ตอนที่ 152 สถานการณ์ตึงเครียด
เพราะเหล่าบรรดาคุณครูทั้งหลายสงสัยในผลสอบ จางฉุ้ยเหลียนเลยโดนผู้อำนวยการเรียกไปดื่มชาที่ห้องทำงาน
“หนูไม่เข้าใจ เรื่องนี้มันน่าสงสัยมากเลยหรือคะ ? หรือว่านอกจากวิธีการสอนแบบใหม่ กับการทบทวนบทเรียนด้วยตัวเองของนักเรียนแล้ว พวกเขาจะสอบได้คะแนนดี ๆ กันไม่ได้หรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนโมโหสุด ๆ “เด็กนักเรียนต่างก็ชอบหนู ตอนเข้าเรียนก็ไม่มีใครคุยกัน ไม่โดดเรียน หรือไม่ตั้งใจเรียน พอหมดคาบแล้วก็คิดว่าเวลาผ่านไปเร็วเสมอ ไม่มีใครไม่ทำการบ้านที่หนูสั่ง แล้วทำไมพวกเขาถึงจะต้องโกงข้อสอบล่ะคะ ในทุก ๆ คาบเรียนพวกเขาก็ตั้งใจเรียนกันมากด้วย ! ”
ผู้อำนวยการเป็นคนแก่ผิวขาวตัวอ้วน หน้าตาใจดีเหมือนกับพระสังกัจจายน์ พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนโมโหแบบนั้น เขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ครูจาง อย่าเพิ่งโมโหไปเลย ผมเข้าใจวิธีสอนของคุณครูดี ผลลัพธ์ในเวลาสั้น ๆ มันก็โดดเด่นมากจริง ๆ ผลการเรียนที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดของนักเรียนก็เป็นสิ่งที่คุณครูทุกคนอยากจะเห็น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ช่วงสองวันนี้ผมจะไปสังเกตการณ์การสอนของคุณครูที่ห้อง และจะได้ให้คุณครูท่านอื่นเห็นวิธีการสอนของครูด้วย”
จางฉุ้ยเหลียนท้อใจ ดูเหมือนผู้อำนวยการก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าเธอจะไม่บอกแนวข้อสอบให้เด็ก ๆ ขณะนี้ในท้องของเธอมันก็เต็มไปด้วยความโมโห แต่เธอก็ทำได้แค่ตั้งสติและสอนให้ดีต่อไปเท่านั้น
คาบแรกของช่วงบ่าย ผู้อำนวยการพาครูอีกสอนคนเดินเข้ามาพร้อมสมุดโน๊ต จากนั้นพวกเขาก็เริ่มนั่งสังเกตการณ์การสอนของจางฉุ้ยเหลียนอยู่ทางด้านหลัง
พวกเด็ก ๆ เห็นผู้อำนวยการเดินเข้ามาเลยเริ่มเครียดกันทันที แม้แต่อาการง่วงเหงาหาวนอนก็หายเป็นปลิดทิ้ง
จางฉุ้ยเหลียนยืนพูดปลอบเด็กนักเรียนอยู่หน้าชั้นเรียนด้วยรอยยิ้ม “ผลการสอบกลางภาคในครั้งนี้ วิชาภาษาจีนของห้องเราได้คะแนนดีกว่าห้องอื่นเยอะมาก ท่านผู้อำนวยการพอใจกับคะแนนสอบของห้องเราเป็นอย่างมาก ท่านเลยมาดูว่าปกติพวกเธอตั้งใจเรียนกันขนาดไหน”
พอพูดแบบนี้เด็กนักเรียนก็เริ่มนั่งหลังตรงด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาทันที และเอามือทั้งสองข้างมาวางไว้บนโต๊ะด้วยท่าทางที่ดูจริงจังผิดปกติ
จางฉุ้ยเหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ก่อนที่จะเริ่มเรียน ครูจะทบทวนเนื้อหาในบทที่แล้วก่อน วิธีทดสอบก็คือรีบยกมือแย่งกันตอบ สองกลุ่มทางซ้ายมือของครู แข่งกับสองกลุ่มทางขวามือของครูนะ ฝ่ายที่ชนะสามารถสั่งให้คนที่แพ้ออกมาแสดงอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ เช่นจะร้องเพลง เต้น หรือเล่าเรื่องตลกอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
