ตอนที่ 151 การเรียนการสอน
หลังจากที่ได้มาสัมผัสกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงานใหม่ จางฉุ้ยเหลียนก็ได้เจอกับเพื่อนร่วมงานหนุ่มโสดสุดหล่อคนหนึ่ง นักศึกษาฝึกสอนหญิงที่มาฝึกสอนที่นี่โลกของพวกเธอก็เริ่มกลายเป็นสีชมพู เพิ่งฝึกสอนได้ไม่ถึงเดือนก็เริ่มตามจีบผู้ชายอย่างออกหน้าออกตากันแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ผู้หญิงสมัยนี้ใจกล้ากันมากจริง ๆ ยังไม่พูดถึงเรื่องแข่งกันแต่งหน้าแต่งตัวในแต่ละวันเลย เพราะแม้แต่เรื่องซักผ้าหรือส่งข้าวก็เริ่มแย่งกันทำแล้ว
ในบรรดานักศึกษาฝึกสอนหญิงพวกนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้มีรูปลักษณ์หน้าตาที่โดดเด่นที่สุด และการแต่งตัวก็ไม่ได้ออกแนวตะวันตกมากขนาดนั้น ผู้หญิงอย่างเราก็ต้องพึ่งพาหน้าตา 3 ส่วนและการแต่งตัวอีก 7 ส่วน และด้วยหน้าตา 7 ส่วนบวกกับการแต่งตัวที่เป็นธรรมชาติทำให้จางฉุ้ยเหลียนดูดีจนได้คะแนนเต็ม
ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าผู้หญิงตามจีบผู้ชายเปรียบได้กับเส้นด้ายบาง ๆ ที่ประสานตัวกัน แต่ก็มีอีกคำกล่าวที่ว่า การไล่ตามลูกค้าไม่ใช่การทำธุรกิจ เราต้องรอเวลาที่เหมาะสมต่างหาก ไม่ใช่ฝืนทำอะไรเช่นนั้น เพราะอย่างนั้นครูพละที่ชื่อหลิวเหยียนคนนี้จึงเริ่มหันมาสนใจจางฉุ้ยเหลียนที่ไม่เคยคุยด้วยมาก่อน เขาสงสัยมาตลอดว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่สนใจตัวเองเลยสักนิด
มีอยู่ครั้งหนึ่งหลิวเหยียนได้มีโอกาสไปสอนวิชาพละศึกษาให้กับนักเรียนชั้นป.5/4 และในวันนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่มีงานอะไร เธอเลยมาเข้าเรียนวิชาพละเป็นเพื่อนกับเด็ก ๆ กลุ่มนี้ ในที่สุดหลิวเหยียนก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับจางฉุ้ยเหลียน เขาเลยชวนจางฉุ้ยเหลียนมาเล่นกระโดดเชือกกับพวกนักเรียน
หลังจากเล่นกันมาสักพักหนึ่ง เขาก็ปล่อยให้เด็ก ๆ ไปเล่นกันเอง ส่วนหลิวเหยียนกับจางฉุ้ยเหลียนก็มายืนดูเด็ก ๆ ด้วยกัน พวกเขาทั้งสองค่อย ๆ เริ่มคุยกันและดูพวกเด็ก ๆ เล่นในสนามกีฬาไปด้วย
เขาค้นพบว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ชอบพอตัวเองจริง ๆ สายตาของเธอจดจ่ออยู่ที่เด็ก ๆ ตลอดเวลา เดี๋ยวก็เตือนคนนี้ให้วิ่งช้า ๆ หน่อย เดี๋ยวก็เตือนคนนั้นให้ระวัง ๆ หน่อย ถ้าเปลี่ยนครูผู้หญิงที่กระดี๊กระด๊ากว่านี้ พวกเธอคงใช้โอกาสนี้ทำตัวติดกับเขาไปแล้ว
“ครูจางเป็นคนที่นี่หรือครับ ? ” หลิวเหยียนใช้สายตาแพรวพราวก้มหน้าไปมองจางฉุ้ยเหลียนด้วยความอ่อนโยน
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ เธอยืนอยู่ห่างจากเขาประมาณ 1 เมตรเห็นจะได้ “ใช่ค่ะ ฉันเกิดและเติบโตที่นี่ ครูหลิวล่ะคะ ? ”
หลิวเหยียนเงยหน้าขึ้นไปมองไกล ๆ “ผมก็เป็นคนที่นี่เหมือนกันครับ ผมเรียนวิชาเอกพละศึกษา”
