ตอนที่ 140 เรื่องหยุมหยิม
หลังจากที่พยายามอดกลั้นความรู้สึกเศร้าเอาไว้ในใจแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ปอกเปลือกส้มและยื่นมันไปให้กับตงลี่หวา “แต่ถ้าเราจะแวะไป มันก็ไม่ง่ายเลยนะคะ งั้นรอขากลับแล้วเราค่อยแวะไปที่ฮาร์บินกันนะคะแม่”
ตงลี่หวาส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ หล่อนเคี้ยวส้มและบ่นออกมาว่า “ลูกคิดว่านั่นมันเป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งรึไงล่ะ พ่อของลูกต้องดูแลบ้านคนเดียวตั้งหลายวัน ถ้าพวกเราสองคนแวะไปที่ฮาร์บินอีก เขาจะไม่โมโหตายเลยหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนดูออกว่าตงลี่หวารู้สึกสะเทือนใจอยู่หน่อย ๆ เธอเลยอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อออกไป “ก็ถือว่าเราไปซื้อสินเดิมให้หนูไงคะแม่ พ่อจะโกรธได้หรือ แม่ไม่รู้ล่ะสิว่า คราวก่อนตอนไปฮาร์บินหนูเห็นของดี ๆ เยอะมากขนาดไหน แต่หนูกลับไม่กล้าซื้อ แม่ก็รู้ว่าแม่ของกู้จื้อเฉิงเป็นคนยังไง หนูเลยได้แต่แบกเงินในกระเป๋ากลับมาทั้ง ๆ แบบนั้น”
ตงลี่หวารู้ว่าจางฉุ้ยเหลียน อันหลง และกู้จื้อชิวไปเจออะไรมาบ้าง หล่อนได้ยินมาว่าของที่นั่นมันทั้งราคาถูกทั้งคุณภาพดี พอคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนจะต้องแต่งงานและได้มาอยู่ไกลขนาดนี้ ของนี่ก็ต้องถือ ของนั่นก็ต้องแบก ไม่สู้ซื้อพวกของดี ๆ ให้ลูกได้แต่งงานออกไปอย่างมีความสุขไม่ดีกว่าหรือ
เมื่อคิดได้แบบนั้น หล่อนก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที “ได้ แม่จะได้ถือโอกาสนี้ซื้อของวันฉลองปีใหม่ด้วย ลูกเองก็ไปคุยกับเสี่ยวเฉิงว่าที่บ้านยังขาดเหลืออะไรอีกบ้าง แล้วก็ถามเรื่องธรรมเนียมของตระกูลกู้ด้วย และสินเดิมของฝ่ายหญิงต้องเตรียมอะไรบ้าง”
จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจ “พวกเราก็เป็นคนบ้านเดียวกัน จะมีอะไรไม่เหมือนกันล่ะคะแม่”
ตงลี่หวายิ้ม “มันก็ไม่แน่นะ เพราะบางบ้านก็ต้องการสินเดิมฝ่ายเจ้าสาวอย่างเช่นผ้าห่ม 6 ผืน หรือบางบ้านต้องการผ้าห่ม 8 ผืน ถ้าเราไม่เตรียมอะไรเลยและกลายเป็นเรื่องตลกขึ้นมามันจะดูไม่ดีเอานะ แถมแม่สามีของลูกยังเป็นคนที่พิถีพิถันมากแบบนั้นอีกด้วย บ้านเราก็ต้องซื้อของดี ๆ หน่อย”
หลังจากพูดจบ ตงลี่หวาก็ถอนหายใจออกมา “พอลูกย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว มันก็ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนกับบ้านเรา แม่ก็เลยอยากจะให้สินเดิมกับลูกเยอะ ๆ หน่อย”
ติงเหมยตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ สาวน้อยหน้ามนตรงหน้าคนนี้ แม่ของเธอยังคิดจะเพิ่มสินเดิมให้เธออีกเท่าไหร่กัน
จางฉุ้ยเหลียนแสดงสีหน้ามีความสุขออกมา จากนั้นก็พูดออกไปว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ แม่ลองคิดดูสิคะว่า ถ้าหนูได้ย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว หนูจะขนของเยอะแยะแบบนั้นมาได้ยังไง”