พวกเด็ก ๆ ชอบเล่นและชอบแข่งขัน พอได้ยินว่าทั้งสองฝั่งจะต้องมาแข่งกันพวกเขาก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที
จางฉุ้ยเหลียนเริ่มถาม นักเรียนทั้งสองฝั่งก็รีบยกมือแย่งกันตอบ ห้องเรียนดูคึกคักเป็นพิเศษ จางฉุ้ยเหลียนเห็นทุกคนมีความสุขกันขนาดนี้เลยรีบพูดเตือนขึ้นมาทันที “ไม่ได้บอกว่าใครได้ก็ให้ยกมือนะ แบบนี้ตัดสินแพ้ชนะไม่ได้แน่นอน”
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนพูดจบ เธอก็ยกมือขึ้นแล้วผายมือ “ครูจะให้พวกเธอตอบคำถามทีละคน ๆ พอมีคนตอบไม่ได้ก็ถือว่าแพ้ทันที”
เด็ก ๆ เริ่มเครียดขึ้นมาทันที เมื่อกี้คนที่ตอบได้ก็จะยกมือ ส่วนคนที่ตอบไม่ได้ก็ทำเสียงดังอยู่ข้าง ๆ จางฉุ้ยเหลียนเลยเปลี่ยนกติกา ทุกคนเลยเริ่มกลัวว่าถ้าตัวเองตอบไม่ได้ขึ้นมาแล้วจะทำให้กลุ่มของตัวเองขายหน้า
จางฉุ้ยเหลียนเรียกให้นักเรียนตอบคำถามทีละคน ๆ และในระหว่างที่จางฉุ้ยเหลียนถามพวกเด็กนักเรียนก็เงียบเสียงลง บางคนก็ลุกขึ้นด้วยความประหม่า ส่วนเพื่อนบางคนก็เตือนเบา ๆ หรือไม่ก็ทำให้เครียดกว่าเดิม เพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็คอยจ้อง ทำให้บรรยากาศในช่วงนั้นดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ผู้อำนวยการมองดูเด็ก ๆ แข่งกันอย่างมีความสุข เขาเพิ่งค้นพบว่านักเรียนเกือบทุกคนตอบคำถามได้ดีมาก สุดท้ายนักเรียนหญิงคนหนึ่งก็ตอบคำถามผิดเกมเลยจบลง ต่อจากนั้นเด็กคนนั้นก็โดนลงโทษด้วยการท่องบทกวีโบราณพร้อมกับสีหน้าที่แดงก่ำ
ช่วงสุดท้ายจางฉุ้ยเหลียนยังสรุปเกมเมื่อครู่ และยังสอนสำนวนให้นักเรียนอีกสำนวนหนึ่ง……วาดดาบดึงคันธนู (การทำให้สถานการณ์ทั้งสองฝ่ายเกิดความตึงเครียด) เรื่องนี้ทำให้ผู้อำนวยการรู้สึกแปลกใจมาก การสอนต่อจากนั้นก็น่าสนใจเช่นกัน เพราะก่อนที่จะสอนจางฉุ้ยเหลียนก็ได้เตรียมตัวมาอย่างดี เนื้อหาในคาบนี้คือ (เรือน้อยในเมืองเวนิส) ของมาร์ก ทเวน
จางฉุ้ยเหลียนถามด้วยรอยยิ้ม “เด็ก ๆ เมื่อวานพวกเราลองอ่านเนื้อหาบทนี้แล้ว ครูเชื่อว่าทุกคนคงรู้สึกว่าเนื้อหาบทนี้แปลกมากใช่ไหม ? ”
“ใช่ครับ ใช่ค่ะ ! ” นักเรียนทั้งห้องตอบเป็นเสียงเดียวกัน จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจในทันที “ถ้าอย่างนั้นครูจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองเวนิสแห่งนี้ให้นักเรียนฟังก่อนนะ”
จางฉุ้ยเหลียนเล่าเรื่องที่ตั้งของเมืองแห่งนี้ให้นักเรียนฟังก่อน “นี่เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี เป็นเมืองแห่งเดียวบนโลกที่ไม่มีรถยนต์ และเป็นเมืองบนผืนน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก”