จางฉุ้ยเหลียนตอบกลับมาแค่คำว่า “อือ” จากนั้นก็ไม่ต่อบทสนทนาอะไรอีก หลิวเหยียนมองหน้าตาอันงดงามของเธอด้วยความสงสัยสุด ๆ “ครูจางมีคนรักรึยังครับ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนอึ้งไป จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา “ทำไมหรือคะ ครูหลิวจะแนะนำผู้ชายให้ฉันหรือ ? หรือคิดจะขายครูผู้หญิงอย่างเรา ๆ ออกไปให้หมดล่ะคะ ? ”
หลิวเหยียนเข้าใจว่าจางฉุ้ยเหลียนต้องการที่จะสื่ออะไร เธอกำลังแขวะเขาว่าช่วงนี้ตัวเองโดนผู้หญิงตามจีบได้ดุเด็ดเผ็ดมันสุด ๆ เขาเลยอดยกมือขึ้นมาถูจมูกไปมาไม่ได้ “ถ้าคุณมีคนรักแล้ว ผมก็จะได้ให้คนรักของคุณช่วยแนะนำเพื่อน ๆ ของเขาให้คุณครูผู้หญิงที่มาฝึกสอนบ้าง เพราะครูผู้หญิงที่มาฝึกสอนกลุ่มนี้ก็โสดกันแทบทุกคน”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าและพูดออกไปอย่างเปิดเผย “หนุ่มโสดมีอยู่ไม่น้อยก็จริง แต่ก็กลัวว่าครูผู้หญิงของเราจะไม่อยากได้น่ะสิคะ”
หลิวเหยียนตกตะลึงในทันที “ถ้าอย่างนั้น ครูจางก็มีคนรักแล้วสินะครับ ? ”
“ใช่ค่ะ พวกเราสองคนคบกันมาได้หลายปีแล้ว” จางฉุ้ยเหลียนยิ้มกว้าง ราวกับนึกถึงฉากสวีทอันหวานแววของตัวเองกับคนรักขึ้นมาได้ หลิวเหยียนเริ่มทำตัวไม่ถูก จากนั้นเขาก็พยายามคิดปลอบใจตัวเอง ที่แท้เธอก็มีคนรักอยู่แล้วนี่เอง เพราะอย่างนั้นเธอถึงได้เฉยชากับเขาเช่นนี้
“เอ่อ…” หลิวเหยียนยังไม่ทันได้พูดออกมา จางฉุ้ยเหลียนก็เห็นว่ามีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังทะลาะกันอยู่ไกล ๆ เธอเลยรีบพุ่งตัวออกไปทันที เหมือนกับลูกศรที่ออกมาจากคันธนู
มือของหลิวเหยียนในเวลานี้ก็ค้างอยู่กลางอากาศ โชคดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเขา พอเขาเห็นเด็กกลุ่มนั้น เขาก็รีบวิ่งตามไปเช่นกัน
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร การทำร้ายคนอื่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดทั้งนั้น ทำไมเธอถึงทำร้ายร่างกายเพื่อนแบบนี้ล่ะ ? ” หลิวเหยียนต่อว่าเฉิงเทียนอีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะมองไปที่เด็กน้อยตัวเตี้ยที่กำลังเบะปากร้องไห้อยู่ข้าง ๆ จากนั้นเขาก็พูดว่า “พอแล้ว หยุดร้องไห้ได้แล้ว ลูกผู้ชายอกสามศอก เขาเสียเลือดเสียเหงื่อกันได้ แต่เขาไม่เสียน้ำตากันหรอกนะ รู้ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเห็นเฉิงเทียนอีทำหน้าไม่พอใจ เธอเลยถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “พวกเธอสองคนตามครูมา ส่วนนักเรียนคนอื่น ๆ ไปเรียนกันต่อเถอะ” หลังจากพูดจบเธอก็พยักหน้าให้หลิวเหยียน “ครูหลิว ฉันจะพานักเรียนสองคนนี้ไปคุยเอง ฝากครูช่วยดูแลที่นี่ด้วยนะคะ”
ไม่รอให้หลิวเหยียนต่อว่าเฉิงเทียนอีต่อ เธอก็รีบเอื้อมมือไปจับมือของเด็กทั้งสองคนแล้วพาเดินไปที่ห้องพักครูทันที
หลังจากที่มาถึงห้องพักครูแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เอาน้ำเย็นมาครึ่งกะละมัง แล้วเทน้ำอุ่นจากในกระบอกน้ำเก็บความร้อนของเธอลงไปผสมกับน้ำเย็นในกะละมังนั้น จากนั้นก็แกะกล่องสบู่ แล้วชี้ไปที่กะละมัง “มา พวกเธอสองคนล้างมาหน้าล้างตาให้สะอาดก่อน”
