันเป็นคนเอาไปแล้วมันทำไมล่ะ ? ฉันก็ไม่ได้พูดสักหน่อยว่าฉันเป็นคนเอาไป ทำไมทุกคนถึงต้องเล็งเป้ามาที่ฉันคนเดียวด้วย ! ”
หลี่เหยาลงมาจากเตียง จากนั้นหล่อนก็เดินวนไปวนมาพร้อมกับบ่นพึมพำกับตัวเองอยู่ในห้อง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ หล่อนก็ตัดสินใจเดินออกไปเปิดประตูเพื่อดูลาดเลาว่ามีใครยังอยู่ข้างนอกรึเปล่า เมื่อหล่อนเห็นว่าไม่มีใครเดินอยู่ตรงระเบียงทางเดินแล้ว หล่อนก็ดึงจดหมายออกมาจากที่ซ่อน จากนั้นก็ยัดมันไว้ในหมอนบนเตียงนอนของจางฉุ้ยเหลียน
หลังจากนั้นหล่อนก็เดินออกไปจากห้องพักราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่หล่อนจะไปที่ห้องเรียน หล่อนก็แวะซื้อไข่ชา 4 ฟอง ที่ร้านขายของชำด้วยรีบร้อน
หล่อนเดินขึ้นบันไดไปยังห้องเรียน จนกระทั่งเห็นกลุ่มเพื่อนร่วมห้องของหล่อนที่นั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่บริเวณทางเดิน หล่อนจึงเดินเข้าไปหย่นก้นนั่งลงข้าง ๆ หวังโต้วโต้ว จากนั้นหล่อนก็หัวเราะฮ่า ฮ่า ออกมา “ไข่ชาวันนี้อร่อยมากเลยนะ ดูสิ เปลือกไข่แตกหมดแล้วด้วย”
หวังโต้วโต้วดันแว่นตรงปลายจมูกขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปถามหลี่เหยาด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เธอเป็นคนเอาจดหมายของจางฉุ้ยไปใช่ไหม ? ”
หลี่เหยารีบพูดขึ้นมาในด้วยความร้อนใจว่า “ใครบอกเธอ ? ”
“แล้วทำไมเธอจะต้องอยู่ในห้องเป็นคนสุดท้ายด้วยล่ะ ? ” หวังโต้วโต้วคิดว่าคนที่อยู่ในห้องเป็นคนสุดท้ายจะต้องเป็นคนที่ขโมยจดหมายของจางฉุ้ยเหลียนไปแน่ ๆ
“เธอโง่รึไง !ฉันไม่ได้เป็นอย่างคำสุภาษิตที่ว่า ‘ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง’ หรอกนะ ฉันก็แค่มีปฏิกิริยาตอบสนองช้าก็เท่านั้นเอง ! แล้วอีกอย่าง เรื่องที่มีคนเอาจดหมายของจางฉุ้ยเหลียนไปมันจะเป็นเรื่องจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ ทำไมเพื่อนร่วมห้อง จะต้องเล่นงานหล่อนด้วยล่ะ ! ” หลี่เหยาพูดออกมาพร้อมกับเบะปาก
หล่อนหันกลับไปยิ้มให้กับเพื่อนร่วมห้อง จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “หลังจากเลิกเรียนแล้ว ทุกคนอย่าเพิ่งกลับห้องนะ ไปเดินเล่นข้างนอกกันเถอะ เราจะได้ให้โอกาส ‘โจรขโมยจดหมาย’ คนนั้นได้แก้ไขตัวเองไง ! ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ที่หล่อนพูดออกมาแบบนี้ก็เพื่อที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อหน้าทุกคนสินะ หลี่เหยา เด็กคนนี้ร้ายกาจมากจริง ๆ ! ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะฉลาดและรู้ทันว่าหล่อนนั้นเป็นคนเอาจดหมายของเธอไป แต่เธอเองก็ยังไม่เข้าใจว่าหล่อนคิดจะทำอะไรกันแน่
ระหว่างที่เดินกลับหอพัก จางฉุ้ยเหลียนก็เจอกับหลี่ม่านและจางเหว่ยที่กำลังเดินเล่นเข้าพอดี ทั้งสามคนเดินคุยกันไปและหัวเราะกันไปอย่างสนุกสนานจนมาถึงหอพัก
เมื่อเข้ามาถึงห้องพักแล้ว หลี่ม่านก็รีบพูดเร่งเร้าจางฉุ้ยเหลียนทันทีว่า :“รีบไปหาเร็ว ดูสิว่ามีคนเอาจดหมายมาคืนเธอรึยัง”
จางฉุ้ยเหลียนพลิกหมอนและสะบัดผ้าห่มหาอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าพร้อมทั้งขมวดคิ้ว :“ไม่มี !”