ตงลี่หวาพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่แล้วหล่อนก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “พอพูดมาถึงเรื่องนี้แล้ว แม่อยากจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ดี ๆ ให้ลูกจริง ๆ แต่แม่ก็ไม่รู้ว่าจะส่งมายังไง”
เมื่อได้ยินคำพูดของตงลี่หวา จางฉุ้ยเหลียนก็คิดถึงแอพพลิเคชั่นเถาเป่าในโลกอนาคตจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็สามารถซื้อได้จากในนั้น ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ หรือพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็สามารถสั่งซื้อได้จากแอพพลิเคชั่นนี้ได้ทั้งหมด เทียบกับตอนนี้แล้วในยุคสมัยใหม่ก็มีความสุขมากกว่ากันเยอะ
“ไอ้หยา แม่คิดมากไปแล้วล่ะค่ะ พอถึงเวลานั้นแล้วค่อยหาซื้อผ้าห่มแถวนั้นก็ได้ ส่วนเรื่องอื่นก็ช่างมันเถอะ” จางฉุ้ยเหลียนปิดหนังสือ ดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มค้นหาของกินอีกครั้ง
ติงเหมยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พอคิดว่าตัวเองไม่มีสินเดิมอะไรเลย หล่อนก็รู้สึกแย่ขึ้นมาทันที
ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือฟ้ามืดเร็ว ยิ่งขึ้นเหนือมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมืดขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลา 16.00 น. แต่ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ในเวลานี้พ่อครัวในรถไฟจึงผลักรถเข็นเดินเข้ามาพร้อมกับผ้าคลุมสีขาว
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกตกใจแล้วก็ดีใจในเวลาเดียวกัน ที่ในเวลานี้ยังมีข้าวกล่องขายอยู่ด้วย เธอหันไปเรียกตงลี่หวา จากนั้นสองแม่ลูกก็เริ่มซื้อของกินกัน ตงลี่หวาหันไปมองคนอื่น ๆ ในขบวนรถไฟ บางคนก็ห่ออาหารแห้งมาเอง อย่างเช่นติงเหมยเป็นต้น
จางฉุ้ยเหลียนลืมความทรงจำเมื่อชาติก่อนไปแล้ว เธอไม่รู้ว่าในยุคสมัยนี้ผู้คนยังไม่เรียกอาหารแบบนี้ว่าข้าวกล่องหรือข้าวราดแกง ที่จริงมันก็แค่กล่องอลูมิเนียมอัดด้วยข้าวร้อน ๆ และด้านบนโปะด้วยกับข้าวกลิ่นหอม ๆ หน้าต่าง ๆ ก็เท่านั้น
ข้าวกล่องบนรถไฟไม่ต้องใช้ตั๋วอาหารซื้อ พวกมันถูกขายในราคา 3 หยวนต่อหนึ่งกล่อง ราคานี้ไม่แพงแต่ก็ไม่ถือว่าถูกมากนัก ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วที่นั่งแบบเก้าอี้ก็ไม่มีใครยอมซื้อมัน แต่ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วที่นั่งแบบนอนกลับซื้อกันจำนวนมาก
“ไม่ต้องซื้อหรอก แพงจะตาย” จางฉุ้ยเหลียนหยิบเงินออกมาเพื่อจะซื้ออาหารสองกล่อง แต่ตงลี่หวากลับเข้ามาห้ามเธอเอาไว้ แต่แล้วหล่อนก็ห้ามจางฉุ้ยเหลียนเอาไว้ไม่ทัน
“ทั้งชีวิตนี้แม่จะได้ขึ้นรถไฟสักกี่ครั้งกัน ? เดิมทีก็ทรมานมากพออยู่แล้ว แต่นี่แม่ยังห้ามไม่ให้หนูซื้อข้าวร้อน ๆ ให้แม่กินอีกอย่างนั้นหรือ ? ” ในตอนนี้ยังไม่มีก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นร้อน ๆ มาขาย ถ้าไม่กินข้าวกล่องรองท้องก่อนมันก็จะรู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก
“สาวน้อย ทำไมเธอไม่กินล่ะ ? ” ตงลี่หวารับตะเกียบมาถือไว้ หล่อนเห็นว่าติงเหมยไม่ได้ซื้อข้าวกล่องมากินเหมือนคนอื่น ๆ หล่อนเลยรู้สึกแปลกใจ
ติงเหมยยิ้มหวาน “คุณป้าคะ หนูไม่ชอบกินข้าวตั้งแต่เด็กแล้วล่ะค่ะ อีกอย่างหนูก็ดื่มนมไปแล้ว ตอนนี้หนูอิ่มแล้วค่ะ”
ตงลี่หวาพยักหน้าอย่างตอบรับ “อ้อ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีขายก๋วยเตี๋ยวไหม รออีกเดี๋ยวพอเขาผ่านมาแล้วเธอก็ซื้อสักชามสิ ไม่อย่างนั้นอากาศหนาวขนาดนี้ กินแต่ของเย็น ๆ มันจะไม่ดีต่อกระเพาะนะ”
จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ เธอคิดว่าบางครั้งแม่ของเธอก็น่ารักเหมือนกัน และเธอก็คิดว่าการใช้ชีวิตบนเตียงนอนในรถไฟนี่ก็ไม่เลวเลย สำหรับข้าวราคาแค่ไม่กี่หยวนนี้ เธอก็ไม่รู้สึกเสียดายเงินเลยสักนิด
แต่ก็เป็นเพราะตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือ พอคิดไปถึงตอนที่ตงลี่หวาเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองใหม่ ๆ หล่อนก็ไม่เจียดเงินซื้อก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งเลยด้วยซ้ำ หล่อนเอาแต่กินแป้งทอดแผ่นใหญ่กับผักดองอยู่หลายวัน
ติงเหมยเริ่มกระสับกระส่ายเล็กน้อยเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนที่กำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่ในเวลานี้ หลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งหล่อนก็ถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปบนเตียงของตัวเอง
“ไอ้หยา อาหารที่นี่อร่อยจริง ๆ เหมือนอาหารที่ร้านอาหารดี ๆ ทำไม่มีผิด” ตงลี่หวากินข้าวเร็วมาก พอกินเสร็จหล่อนก็ยกแก้วชาของตัวเองขึ้นแล้วดื่มมันเข้าไปอึกหนึ่ง จางฉุ้ยเหลียนกินอาหารช้าจนเคยชิน เธอกินไปพูดอย่างอารมณ์ดีไป “แม่กำลังพูดถึงร้านอาหารตรงสี่แยก หรือว่าร้านอาหารเล็ก ๆ ตรงข้ามบ้านเราคะ ? ”
ตงลี่หวาฉีกยิ้ม “ก็ต้องเป็นร้านอาหารตรงสี่แยกสิ จะเป็นร้านฝั่งตรงข้ามบ้านเราได้ยังไง ? พวกเขาทำก๋วยเตี๋ยวยังพอกินได้ แต่กับข้าวนี่ไม่ไหวเลยจริง ๆ ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ก็จริง ผัดผักกาดขาวก็ไม่รู้ว่าใส่แต่น้ำรึเปล่า แถมอาหารทุกจานยังใส่มันฝรั่งอีกด้วย”
ตงลี่หวาคิดว่าตอนนี้อากาศก็เริ่มหนาวแล้ว หล่อนเลยถอดรองเท้าแล้วเอาตัวเข้าไปซุกในผ้าห่ม หลังครุ่นคิดมาพักหนึ่งหล่อนก็พูดขึ้นมาว่า “ผัดมันฝรั่งหั่นฝอยของร้านอาหารตรงสี่แยกก็อร่อยดีนะ ทั้งเปรี้ยว กรอบ และก็เผ็ดหน่อย ๆ ด้วย อีกอย่างขาหมูที่ร้านของเขาก็อร่อยเหมือนกัน อร่อยกว่าร้านที่พวกเราเลี้ยงแขกคราวก่อนตั้งเยอะ ร้านอาหารร้านนั้นตกแต่งสไตล์หรูหรา แต่อาหารกลับไม่อร่อยอย่างที่คิดเลย พ่อครัวที่นั่นก็ได้เงินเดือนเยอะขนาดนั้นแท้ ๆ ถ้าแม่เป็นภรรยาของเจ้าของร้าน แม่ก็คงจะไล่ออกไปนานแล้วล่ะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนกลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอ จากนั้นเธอก็พูดอธิบายให้กับตงลี่หวาฟังด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ ร้านของเขาทำอาหารดั้งเดิมของปักกิ่งแท้ ๆ แล้วร้านของเขาก็เชิญพ่อครัวมาจากปักกิ่งเลยด้วย พวกแม่สั่งแต่อาหารของตงเป่ย แล้วมันจะไปอร่อยได้ยังไงล่ะ ! ”