เด็กน้อยตัวเตี้ยคนนี้มีชื่อว่าหลี่ชวน เขาเดินมาที่กะละมังและเริ่มล้างหน้าของตัวเองก่อน ส่วนเฉิงเทียนอีที่มีสีหน้าบึ้งตึงและโดนจางฉุ้ยเหลียนจับตัวไว้ ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากตัวเอง
หลังจากหลี่ชวนล้างหน้าเสร็จ เฉิงเทียนอีที่เป็นคิวถัดไปกลับไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย เฉิงเทียนอีเบะปากพูดอย่างใส่อารมณ์ว่า “น้ำที่เขาล้างหน้าสกปรกแล้ว ผมไม่ล้างหรอก”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “ได้ เธอไม่ล้างก็ได้ งั้นพวกเธอบอกครูได้ไหมว่า พวกเธอทะเลาะกันเรื่องอะไร ? ”
ปกติหลี่ชวนไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับจางฉุ้ยเหลียน เพราะอย่างนั้นเขาจึงค่อนข้างที่จะกลัวจางฉุ้ยเหลียน เลยพูดออกมาอย่างระมัดระวังว่า “ตอนที่พวกเรากำลังเตะบอลกัน อือ… เฉิงเทียนอีบอกว่าผมทำผิดกฎ แต่ผมไม่ได้ทำผิดกฎสักหน่อย ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาต่างหากที่ทำผิดกฎ……”
จางฉุ้ยเหลียนรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเกิดจากเรื่องเล็ก ๆ พันนี้ เมื่อก่อนเชี่ยวเชี่ยวก็เคยระเบิดอารมณ์เพราะเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ด้วยเหมือนกัน ตอนนั้นจางฉุ้ยเหลียนยังไม่เข้าใจความคิดของเด็ก เธอก็เลยดุลูกสาวออกไปเสียดัง
แต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว การที่ไอศกรีมตกลงพื้นมันก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กแล้ว ไม่มีแล้วก็คือไม่มีอีก ถึงจะซื้อให้ใหม่มันก็ไม่ใช่ไอศกรีมที่ตกพื้นที่ยังไม่ได้กินอันนั้น
ดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงเปลี่ยนวิธี เธอฉีกยิ้มให้เด็กสองคนอย่างอ่อนโยน “ครูเข้าใจ พวกเธอใช้วิธีของตัวเองตัดสินปัญหา ที่ครูให้พวกเธอมาที่นี่ไม่ได้เป็นเพราะอยากจะชี้ขาดว่าใครเป็นคนถูก ใครเป็นคนผิด แต่อยากบอกพวกเธอว่า วิธีแก้ไขปัญหาแบบนี้มันไม่ถูกต้องจริง ๆ ”
ทั้งสองคนคิดไม่ถึงว่าจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ต่อว่าตนเอง กลับกันยังถามว่าพวกเขาทะเลาะกันเรื่องอะไร และบอกอีกว่า เธอเข้าใจสาเหตุที่พวกเขาทะเลาะกัน
“ถึงแม้ว่าพวกเธอทั้งสองคนจะทะเลาะกัน แต่พวกเธอก็ยังกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ แต่พฤติกรรมแบบนี้มันผิดกฎของโรงเรียน พวกเธอเห็นกฎของโรงเรียนบนกำแพงตรงนั้นไหม มันเขียนว่าห้ามทะเลาะกันใช่ไหม ? การที่พวกเธอทำแบบนี้มันไม่ดีเอามาก ๆ และพวกเธอคิดดูว่าตัวเองได้สร้างปัญหาให้ครูหลิวรึเปล่า ? ” จางฉุ้ยเหลียนถอนหายใจออกมา หมุนตัวกลับไปรินน้ำมาให้หลี่ชวน จากนั้นก็หยิบแก้วออกมาอีกหนึ่งใบแล้วเทน้ำให้เฉิงเทียนอีครึ่งแก้ว จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง “พวกเธอสองคนไปนั่งตรงนั้นเถอะ กว้างดี”
เฉิงเทียนอีกับหลี่ชวนหันมามองหน้ากัน พร้อมกับคิดในใจด้วยความสงสัยว่า ทะเลาะกันแล้ว ไม่ได้โดนด่าแล้วยังได้ล้างหน้าอีกหรือ ?