ในเวลานี้มีเด็กยกมือถามด้วยความสงสัย “ถ้าอย่างนั้นพวกเขาสร้างเมืองขึ้นมาบนน้ำได้ยังไงครับ ? แล้วทำไมถึงไม่สร้างบนดินล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “การสร้างเมืองไม่ควรสร้างบนน้ำอย่างนั้นหรือ แล้วมันสร้างได้แค่บนดินเท่านั้นงั้นหรือ เห็นไหมว่าที่นี่พิเศษมากขนาดไหน มีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ไหลคดเคี้ยวไปมามากมาย ดังนั้นภายในเมืองนี้จึงจำเป็นต้องใช้สะพานเล็ก ๆ เชื่อมต่อจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ในเมืองแห่งนี้ไม่มีทั้งรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ เดินทางได้แค่ทางเรือเท่านั้น”
ทุกคนเข้าใจในทันที ทันใดนั้นพวกเขาก็เกิดความสนใจเกี่ยวกับเมืองเวนิสขึ้นมา จางฉุ้ยเหลียนจึงได้พูดต่อไปว่า “อย่างที่ทุกคนเห็น ในบทเรียนใช้ใครคนหนึ่งที่แทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ มาเล่าเรื่องราว ก่อนอื่นเลยเขาอธิบายว่าเรือลำเล็ก ๆ เป็นยานพาหนะหลักในการเดินทางของเมืองเวนิส ต่อจากนั้นก็อธิบายรายละเอียดโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ของเรือ ด้านหลังบรรยายทักษะการพายเรือขั้นสูง และสุดท้ายก็พูดถึงว่าเรือเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนที่นั่นยังไง”
ผู้อำนวยการพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วหันไปพูดกับครูอีกคนว่า “อือ เธอเป็นนักศึกษาจบใหม่งั้นหรือ สอนได้ลื่นไหลและรู้จักใช้วิธีการต่าง ๆ มีความอดทนยิ่งกว่าครูยุคเก่าเสียอีก สิ่งที่สำคัญคือเด็ก ๆ เต็มใจที่จะเรียนรู้ ตอนนี้เด็ก ๆ พวกนี้ไม่ได้รู้แค่ว่าเมืองเวนิสเป็นเมืองเล็ก ๆ ในประเทศอิตาลีอีกต่อไป การที่เธอพูดแบบนี้ ทำให้บทเรียนดูน่าสนใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง”
ครูคนนั้นก็เห็นด้วยเช่นกัน เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ครูหนุ่มสาวมักสนุกไปกับเด็ก ๆ ด้วย ครูยุคเก่ามักจะเข้มงวดมากเกินไป พวกเด็กก็เลยกลัวกันไปหมด”
การบรรยายต่อจากนั้น จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ให้นักเรียนอ่านเสียงดัง เธอให้นักเรียนอ่านเนื้อหาสามย่อหน้านั้นเร็ว ๆ ภายในสามนาที จากนั้นก็ให้ตอบคำถามข้อแรกของเธอ “ผู้เขียนใช้การเขียนเชิงเปรียบเทียบ มาบรรยายลักษณะเรือว่าอะไรบ้าง”
ผ่านไปแค่ชั่วครู่เด็ก ๆ ก็ยกมมือน้อย ๆ ของตัวเองขึ้น จางฉุ้ยเหลียนผายมือไปทางเฉิงเทียนอีด้วยความดีใจ “เฉิงเทียนอี ! ”