จางเหว่ยเดินเข้าไปหาบนเตียงของจางฉุ้ยเหลียนอย่างละเอียดอีกครั้ง หล่อนพลิกผ้าห่มไปมา จนกระทั่งเจอจดหมายฉบับหนึ่งสอดอยู่ใต้หมอนของจางฉุ้ยเหลียน
“นี่ไง ! ” จางเหว่ยยื่นจดหมายฉบับนั้นให้กับจางฉุ้ยเหลียน เมื่อจางฉุ้ยเห็นว่าจดหมายของเธอถูกใครบางคนเปิดอ่านแล้ว เธอก็โกรธเป็นฟื้นเป็นไฟขึ้นมาในทันที “นี่ถึงกับต้องเปิดอ่านจดหมายของฉันเลยหรือ ! ”
“ใครส่งมาให้เธอหรือ ? ” จางเหว่ยพลิกจดหมายอีกด้านอย่างสนใจ “กู้จื้อเฉิง ? เขาเป็นพี่ชายของเธอหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า “ไม่ใช่ แค่เพื่อนคนหนึ่งน่ะ !”
จางเหว่ยยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา จากนั้นก็คะยั้นคะยอจางฉุ้ยเหลียนด้วยความสนใจไม่น้อย “เพื่อนที่ว่านี่คือคนที่อยู่ในกรมทหารใช่ไหม ? คนรักของเธอหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหน้าแดงขึ้นมาทันที “ไม่ใช่ !” เมื่อพูดจบเธอก็เขินอายขึ้นมาด้วยท่าทางที่ปิดยังไงก็ปิดไม่มิด
หลี่ม่านหลุดขำออกมาทันที จางเหว่ยเองก็แสดงสีหน้า “ฉันเข้าใจ” ออกมาเช่นเดียวกัน ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ ประตูห้องก็เปิดออก คนที่เดินเข้ามาในห้องก็คือเกาปินนั่นเอง หล่อนมองไปทางจดหมายที่อยู่ในมือของจางฉุ้ยเหลียน “มีคนเอามาคืนให้เธอแล้วสินะ ? สรุปแล้วเป็นฝีมือของคนในห้องพักจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนถอนหายใจออกมา “เอาล่ะ พวกเธอไม่ต้องถามหรอกว่าเป็นฝีมือของใคร หล่อนเองก็ไม่ใช่โจร แค่หล่อนพุ่งเป้ามาทางฉันก็เท่านั้น”
เกาปินถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ทำไมหล่อนต้องมุ่งเป้ามาที่เธอด้วยล่ะ ? บ้าจริง ๆ !”