“ครูหลิวเองก็เป็นครูใหม่เหมือนครู นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สอนนักเรียน ถ้าพวกเธอตั้งใจเรียน พยายามให้ความร่วมมือมันก็จะทำให้เขามีความสุขมากเลยนะ แต่พวกเธอกลับมาทะเลาะกันในคาบเรียนของเขา ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุอะไร พออยู่ต่อหน้าครูประจำชั้นและผู้อำนวยการแล้ว เขาก็จะต้องโดนต่อว่า นักเรียนทะเลาะกันเป็นเพราะครูสั่งสอนไม่ดี และเขาก็จะต้องโดนหัวหน้าของตัวเองต่อว่าอีก แล้วพวกเธอคิดว่าการกระทำที่ไม่ยั้งคิดของตัวเองมันได้สร้างปัญหาให้คนอื่นไหม ? ”
เฉิงเทียนอีและหลี่ชวนหันมามองหน้ากัน พวกเขาทั้งสองต่างก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด
“ส่วนเรื่องที่ทำไมในกฎของโรงเรียนถึงมีข้อที่บอกว่าห้ามทะเลาะกัน พวกเธอเคยคิดถึงเหตุผลของมันบ้างไหม ? พวกเธอลองคิดดูสิว่า วันนี้ในสนามกีฬาก็มีนักเรียนห้องอื่น ๆ มาเรียนวิชาพละอยู่ด้วยเหมือนกัน ถ้าพวกเธอทะเลาะกันเพื่อนร่วมห้องก็จะเจ็บตัวไปด้วยใช่รึเปล่า ? แล้วพวกเธอไม่คิดหรือว่าเพื่อนบางคนจะเป็นห่วงพวกเธอ ? แต่เพื่อนห้องอื่น ๆ กลับจะรอดูเรื่องสนุก แล้วล้อว่า ‘นักเรียนห้องป.5/4 ไม่สามัคคีกันเลยสักนิด’ พวกเธอลองคิดดูสิว่า มันน่าขายหน้ามากขนาดไหน” จางฉุ้ยเหลียนค่อย ๆ พูดชี้แนะให้เด็กทั้งสองคนฟัง “ครูรู้ว่าในบรรดาเด็กนักเรียนในห้องเรา พวกเธอสองคนเตะบอลได้เก่งไม่แพ้ใคร แต่ถ้ายอดฝีมืออย่างพวกเธอทั้งสองคนไม่สามารถสามัคคีกันได้ แล้วพวกเธอจะทำให้เพื่อนในห้องเล่นบอลเก่งได้ยังไง วันข้างหน้าหากมีการแข่งขันฟุตบอล ห้องป.5/4 ของเราจะมีสภาพเป็นยังไง คนอื่นคงจะพูดกันว่า ห้องของพวกเธอยังทะเลาะกันเองอยู่เลย ! ”
ดวงตาเฉิงเทียนอีเป็นประกาย “โรงเรียนมีแข่งฟุตบอลหรือครับ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ “เรื่องนี้ยังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ในแต่ละปีก็จะมีการแข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ ใช่ไหมล่ะ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันอะไร ความสามัคคีก็จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีจริงไหม พวกเธอสองคนเป็นตัวเก็งด้านกีฬาของห้อง มีความคิดอะไรไม่ตรงกันก็คุยกันได้ แม้การทะเลาะกันจะไม่ทำลายมิตรภาพ แต่มันก็ทำให้คนอื่นคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ”
หลังจากพูดจบจางฉุ้ยเหลียนก็มองทั้งสองคนเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง “ตอนนี้พอกลับไปที่สนามกีฬาแล้ว พวกเธอจะเตะบอลกันดี ๆ ได้ไหม ? ”
