ตอนที่ 54 ขโมยจดหมาย
จางฉุ้ยเหลียนกลับมาที่วิทยาลัยด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ตอนนี้ก็เป็นเวลา 20.00 น. กว่าแล้ว คนในหอพักต่างก็คิดว่าสุดสัปดาห์นี้เธอจะกลับบ้าน แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนจะกลับมาที่วิทยาลัยอีก
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนผลักประตูเข้าไปในห้องพัก เธอก็พบว่าในห้องพักแห่งนี้ไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว เธอโยนกระเป๋าสะพายของตัวเองลงไปบนเตียง จากนั้นก็รีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที
ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนเดินกลับมานั้น เธอก็เห็นหลี่เหยากำลังล้างหน้าอยู่ในห้องน้ำของห้องพักฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นดังนั้นเธอก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไร หลังจากที่เธอเดินเข้ามาในห้องพักแล้ว เธอก็เดินไปยืนอยู่ที่หลังประตูตู้ ทันใดนั้นประตูห้องพักก็ถูกใครบางคนเปิดออกอย่างแรง
หลี่เหยาและเฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็เป็นเสมือนคู่อริกัน เพราะทุกครั้งที่พวกหล่อนทั้งสองคนเจอหน้ากัน พวกหล่อนก็มักจะหาเรื่องมาทะเลาะกันอยู่ตลอด แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับคิดไม่ถึงเลยว่าพวกหล่อนจะเดินเข้ามาในห้องพักพร้อมกันแบบนี้
เมื่อหลี่เหยาผลักประตูห้องเข้ามาในห้อง ประตูบานนั้นก็บังจางฉุ้ยเหลียนไว้พอดี พวกหล่อนจึงไม่ได้สังเกตุเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนอยู่ในห้องนี้ด้วย
“ฉันพูดจริง ๆ นะ ฉันคิดว่ามันไม่คุ้มเลยที่เธอจะไปทะเลาะกับคนไม่มีค่าแบบหล่อน!” หลี่เหยานั่งลงบนเตียงของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นหล่อนก็ชี้ไปที่เตียงของเฝิงเสี่ยวเจี๋ย “เธอดูสิ พอเธอไม่อยู่แล้วหล่อนก็มายุ่งกับเตียงของเธอ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เราสองคนจะเคยเข้าใจผิดกัน แต่ฉันก็เชื่อว่าเธอแค่มีอคติกับฉันเท่านั้น! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจหรอก เราจะรู้ว่าใครเป็นคนดีก็ต่อเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วเท่านั้นแหละ คนนิสัยไม่ดีอย่างจางฉุ้ยเหลียน ปกติหล่อนก็มักจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดีอยู่แล้ว แต่ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าหล่อนจะเป็นคนเจ้าเล่ห์มากแผนการแบบนี้ !”