ความคิดอันล้ำเลิศของเกาปินไม่เหมือนกับคนอื่น สิ่งที่หล่อนให้ความสนใจก็คือคนที่เขียนจดหมายให้กับจางฉุ้ยเหลียนคือใครต่างหาก หล่อนจึงเริ่มถามไล่ต้อนจางฉุ้ยเหลียนทันที
“อ่า ? เป็นจดหมายที่คนรักของเธอเขียนให้เธอหรือ ? ใครกันนะ ? หน้าไม่อาย มาเปิดอ่านจดหมายของเธอสองคนทำไม ? ถ้าไม่มีคนรักเหมือนคนอื่นก็ไปหาเอาเองสิ! ” เกาปินส่ายหน้า ใบหน้ารูปไข่ของหล่อนนั้นเต็มไปด้วยความโกธร
ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ได้บอกคนในห้องพักว่าใครเป็นคนเอาจดหมายของเธอไป แต่เรื่องนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสืบหาได้ยากแต่อย่างใด
สองวันหลังจากนั้น จางเหว่ย หลี่ม่าน หวังโต้วโต้วและเกาปิน ทั้งสี่คนก็ได้รับบทเป็นนักสืบเพื่อตามหาตัวการของเรื่องนี้ อีกทั้งยังคอยหาโอกาสพิสูจน์ตัวเองว่าตนเองนั้น “ไม่มีความผิด” อีกด้วย
เพื่อป้องกันไม่ให้หลี่เหยาถูกใส่ร้าย เด็กสาวเหล่านั้นจึงได้วิ่งไปสอบถามกับคุณลุงยามหน้าประตูทันที คุณลุงยามได้รับคำสั่งจากจางฉุ้ยเหลียนแล้วว่าห้ามบอกเรื่องค่าต้นฉบับของเธอกับใครอย่างเด็ดขาด เขาจึงไม่ได้บอกใครเรื่องค่าต้นฉบับของเธอ แต่เขาก็ยังโพล่งออกไปด้วยความโกรธว่ามีคนมารับจดหมายของจางฉุ้ยเหลียนเมื่อสองวันก่อนที่จางฉุ้ยเหลียนจะเข้ามาสอบถามกับเขา
คุณลุงยามที่เพิ่งจะเคยประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก เพราะอย่างนั้นเขาจึงจดจำลักษณะท่าทางของเด็กสาวที่มาเอาจดหมายของจางฉุ้ยเหลียนได้อย่างแม่นยำ ลักษณะท่าทางของเด็กสาวคนนั้นก็เหมือนกับหลี่เหยามากทีเดียว ซึ่งคำตอบของลุงยามก็ทำให้เด็กสาวทั้ง 4 คนปิดคดีลงได้สำเร็จ
และเรื่องที่หลี่เหยาได้กระทำลงไป ตอนนี้มันก็ส่งผลกระทบกลับมาให้หล่อนเสียแล้ว เพราะตอนนี้คนในหอพักไม่มีใครยอมพูดกับหล่อนเลยแม้แต่คนเดียว จางฉุ้ยเหลียนไม่พูดกับหล่อน ทุกคนก็เลยไม่มีใครพูดกับหล่อนด้วย อีกทั้งทุกคนต่างก็พากันมองมาที่หล่อนด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามมากอีกด้วย
เมื่อเรื่องมันเป็นอย่างนั้น หลี่เหยาจึงวิ่งไปหาจางฉุ้ยเหลียนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำด้วยความโกรธทันที จากนั้นหล่อนก็ถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างสุดทนว่า “เธอ !ไอ้คนกลับกลอก!ทำไมเธอต้องพูดเรื่องฉันออกไปด้วย ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหมดคำพูดขึ้นมาในทันที “ฉัน? ฉันไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย !”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่เหยาก็รู้สึกโมโหเป็นฟืนเป็นไฟมากขึ้นไปอีก “ถ้าเธอไม่ได้เป็นคนพูด แล้วพวกหล่อนจะรู้ได้ยังไง ?”
จางฉุ้ยเหลียนยักไหล่อย่างไม่แยแส จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ก็ฉันบอกไปแล้ว ว่าฉันไม่ได้เป็นคนพูด ส่วนพวกหล่อนรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เธอก็น่าจะไปถามพวกหล่อนมากกว่าที่จะมาถามฉันแบบนี้นะ !”