เฉิงเทียนอีลุกขึ้นยืน พร้อมยกหนังสือขึ้นแล้วอ่านมันอย่างภาคภูมิใจ “เรือในเมืองเวนิสมีความยาว 20 – 30 ฟุต มันทั้งแคบทั้งลึก ลักษณะคล้ายเรือแคนู หัวเรือและหางเรือเชิดขึ้น เหมือนพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า การเคลื่อนไหวรวดเร็วคล่องแคล่ว ราวกับงูที่คดเคี้ยวไปตามแม่น้ำ”
หลังอ่านจบ จางฉุ้ยเหลียนก็หันไปถามนักเรียนคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ในห้องว่า “เฉิงเทียนอีตอบถูกไหม ? ”
แต่ละคนต่างก็เปล่งเสียงออกมาอย่างฉะฉานว่า “ถูกต้องครับ ถูกต้องค่ะ ! ”
เฉิงเทียนอีมองจางฉุ้ยเหลียนด้วยความดีใจ รอดูปฏิกิริยาของเธอ จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าแล้วผายมือส่งสัญญาให้เฉิงเทียนอีนั่งลง “เฉิงเทียนอีตอบถูกแล้ว ครูก็อยากจะขอพูดชมเขาหน่อย ช่วงนี้เขาตอบคำถามในห้องอย่างกระตือรือร้น ทำการบ้านได้ดีมากด้วย นักเรียนคนอื่น ๆ ก็ไปขอดูสมุดการบ้านของเขาได้ เพราะเฉิงเทียนอีเขียนตัวหนังสือได้สวยมาก”
หลังจากพูดจบเธอก็ใช้วิธีนี้สอนต่อ ทำให้นักเรียนอ่านคำตอบอย่างรวดเร็ว
หลังเลิกเรียนครูที่มาดูการสอนก็พูดกับผู้อำนวยการว่า “ครูจางคนนี้มีฝีมือใช้ได้เลย วิธีสอนแบบนี้ ลดภาระให้ตัวเองไปได้เยอะมาก”
เธอลดภาระอะไรกันล่ะ มันเป็นเพราะเธอบังคับให้นักเรียนต้องเตรียมตัวมาก่อนเข้าเรียนต่างหาก อาศัยเพียงแค่การอ่านสั้น ๆ 3 นาที ใครจะกล้าตอบคำถามที่ครูต้องการจากเนื้อหาที่ไม่ได้มาจากหนังสือล่ะ
และเป็นเพราะการเรียนที่เข้มข้น หลังเรียนจบแล้วเด็ก ๆ ก็ยังสามารถสรุปบทเรียนคร่าว ๆ ด้วยภาษาของตัวเองได้
แม้แต่นักเรียนที่ขี้เกียจ พอถึงคาบถัดไปแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็จะใช้การแข่งตอบคำถามอีกครั้ง ใครตอบไม่ได้ขึ้นมาก็จะต้องขายหน้าต่อหน้าทุกคน จึงเป็นการบีบให้นักเรียนต้องทบทวนบทเรียนมาก่อนเข้าเรียน เมื่อเป็นแบบนี้ เด็ก ๆ ก็จะยอมอ่านหนังสืออย่างจริงจังเช่นนี้ถึง 3 รอบ บวกกับการเรียนการสอนและการบ้านแล้ว ถ้าเกรดยังไม่ขึ้นอีกจะมีใครเชื่อล่ะ ?
เมื่อมาถึงวันที่สอง ผู้อำนวยการก็ยังพาครูสอนภาษาจีนอีกหลายท่านที่ไม่มีสอนมาดูวิธีการสอนของจางฉุ้ยเหลียน พวกเขาคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนจะใช้วิธีเดิม ๆ เหมือนเมื่อวาน เพียงแค่ให้นักเรียนแบ่งเป็นสองฝั่งและแข่งกันตอบคำถาม
แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้เธอจะสอบเขียนเนื้อหาที่นักเรียนจำได้ เรื่องนี้ทำให้เด็ก ๆ หลายคนตกใจและทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว จางฉุ้ยเหลียนทำหน้าตาได้ใจและพูดออกไปว่า “ตกใจกันละสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า คิดว่าครูจะแข่งตอบคำถามเรื่อง (เรือน้อยในเมืองเวนิส) ที่เรียนไปเมื่อวานใช่ไหม ? ”
พวกนักเรียนพยักหน้า “ใช่ครับ ใช่ค่ะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนหยิบชอล์กขึ้นมา จากนั้นก็แบ่งกระดานออกเป็นสี่ส่วน