“แต่ถึงอย่างไรเราก็ว่าหล่อนไม่ได้หรอก !ใครใช้ให้หล่อนไปคบกับติงหลงหลงล่ะ และการที่หล่อนจะพูดเข้าข้างติงหลงหลงมันก็เป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่หรือ เพราะพวกหล่อนสนิทกัน!” คำพูดของหลี่เหยา ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนว่าหล่อนพูดแทนจางฉุ้ยเหลียน แต่ความจริงแล้วหล่อนต้องการที่จะพูดเหยียดหยามเฝิงเสี่ยวเจี๋ยต่างหาก
“คนอย่างหล่อนแค่เห็นว่าใครรวยเข้าหน่อย หล่อนก็รีบวิ่งแจ้นเข้าไปประจบประแจงพวกเขาแล้ว หน้าไม่อายเลยจริง ๆ ! ตัวเองหางานทำไม่ได้แล้วยังมาโทษฉันอีก หล่อนเป็นถึงนักศึกษาวิทยาลัยแต่อยากจะออกไปหางานทำข้างนอกอย่างนั้นหรือ ถ้าหล่อนอยากจะหาเงินมากขนาดนั้น หล่อนก็ไม่ต้องมาเรียนตั้งแต่แรกสิ!” ดูท่าทางตอนนี้เฝิงเสี่ยวเจี๋ยคงจะโกธรจางฉุ้ยเหลียนมากจริง ๆ จางฉุ้ยเหลียนจึงคิดว่าเธอไม่ควรที่จะออกไปตอนนี้ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นก็ได้
จางฉุ้ยเหลียนกำลังแอบฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่หลังประตู และเฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็พูดด่าทอจางฉุ้ยเหลียนออกมาต่าง ๆ นานา อีกทั้งยังพูดใส่ความจางฉุ้ยเหลียนอีกต่างหาก
“เรื่องที่ฐานะทางบ้านของหล่อนไม่ดี เรื่องนี้ฉันก็พอจะเข้าใจ ไอ้หยา ปกติแล้วหล่อนก็ดูเห็นอกเห็นใจคนอื่นอยู่นะ แต่ฉันก็คิดไม่ถึงเลยว่าหล่อนจะทำกับเธอแบบนี้!” หลี่เหยาทอดถอนหายใจออกมาราวกับว่าหล่อนรู้สึกเห็นใจเฝิงเสี่ยวเจี๋ยอย่างไรอย่างนั้น และในเวลานี้จางฉุ้ยเหลียนก็ทำได้แค่ยืนฟังอยู่หลังประตูพร้อมกับกำหมัดเงียบ ๆ เพียงเท่านั้น
เธอไม่คิดเลยว่าคนที่มีอายุรุ่นราวเดียวกันกับเธอจะทำตัวแย่ได้ถึงขนาดนี้ ก็คงจะมีแต่ติงหลงหลงคนเดียวเท่านั้นแหละที่ดีกับเธออย่างแท้จริง เด็กสาวที่ชื่อหลี่เหยานี่มีจิตใจที่อำมหิตมากจริง ๆ
“เห้อ !หล่อนก็มีน้ำใจกับติงหลงหลงแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ เพราะหล่อนเห็นว่าติงหลงหลงมีเงินไงล่ะ หล่อนถึงได้เข้าไปประจบสอพลอติงหลงหลง เหอะ!” เฝิงเสี่ยวเจี๋ยเป็นเด็กสาวที่ปากไม่มีหูรูด ดูเหมือนว่าการเกลียดชังจะทำให้หล่อนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ฉันว่าไม่น่าจะใช่แบบนั้นนะ!” หลี่เหยาคอยสังเกตสีหน้าของเฝิงเสี่ยวเจี๋ยไปพลาง และพูดอย่างระมัดระวังไปพลางว่า “ฉันได้ยินมาว่าติงหลงหลงจะไปต่างประเทศ เห็นว่าหล่อนจะไปเรียนแลกเปลี่ยน แต่ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะเป็นคนมีความสามารถ แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็คงจะตามติงหลงหลงไปต่างประเทศไม่ได้หรอก!”
“ติงหลงหลงจะไปต่างประเทศอย่างนั้นหรือ ?” เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เหยา เฝิงเสี่ยวเจี๋ยนิ่งอึ้งไปทันที “ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ?”
หลี่เหยาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “ฉันก็ได้ยินมาจากคนอื่นเหมือนกัน และฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า!”
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยกัดฟันกรอด จากนั้นหล่อนก็พูดออกมาว่า “พวกคนรวยนี่ก็มักจะได้เปรียบกว่าคนอื่นเสมอเลยสินะ !เหอะ!”
“แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมจางฉุ้ยเหลียนถึงต้องขับไล่เธอออกจากห้องพักของเราด้วย เราทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกัน ทำไมหล่อนจะต้องทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้กับเธอด้วยล่ะ เธอก็แค่ไปบอกอาจารย์เรื่องที่หล่อนอยากจะออกไปหางานทำข้างนอกก็เท่านั้น หล่อนถึงกับต้องทำอย่างนี้กับเธอเลยหรือ!”