เฉิงเทียนอีและหลี่ชวนโดนจางฉุ้ยเหลียนเลื่อนตำแหน่งให้เป็นตัวเก็งของห้อง ราวกับว่าเธอได้มอบภาระอันยิ่งใหญ่อะไรประมาณนั้นให้กับพวกเขา เมื่อครู่เด็กทั้งสองคนยังจิกตาจ้องกันไปกันมาอย่างไม่สบอารมณ์อยู่เลย แต่เวลานี้กลับโอบคอกันอย่างกับเพื่อนรัก
“ได้ครับ ! ” ทั้งสองคนฉีกยิ้มและพูดออกมาเสียงดังลั่น
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ถ้าพวกเธอทำได้ พวกเธอทั้งสองคนก็กลับไปได้แล้วล่ะ ต่อไปการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ของห้องก็หวังพึ่งพวกเธอสองคนแล้วนะ! มีเรื่องอะไรก็คุยกันดี ๆ ทะเลาะกันมันเสียเวลามากนะรู้ไหม” จางฉุ้ยเหลียนโบกมือไปมาเพื่อเป็นการให้เด็กสองคนออกไปจากห้อง
ครูเฒ่าที่เฝ้าสังเกตมาโดยตลอดก็ถอดแว่นออก แล้วพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ครูจาง คุณก็ใจดีเกินไปนะ พวกเขาอยู่ชั้นป.5 แล้ว คุณพูดไปแบบนั้นมันไม่ได้ผลหรอก กลับไปแล้วเดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มและถามกลับอย่างไม่เห็นด้วย “แล้วต้องจัดการยังไงหรือคะ ? ”
ครูเฒ่าคนนั้นโมโหขึ้นมาทันที “ลงโทษด้วยการยืนสิ ให้ไปยืนอยู่ตรงกำแพง”
ครูอีกคนที่อยู่ข้างหลังจางฉุ้ยเหลียนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ใช่ จะใจอ่อนกับพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด คุณน่ะใจดีเกินไป แล้วยังให้พวกเขาล้างหน้าอีก ถ้าพวกเขาเถียงก็ตบปากพวกเขาซะก็จบ”
คุณครูในยุค 90 นี่ชอบทำโทษนักเรียนจริง ๆ จางฉุ้ยเหลียนคิดในใจและได้แต่ถอนหายใจออกมา
เฉิงเทียนอีและหลี่ชวนใช้ชีวิตร่วมกันดี ๆ ได้ไม่นาน ตอนพักเที่ยง ครูประจำชั้นของพวกเขาก็มาอบรมนักเรียนที่ห้อง จากนั้นก็ต่อว่าเด็กทั้งสองต่อหน้าเพื่อน ๆ ในห้อง
อีกทั้งยังแสดงความไม่พอใจในตัวจางฉุ้ยเหลียนต่อหน้าเด็ก ๆ “หล่อนเป็นแค่นักศึกษาฝึกสอน อยู่แค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็ไปแล้ว แค่อยู่เล่นกับพวกเธอ ไม่ได้ต้องมารับผิดชอบเหมือนกับฉัน ฉันพูดกับพวกเธอทุกวันแต่ก็ไม่เคยจำกันเลยนะ ถ้ายังมีเหตุการณ์ทะเลาะกันในคาบพละอีก พวกเธอก็ไม่ต้องไปเรียนวิชาพละแล้ว เปลี่ยนมาเรียนด้วยตัวเองแทน ! ”
ทุกคนพากันร้องโอดครวญออกมา พูดนินทาว่าครูประจำชั้นแย่มาก ครูจางดีกว่าตั้งเยอะ สอนก็เก่ง อีกทั้งยังใจดีกับนักเรียนอีกด้วย
ครูปฏิบัติต่อนักเรียนยังไง นักเรียนก็ปฏิบัติต่อครูแบบนั้น การสอบกลางภาคเกิดขึ้นก่อนวันหยุดยาวห้าวัน ชั้นป.5/4 ได้คะแนนวิชาภาษาจีนเป็นที่หนึ่งของชั้นปี คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 92 คะแนน สร้างสถิติสูงสุดให้กับโรงเรียนประถมตงฟาง
แต่ครูหลาย ๆ คนกลับไม่ยอมรับ คิดว่าจางฉุ้ยเหลียนบอกแนวข้อสอบกับนักเรียนของตัวเองก่อน……
MANGA DISCUSSION