“ครูรู้ว่าพวกเธอต้องคิดว่าครูจะถามเนื้อหาที่เรียนไปเมื่อวาน แต่….!” จางฉุ้ยเหลียนยิ้มอย่างมีชัย “ครูเป็นครูของพวกเธอ แล้วครูจะเดาไม่ออกหรือว่าพวกเธอเตรียมตัวกันมาแล้ว หึ คิดจะเล่นกับครูอย่างนั้นหรือ แครอทน้อยอย่างพวกเธอยังอ่อนหัดเกินไป ! ”
นักเรียนที่อยู่ด้านหน้าอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ถ้างั้น ครูจะสอบยังไงล่ะครับ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนผายมือไปทางกระดานดำ “แบ่งเป็นกลุ่ม ยึดอักษรสามคำห้าคำหรือเป็นวลีที่แต่ละคนเขียนไว้บนกระดาน สุดท้ายใช้คำตอบที่ถูกต้องมาตัดสินกลุ่มที่จะโดนลงโทษ ! ”
บทลงโทษของจางฉุ้ยเหลียนคือกลุ่มที่แพ้ต้องทำเวรประจำวัน คนที่เป็นเวรประจำวันในวันก็ไม่กลัว ส่วนคนที่กลัวก็คือคนที่โดนลงโทษให้ทำเวรประจำวัน
พอเผชิญหน้ากับความท้าทายที่คาดไม่ถึง เด็กนักเรียนก็พากันออกมาเขียนข้อความของบทความนี้บทความโน้นบ้าง ทำให้เด็กนักเรียนที่อยู่ในลำดับถัดไปมั่วกันเละเทะ
การโจมตีที่กระทันหันเช่นนี้ทำให้ครูสอนภาษาจีนหลายคนบุ้ยปาก คิดว่าจางฉุ้ยเหลียนกำลังอวดเบ่ง พอโม้มากก็ขายขี้หน้ามาก ขณะมองความยุ่งเหยิงตรงหน้า พวกเขาก็เริ่มหัวเราะออกมาเบา ๆ
โชคดีที่จางฉุ้ยเหลียนได้วางรากฐานที่มั่นคงไว้ในวันปกติแล้ว ผ่านไปไม่นานนักเรียนที่อยู่ด้านหลังก็เริ่มผ่อนคลายและมีเวลาเตรียมตัว อัตราคำตอบที่ถูกต้องก็เพิ่มมากขึ้น ความยุ่งเหยิงและคำที่เขียนผิดก็มีน้อยลงไปเรื่อย ๆ
ผู้อำนวยการพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ เขารู้สึกพอใจกับการปรับปรุงการสอนของเธอ และเชื่อว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่จำเป็นต้องบอกแนวข้อสอบล่วงหน้าเพื่อให้ผลสอบออกมาดี เพราะเธอสอบในคาบทุกวัน ให้ความรู้พร้อมกับความสนุกสนาน หรือเรียนรู้ในขณะเล่นนั่นเอง
แต่เป็นเพราะการสอบครั้งนี้มีคนเขียนผิดไม่น้อย บรรดาครูที่เคยสงสัยจางฉุ้ยเหลียนก่อนหน้านี้จึงมีโอกาสขึ้นมา พวกเขามั่นใจว่าจางฉุ้ยเหลียนต้องทำอะไรที่ไม่ควรทำแน่ ๆ ผลสอบของพวกเด็กนักเรียนถึงได้ออกมาดีมากขนาดนั้น
ผู้อำนวยการไม่ได้ชี้แจงออกไปอย่างชัดเจน ส่วนพวกครูคนอื่น ๆ ก็ยังชอบปล่อยข่าวมั่ว ๆ ไปทั่ว ผ่านไปไม่ถึงสองวันข่าวนี้ก็มาถึงหูของจางฉุ้ยเหลียน พวกนักศึกษาที่มาฝึกสอนด้วยกันต่างก็พากันเว้นระยะห่างออกจากเธอทันที
“น่าโมโหสุด ๆ ทำเกินไปแล้วจริง ๆ ยังมีความเป็นครูกันอยู่ไหม เป็นสุภาพชนจอมปลอมกันทั้งนั้น” จางฉุ้ยเหลียนอดระบายให้กู้จื้อเฉิงฟังไม่ได้ กู้จื้อเฉิงเลยใช้โอกาสนี้พูดขึ้นมาว่า “งั้นก็ไม่ต้องทำแล้ว มาอยู่กับฉันสิ”
จางฉุ้ยเหลียนหน้าแดงขึ้นมาทันที “ฝันไปเถอะ ! ”
MANGA DISCUSSION