น้ำเสียงที่หลี่เหยาพูดออกมานั้นราวกับว่าหล่อนเห็นใจเฝิงเสี่ยวเจี๋ยมากอย่างไรอย่างนั้น ถ้าตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เป็นผู้ใหญ่อายุ 40 ปี ที่แฝงอยู่ในร่างของเด็กสาวแล้วล่ะก็ เธอก็คงจะพุ่งตัวออกไปถามหลี่เหยาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ว่าทำไมหล่อนถึงคิดว่าเธอต้องการที่จะพูดยุยงคนอื่นเพื่อให้พวกเขาร่วมมือกับเธอขับไล่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยให้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นด้วยล่ะ?
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หล่อนมันนิสัยไม่ดีมากเลยจริง ๆ ที่ฉันต้องย้ายไปอยู่ห้องอื่นมันก็เป็นเพราะหล่อนคนเดียว ภูเขาสีเขียวไม่เปลี่ยนเเม้ว่าเเม่น้ำสีเขียวจะไหลผ่าน ไม่มีใครสามารถดูถูกคนอื่นได้
จางฉุ้ยเหลียนยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตูอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งสองคนนั้นเดินออกไปจากห้องพักแล้ว เธอจึงเดินออกมาจากหลังประตูพร้อมกันขาที่ชาจากการยืนนาน เธอเดินกลับไปนั่งที่เตียงของตัวเอง จากนั้นเธอก็คิดขึ้นมาว่าเธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เธอไปทำอะไรให้หลี่เหยาต้องคับแค้นใจอย่างนั้นหรือ หล่อนถึงต้องมาใส่ความเธอแบบนี้
หลี่เหยาเดินฮัมเพลงเข้ามาในห้องพักอย่างอารมณ์ดี เมื่อหล่อนเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนกำลังนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง หล่อนก็คลี่ยิ้มออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “เธอกลับมาได้ยังไง ? ไม่ใช่ว่าเธอกลับไปที่บ้านหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็จ้องมองเข้าไปในดวงตาของหล่อน “ที่บ้านของฉันไม่มีปัญหาอะไรแล้วน่ะ ฉันก็เลยกลับมาก่อน ว่าแต่เธอเถอะ ดึกป่านนี้แล้วยังออกไปไหนมาอีก ? ”
หลี่เหยาทำตัวปกติทุกอย่าง ไม่มีพิรุธออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย “ฉัน? ฉันออกไปเดินเล่นข้างนอกมาน่ะ เธออย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ ไข่ชาในร้านขายของชำที่ฉันเพิ่งไปกินมา มันอร่อยกว่าไข่ชาของโรงอาหารเสียอีก เมื่อกี้ฉันกินคนเดียวไปตั้ง 3 ฟองแน่ะ ตอนนี้ฉันเลยเรอออกมาไม่หยุดเลยล่ะ”
เมื่อหล่อนพูดจบ หล่อนก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเตียงของตัวเอง จากนั้นหล่อนก็หันไปหยิบแอปเปิลออกมาลูกหนึ่งและยื่นมันไปให้กับจางฉุ้ยเหลียน:“ตอนนี้ฉันเหลือแอปเปิลอยู่ 2 ลูก ฉันให้เธอลูกหนึ่งนะ อย่าให้คนอื่นเห็นเด็ดขาดนะ!”
จางฉุ้ยเหลียนจ้องมองไปทางแอปเปิลที่กำลังกลิ้งลงยังเตียงของหล่อน เมื่อเห็นดังนั้นเธอก็ยิ้มออกมา จากนั้นเธอก็กลิ้งแอปเปิลลูกนั้นกลับไปให้หลี่เหยาและพูดออกไปว่า “ ขอบใจนะ แต่ฉันไม่ค่อยชอบกินของของคนอื่นเท่าไหร่น่ะ !”