หลี่เหยากัดฟันกรอด และถามออกไปอีกครั้งว่า “เธอมันคนไร้ยางอาย ! ทำไมเธอต้องพุ่งเป้ามาที่ฉันด้วย ? ”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางคนจำนวนมากที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนี้ ซึ่งในเวลานี้ทุกคนต่างก็มองมาทางพวกหล่อนทั้งสองคนเป็นตาเดียว เมื่อหลี่เหยาสังเกตเห็นสายตาของคนเหล่านี้ หล่อนจึงเดินเข้ามาจับแขนของจางฉุ้ยเหลียนไว้และเริ่มบีบน้ำตา จากนั้นก็พูดออกไปว่า “ฉันรู้ว่าเธอรังเกียจที่ฉันมาจากชนบท ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบฉัน แต่ยังไงฉันก็ยังอยากเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอนะ แต่ทำไมเธอถึงต้องทำให้คนในห้องพักรังเกียจฉันแบบนี้ด้วยล่ะ? ฮือ ฮือ ฮือ ทำไมกัน !”
จางฉุ้ยเหลียนกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปทางผู้คนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจเรื่องราวที่แท้จริงและกำลังชี้นิ้วมาทางเธอ เธอสะบัดแขนของหลี่เหยาออก ก่อนจะขมวดคิ้วและพูดว่า “เธอคิดว่าฉันสนใจสายตาของคนอื่นอย่างนั้นหรือ ? เธอก็แสดงละครของเธอต่อไปเถอะนะ เธออยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ”
เมื่อหลี่เหยาเห็นจางฉุ้ยเหลียนที่เดินจากไป หล่อนก็ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา จากนั้นก็กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ “ได้ เธออย่ามาโทษฉันก็แล้วกันว่าฉันไม่ให้ความเป็นธรรมกับเธอ เหอะ!”
หลี่เหยาไม่ได้ใจร้อนเหมือนกับเฝิงเสี่ยวเจี๋ยแต่อย่างใด หลังจากที่ทะเลาะกับจางฉุ้ยเหลียนที่หน้าห้องน้ำ หล่อนก็กลับเข้ามาในห้องพักราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หล่อนยังทำตัวเป็นมิตรกับหลี่ม่านและคนอื่น ๆ เหมือนที่เคยทำ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าที่แสนเย็นชาของพวกหล่อน หลี่เหยาก็ไม่สนใจ
จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าหล่อนคงจะทำตัวแบบนี้ไปได้ตลอด แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากนั้นอีก 2 วันหลี่เหยากับเฝิงเสี่ยวเจี๋ยจะเดินจับมือหัวเราะกันอย่างสนุกสนานต่อหน้าทุกคนแบบนั้น
“น่ามหัศจรรย์ใจจริง ๆ เลย!สองคนนั้นก็เหมือนน้ำกับไฟแต่ทำไมถึงได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ได้ล่ะเนี่ย ? ” ขนาดเกาปินที่เป็นคนที่พูดน้อยที่สุดก็ยังอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ คนอื่น ๆ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเขาจะแปลกใจมากขนาดไหน
จางฉุ้ยเหลียนรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เธอก็ไม่อยากจะพูดอธิบายอะไรออกไป เพราะข้อแรก ตัวเธอเองก็สร้างปัญหามากพออยู่แล้ว และข้อสอง เธอก็ไม่อยากทำลายชื่อเสียงของทั้งสองคนให้มันแย่ไปมากกว่านี้
จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าถ้าหลี่เหยาเป็นคนเอาจดหมายของเธอไป หล่อนก็น่าจะได้อ่านเนื้อหาที่เขียนอยู่ในนั้นด้วย และหล่อนก็น่าจะมาโวยวายเธออย่างแน่นอนที่เธอเขียนเล่าเรื่องราวของพวกหล่อนส่งไปให้กู้จื้อเฉิงอ่าน แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่า เด็กสาวทั้งสองคนจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายเธออีกเลย
จางฉุ้ยเหลียนทอดถอนใจออกมา ในที่สุดก็มาถึงปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่เธอรอคอยมาเนิ่นนาน ซึ่งก่อนที่จะเปิดเทอม จางฉุ้ยเหลียนก็ได้เซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์หนังสือพิมพ์ประจำมณฑลเป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งเธอก็ยังได้ส่งนิยายเรื่องสั้นไปให้กับสำนักพิมพ์นิตยสารแห่งหนึ่งอีกด้วย และสุดท้ายเธอก็ได้กลายเป็นนักเขียนประจำนิตยสารเล่มนั้น
แต่เพราะมันเป็นนิตยสารรายเดือน ดังนั้นจำนวนต้นฉบับที่เธอจะต้องส่งไปให้กับบรรณาธิการของสำนักพิมพ์มันจึงเยอะมากเลยทีเดียว ยิ่งเป็นนิยายเรื่องสั้นด้วยแล้ว ความต้องการในการเขียนก็จะยิ่งสูงขึ้น จางฉุ้ยเหลียนไม่อยากจะทำลายชื่อเสียงของตัวเอง เธอก็เลยยิ่งระมัดระวังในการเขียนมากขึ้นไปอีก
และในเวลาเดียวกันเธอก็ต้องติดต่อกับบรรณาธิการของสำนักพิมพ์หนังสือพิมพ์ประจำมณฑลอยู่เสมอ ๆ นั่นจึงทำให้บทความของเธอนั้นได้รับคำแนะนำ รวมทั้งข้อเสนอแนะเพิ่มเติมที่เธอจะต้องรู้มากขึ้นไปอีก จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าในสมัยนี้ เด็กสาวส่วนใหญ่ต่างก็จมอยู่กับนิยายรักจนยากที่จะควบคุมตัวเองได้
ยกตัวอย่างเช่น เด็กสาวที่อยู่ในห้องพักแห่งนี้ พวกหล่อนต่างก็พกนิยายของฉงเหยาเอาไว้อ่านอยู่เสมอ ๆ
จางฉุ้ยเหลียนเลยเกิดความคิดที่จะเขียนนิยายรักเรื่องสั้นขึ้นมา และความคิดนี้ก็ได้รับการยอมรับจากบรรณาธิการแล้วด้วย แต่ถึงอย่างไรบรรณาธิการก็ต้องบอกกับจางฉุ้ยเหลียนก่อนเลยว่า ถึงแม้ว่าสมัยนี้นิยายรักจะเป็นที่นิยม แต่ในตอนนี้ก็ยังไม่มีนักเขียนผู้หญิงคนไหนได้รับการยอมรับบนแผ่นดินจีนนี้แต่อย่างใด หนทางข้างหน้าของเธอจึงไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เธอคิดไว้
ด้วยเหตุนี้ซุนเหย้าเวยบรรณาธิการนิตยสารที่จางฉุ้ยเหลียนเขียนนิยายเรื่องสั้นให้ก็เลยถือโอกาสตอนที่เขาเดินทางมาดูงานที่ต่างเมือง มาสำรวจความนิยมของผู้คนที่ชอบอ่านเกี่ยวกับนิยายรักในเมืองด้วย เขาได้คุยกับจางฉุ้ยเหลียนตัวต่อตัว เดิมทีเขาต้องการที่จะมาพูดโน้มน้าวให้เธอยกเลิกความคิดนี้ ถึงอย่างไรคนที่ได้ลิ้มลองรสชาติเนื้อปูที่แสนอร่อยเป็นครั้งแรกก็ใช่ว่าเขาคนนั้นจะอยากกินมันอีกเป็นครั้งที่สองไม่ใช่หรือ?
จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็เสนอความคิดเห็นออกไปว่า “คุณลองตีพิมพ์นิยายบางส่วนลงนิตยสารดูสิคะ แล้วเรามาค่อยมาดูปฏิกิริยาตอบสนองของผู้อ่านกันอีกครั้ง อีกอย่างสมัยนี้ชายหญิงก็เท่าเทียมกันแล้ว ผู้หญิงเริ่มต้นพัฒนาตัวเองด้วยความมุมานะบากบั่น ฉันเชื่อว่าจะต้องมีกลุ่มคนที่มีความคิดเดียวกันอย่างแน่นอน ตราบใดที่เปิดตลาดได้ หลังจากนั้นมันก็คงจะง่ายขึ้น!”
ซุนเหย้าเวยรู้สึกว่าความคิดจองจางฉุ้ยเหลียนนั้นก็ไม่เลวเลย การเปิดบทความเล็ก ๆ ให้กับจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา ถ้ายอดขายดี บางทียอดขายนิตยสารก็อาจจะสูงขึ้นด้วยก็ได้
“ผู้หญิงมักซื้อนิตยสารเพราะนิยายที่อยู่ในนั้นอย่างนั้นหรือ ? ” ซุนเหย้าเวยรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย สาวแม่บ้านที่ต้องพยายามประหยัดเงินเพื่อน้ำมัน เกลือ และของใช้ในบ้านไม่มีทางยอมเสียเงินเพราะเรื่องแบบนี้อย่างแน่นอน!
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนคิดถึงช่วงเวลาในตอนนั้น เธอก็อดขำออกมาไม่ได้ “ถ้าเป็นเพราะนิยาย 1 เรื่องมันคงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นบทความข่าวเกี่ยวกับภาพยนตร์และโทรทัศน์รายสัปดาห์ล่ะคะ ? นอกจากทุกคนจะซื้อหนังสือพิมพ์เพื่ออ่านข่าวแล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็ต้องการอ่านบทความที่เกี่ยวกับภาพยนตร์และโทรทัศน์รายสัปดาห์ด้วยไม่ใช่หรือคะ ? ”
ซุนเหย้าเวยคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างความเข้าใจ “เธอหมายความว่า เราเพิ่มควรจะบทความที่เกี่ยวกับภาพยนต์และโทรทัศน์เข้าไปด้วย จากนั้นก็ค่อยทำการสำรวจตลาดอีกครั้ง ถ้าผลลัพธ์ออกมาดี งั้นเราก็น่าจะต้องเอาลงข่าวภาคค่ำด้วยสิ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มด้วยความชื่นชมว่า “คนที่เข้าใจฉันมากที่สุด ก็อาจารย์ซุนนี่แหละค่ะ”
ซุนเหย้าเวยส่ายหน้า “อย่าเรียกฉันว่าอาจารย์เลย ฉันแก่กว่าเธอไม่กี่ปีเอง เรียกฉันว่ารุ่นพี่ก็พอแล้ว !”
จางฉุ้ยเหลียนตกใจในทันที “พี่จบจากวิทยาลัยที่ฉันเรียนหรือคะ ?”
ซุนเหย้าเวยพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ใช่ หลังจากที่ฉันเรียนจบ ฉันก็ไปเป็นครูเลย ตอนนั้นอาจารย์ประจำชั้นของฉันก็คือท่านอธิการบดีของพวกเธอตอนนี้นี่แหละ ต่อมาฉันได้มีโอกาสไปเรียนต่อในเมืองหลวง หลังจากที่เรียนจบมาฉันก็ไปสมัครงานอยู่ในสำนักพิมพ์น่ะ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าตัวเองนั้นโชคดีมากเลยทีเดียว มิน่าล่ะซุนเหย้าเวยถึงยอมช่วยเธอ และนี่ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือของท่านอธิการบดีด้วย
แน่นอนถ้าหนึ่งคนมีกำลังพอที่จะช่วย คนทุกคนบนโลกก็พร้อมจะช่วยเหลือ
MANGA DISCUSSION