เมื่อถูกจางฉุ้ยเหลียนปฏิเสธน้ำใจ หลี่เหยาก็นิ่งอึ้งในทันที หล่อนจึงหันหน้าไปทางอื่นจากนั้นก็แลบลิ้นออกมาราวกับว่าหล่อนอยากจะอาเจียนอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นหล่อนก็หันหน้ากลับไปพูดกับจางฉุ้ยเหลียนด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาว่า “ไม่เป็นไรหรอกน่า เธอเอาแอปเปิลของฉันไปกินเถอะ !ฉันไม่มีทางดูถูกเธอเหมือนกับคนอื่น ๆ หรอกนะ เพราะฉันคิดว่าเธอเป็นคนดีมากว่าพวกหล่อนเสียอีก!”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว จากนั้นเธอก็ถามหลี่เหยาออกไปว่า “ฉันดียังไงหรือ? ฉันไม่รู้จริง ๆ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่เหยาก็นิ่งอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง หล่อนรู้สึกว่าวันนี้จางฉุ้ยเหลียนแปลกไปจากทุกวัน หล่อนรู้สึกว่าคำพูดที่จางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เหมือนกับหล่อนเคยได้ยินมันมาก่อน ?
“ฉุ้ยเหลียน เธอกลับมาถึงห้องพักตอนไหนหรือ?” เมื่อได้ยินคำถามของหลี่เหยา จางฉุ้ยเหลียนจึงคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ฉันกลับเข้าห้องพักมาได้ไม่นาน เธอก็กลับเข้ามา ว่าแต่คนอื่นไปไหนกันหมดหรือ ? ”
หลี่เหยาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “อ่อ พวกหล่อนออกไปดูหนังกลางแปลงข้างนอกกันน่ะ อีกเดี๋ยวก็คงจะกลับเข้ามากันแล้วล่ะ !”
จางฉุ้ยเหลียนกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็เอนกายนอนลงไปนอนบนเตียง และหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากใต้หมอน จากนั้นเธอก็เริ่มเปิดอ่านมันอย่างสบายอารมณ์
“ฉุ้ยเหลียน เธอมีเรื่องอะไรในใจรึเปล่า ? ถ้าเธอไม่ว่าอะไร ฉันก็หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้นะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้โดดเด่นหมือนกับติงหลงหลง แต่อย่างน้อยฉันก็เป็นคนจริงใจ เธอว่าไงล่ะ!” หลี่เหยามองไปทางจางฉุ้ยเหลียนที่นอนอยู่เตียงฝั่งตรงข้ามด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าหล่อนจะรู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะไม่รู้เรื่องที่หล่อนใส่ความเธอ แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี
ฉุ้ยเหลียนเลิกคิ้วขึ้นสูง จากนั้นก็พูดออกไปว่า “ฉันคิดว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้วล่ะ เราทุกคนก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว เพราะเราเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน”
หลี่เหยาเข้าใจความหมายที่จางฉุ้ยเหลียนต้องการจะสื่อดี หล่อนจึงเบะปาก จากนั้นหล่อนก็ปีนขึ้นไปบนเตียงของตัวเอง
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็คิดว่าเฝิงเสี่ยวเจี๋ยและหลี่เหยาต้องคิดวางแผนอะไรบางอย่างที่ไม่ดีอยู่แน่ ๆ แต่หลี่เหยาก็เหมือนหมาหางสั้นที่พยายามไล่งับหางของตัวเอง หล่อนไม่มีวันไล่ตามจางฉุ้ยเหลียนทันหรอก
จางฉุ้ยเหลียนจนปัญญาแล้วจริง ๆ ไม่ว่าหลี่เหยาต้องการที่จะทำอะไร ตราบใดที่เธอไม่ฟังคำพูดของหล่อน หล่อนอยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้หล่อนทำไปเถอะ
ทางด้านกู้จื้อเฉิง เขาได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากจางฉุ้ยเหลียน และคิ้วของเขาก็ขมวดกันแน่นราวกับเขากำลังจะตายให้ได้อย่างไรอย่างนั้น
“หน้านายดำเป็นถ่านแล้วนะตอนนี้ ว่าแต่ใครเขียนจดหมายส่งมาให้นายอย่างนั้นหรือ ?” จิ้นเหวินเพื่อนสนิทของกู้จื้อเฉิงที่กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ หัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของเขา “คนรักเขียนจดหมายมาหานายใช่ไหมล่ะ ทำไมหรือ หล่อนเขียนจดหมายมาบอกเลิกนายหรือไง ? ”
กู้จื้อเฉิงเก็บจดหมายฉบับนั้นทันที จากนั้นก็หันไปพูดกันจิ้นเหวินว่า “ทำไมเด็กนักศึกษาสมัยนี้ ถึงได้ฉลาดและมีไหวพริบมากขนาดนี้ล่ะ!”
จิ้นเหวินยิ้มและส่ายหน้า เขาเดินเข้าไปหยิบจดหมายที่อยู่ในมือของกู้จื้อเฉิงขึ้นมาอ่านอย่างไม่เกรงใจ เมื่อได้อ่านจดหมายฉบับนั้นแล้ว เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “ฮ่า!หล่อนเรียนอยู่ที่ไหนเนี่ย เพื่อนของหล่อนอย่างกับสนมเอกในวังหลวงที่ต้องการจะแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอย่างนั้นแหละ!”
เมื่อจิ้นเหวินพูดจบ เขาก็เลื่อนสายตาลงมาอ่านชื่อผู้ส่ง และชื่อผู้ที่ส่งจดหมายฉบับนี้มาให้เพื่อนของเขาก็คือ ฉุ้ยเหลียน อีกทั้งเธอยังเขียนชื่อมาอย่างประณีตและสวยงามมากอีกด้วย เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงยิ้มและพูดออกไปว่า “นี่ชื่อคนรักของนายหรือ ? แล้วเธอก็ยังเป็นนักศึกษาด้วย เธอเขียนจดหมายมาฟ้องนายอย่างนั้นหรือ ? ”
กู้จื้อเฉิงส่ายหน้าเล็กน้อย “เธอก็แค่เขียนมาเล่าเรื่องในชีวิตประจำวันของเธอก็เท่านั้น!”
จิ้นเหวินหัวเราะออกมาเบา ๆ “เรื่องของพวกเด็กผู้หญิง ผู้ชายอย่างนายไม่ต้องเก็บเอามาใส่ใจหรอก”
กู้จื้อเฉิงยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “การที่เธอเขียนจดหมายมาบอกฉันเรื่องนี้ มันก็ชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่าเธอจัดการเรื่องนี้เองไม่ได้ ฉันจะหาทางช่วยเธอเอง!”
จิ้นเหวินยกมือขึ้นมากอดอก จากนั้นเขามองไปทางเพื่อนรักของตัวเองด้วยความสนใจ “ฉันชักอยากจะเห็นหาคนรักของนายตัวเป็น ๆ แล้วสิ ฉันคงต้องหาเวลาไปเจอหล่อนหน่อยแล้ว ? ”
กู้จื้อเฉิงหยิบกล่องบุหรี่ที่อยู่ข้างกายขึ้นมา จากนั้นเขาก็ดึงบุหรี่ออกมามวนหน่อย ก่อนจะโยนกล่องบุหรี่นั้นไปทางจิ้นเหวิน จิ้นเหวินยื่นมือออกมาคว้าไว้ เขาเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย “นายคงจะไม่กลัวคนรักของนายหรอกใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นนายก็เป็นผู้นำไม่ได้หรอกนะ”
“เหอะ !ถึงนายจะมาพูดยุยงฉัน มันก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ!” กู้จื้อเฉิงเข้าใจความหมายที่เพื่อนรักของเขาต้องการจะสื่อดี เขาคลี่ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
จิ้นเหวินยักไหล่และถอนหายใจออกมา “แค่ฉันได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันก็รู้แล้วว่าคนรักของนายอายุยังน้อย ตอนนี้ฉันก็ยังไม่มีคนรัก เราสองคนมาพนันกันไหมล่ะ ว่าใครจะได้แต่งงานก่อนกัน ?”
กู้จื้อเฉิงหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น่าเบื่อ !” ถึงแม้ว่าปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ใบหน้าของกู้จื้อเฉิงกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนส่งจดหมายไปให้กับกู้จื้อเฉิงแล้ว หล่อนก็ไม่เห็นว่าเขาจะส่งจดหมายตอบกลับมาแต่อย่างใด เธอจึงรู้สึกท้อแท้ใจไม่น้อย บางทีที่เขาให้เธอส่งจดหมายไปเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เขาฟัง เขาก็อาจจะทำไปเพราะความเกรงใจก็ได้ เขาคงไม่ได้ชอบเธอเหมือนอย่างที่ติงหลงหลงบอกกับเธอหรอก
“แม่หนู เธอมาที่นี่ทำไมกัน ? เพื่อนร่วมห้องของเธอเอาจดหมายกลับไปให้เธอแล้วนะ ! ” เมื่อคุณลุงยามเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนมาเอาจดหมาย เขาจึงคลี่ยิ้มและบอกกับเธอว่ามีเพื่อนร่วมห้องของเธอเอาจดหมายไปให้เธอแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนนิ่งอึ้งในทันที “ใครมารับจดหมายให้หนูหรือคะ?ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เมื่อได้ยินดังนั้น คุณลุงยามก็อึ้งงันไปทันที จากนั้นเขาก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา “หา?เธอไม่ได้รับอย่างนั้นหรือ ? ฉันจำได้ว่ามีคนเอาจดหมายของเธอไปแล้วนะ!”
เมื่อพูดจบคุณลุงก็รีบกลับเข้าไปในป้อมยามทันที จากนั้นก็ล้วงไปหยิบสมุดจดบันทึกรับพัสดุออกมาจากในลิ้นชักและเริ่มทำงานค้นหาชื่อจดหมายของจางฉุ้ยเหลียนจากบนลงล่าง ซึ่งเขาก็เห็นว่าจดหมายของจางฉุ้ยเหลียนนั้นมีคนเอาไปแล้วจริง ๆ
“เธอดูสิ หล่อนบอกว่าหล่อนเป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอ แล้วหล่อนก็เพิ่งจะเอาจดหมายของเธอไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง ! ” คุณลุงยามเริ่มร้อนใจขึ้นมาไม่น้อย “แม่หนู หรือว่าจดหมายฉบับนั้นจะเป็นค่าต้นฉบับของเธอ ไอ้หยา ลุงเองก็ชะล่าใจเกินไป ดันลืมดูบัตรนักศึกษาของเด็กคนนั้นไปเสียได้!”
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปอย่างปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรค่ะ น่าจะไม่ใช่จดหมายของสำนักพิมพ์ เพราะช่วงนี้หนูไม่ได้ส่งต้นฉบับไป คุณลุงวางใจได้”
เธอคิดเอาไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อพูดจบเธอก็เดินเข้าไปตบแขนของคุณลุงยามเบา ๆ และพูดว่า “คุณลุงคะ หลังจากนี้ถ้าเป็นจดหมายส่งมาถึงหนู คุณลุงจำไว้เลยนะคะ ต่อให้หนูกลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณลุงก็ต้องเก็บจดหมายเอาไว้ให้หนู ต่อให้เป็นแม่ของหนูเป็นคนมารับจดหมายฉบับนั้นแทนหนู คุณลุงก็ห้ามให้ไปเด็ดขาดนะคะ”
คุณลุงยามที่รู้เรื่องของจางฉุ้ยเหลียนมาจากท่านอธิการบดีบ้างแล้ว เขาจึงได้รู้สถานการณ์ของเธอ เขามองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยรู้สึกความละอายใจ จากนั้นเขาก็รีบตอบตกลงในทันที “ได้ หลังจากนี้ลุงจะเก็บเอาไว้ให้เธอ และจะไม่ให้ใครเอาไปได้”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ “จำเรื่องนี้ไว้ให้ขึ้นใจเลยนะคะ ว่าต่อไปลุงจะต้องขอดูบัตรนักศึกษาทุกครั้งที่มีคนมาขอรับจดหมาย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา หรือของสลับกันเพราะชื่อเหมือนกัน มันก็อาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ !”
คุณลุงพยักหน้า “ได้ ได้ !ลุงจะจำไว้ให้ขึ้นใจ!”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดกับคุณลุงยามเรียบร้อยแล้ว เธอก็หมุนตัวและเดินกลับหอพักทันที หลังจากที่ผลักประตูเข้าไปในห้องพักของเธอแล้ว เธอก็เห็นว่าทุกคนต่างก็กำลังเตรียมตัวที่จะไปเรียนคาบทบทวนบทเรียนด้วยตัวเองกันในช่วงค่ำ
จางฉุ้ยเหลียนยืนที่หน้าประตูพักใหญ่ จากนั้นก็ตะโกนถามออกไปเสียงดังว่า “ใครเอาจดหมายของฉันไป ?”
ทุกคนในห้องพักต่างพากันตกใจไม่น้อย จางเหว่ยจึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “ทำไมหรือ มีคนเอาจดหมายของเธอไปอย่างนั้นหรือ ?”
จางฉุ้ยเหลียนทำสีหน้าเคร่งขรึม และตอบออกไปว่า “อื้อ !คุณลุงยามบอกกับฉันว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนไปรับจดหมายแทนฉัน หล่อนอ้างว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องของฉัน แต่นี่มันก็ 3 วันเข้าไปแล้ว ยังไม่มีใครเอาจดหมายมาให้ฉันเลย”
หลี่ม่านกระโดดลงจากเตียง จากนั้นก็พูดออกไปเสียงดังว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ? แล้วใครจะเป็นคนเอาจดหมายของเธอไปล่ะ ? คุณลุงยามบอกผิดรึเปล่า ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยืนพิงกับขอบประตูและพูดขึ้นว่า “ฉันรู้ว่าเป็นฝีมือของใคร ฉันก็แค่อยากจะบอกหล่อนไว้ว่าน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง เราควรต่างคนต่างอยู่ ปกติเธอก็มักจะใช้เล่ห์เหลี่ยมพูดว่าร้ายฉันลับหลังอยู่แล้ว อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ต่อหน้าฉันทำอีกอย่างลับหลังทำอีกอย่าง ภายนอกทำตัวใสซื่อไร้เดียงสา แต่ภายในกลับคิดจะแทงข้างหลังฉัน ! ฉันพลาดเองที่ทำให้เฝิงเสี่ยวเจี๋ยต้องย้ายออกไปจากห้องนี้ และตอนนี้หล่อนก็คงจะเกลียดฉันเข้าไส้เลยล่ะ”
ทุกอย่างในห้องเงียบลงไปในทันที ทุกคำที่จางฉุ้ยเหลียนพูดมานั้นมันถูกต้องมากเลยทีเดียว เพราะห้องพักที่ดีแห่งนี้ ก็ถูกเฝิงเสี่ยวเจี๋ยทำลายชื่อเสียงจนป่นปี้หมดแล้ว
MANGA DISCUSSION