ตงลี่หวาเพิ่งจะเข้าใจก็ตอนนี้เอง หล่อนเลยหัวเราะฮ่า ฮ่า ออกมาเสียงดัง
ตอนนี้บนรถไฟก็เงียบมาก ถึงพวกเธอสองแม่ลูกจะคุยกันเสียงเบาขนาดไหน แต่ก็มีคนได้ยินอยู่ดี ผู้ชายบางคนที่สงสัยมาตั้งแต่เช้าจึงถามขึ้นมาว่า “ฟังจากคำพูดของพวกเธอสองคนแม่ลูกแล้ว เหมือนว่าบ้านของพวกเธอจะรวยมากเลยนะ บ้านพวกเธอทำมาหากินอะไรกันหรือ ? ”
สองแม่ลูกหันมามองหน้ากัน จากนนั้นพวกเธอก็เริ่มกลัว ตงลี่หวาเงียบในทันที ส่วนจางฉุ้ยเหลียนกลับพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเราไม่ได้รวยอะไรหรอกค่ะ หนูก็เป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนพ่อของหนูก็เป็นแค่ช่างซ่อมรถ”
ผู้ชายคนนั้นยังคงไม่เชื่อ “งั้นพวกเธอจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าร้านอาหารร้านนี้อร่อย หรือว่าร้านอาหารร้านนั้นไม่อร่อย ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยังคงพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้มันยุคสมัยไหนกันแล้วล่ะคะ เขาก็มีให้ต่อรองราคาอาหารอยู่ทุกที่ พ่อแม่ของหนูยุ่งจนไม่มีเวลาทำอาหารกินเอง ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามก็ราคาแค่ 1 เหมาเท่านั้น แล้วทำไมเราจะต้องมาทำอาหารกินเองด้วยล่ะ อย่างกับข้าวจานหนึ่งที่กินกันบ่อย ๆ ก็ราคาแค่ 2 เหมาเท่านั้นเอง”
ตงลี่หวาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ก่อนที่เราจะเปิดร้าน เราก็เชิญพวกเพื่อน ๆ และญาติของเรามาร่วมรับประทานอาหารกันที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามบ้านเรา มันทั้งดีและก็ประหยัดอีกด้วย คุณลองคิดดูสิว่า ถึงแม้ว่าการที่เราทำอาหารเองมันจะสามารถประหยัดเงินได้ แต่คุณก็ต้องเปลืองแรงมากด้วย ไม่สู้เท่าเราพาแขกไปเลี้ยงอาหารที่ร้านอาหารข้างนอกไม่ดีกว่าหรือ อีกทั้งมันยังสร้างหน้าสร้างตาให้เราได้อีกด้วย”
พอผู้ชายคนนั้นได้ยินแบบนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที “ไอ้หยา ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าบ้านของพวกเธอจะรวยขนาดนี้ คนที่ทำธุรกิจก็เป็นคนมีตังกันทั้งนั้นแหละ”
ตงลี่หวายิ้มและส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ “มีเงินอะไรกันล่ะ ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะลูกสาวของเรานั่นแหละ บ้านเรามีลูกอยู่แค่คนเดียว เธอมาเรียนวิทยาลัยในเมืองคนเดียว เพราะอย่างนั้นพวกเราก็เลยไม่วางใจ ด้วยความที่พ่อของเธอก็ทำธุรกิจส่วนตัว แล้วฉันก็ไม่ได้ทำงาน อีกทั้งบ้านของเราก็ไม่ได้มีที่ดินอะไร ถึงแม้ว่าเราจะมีแปลงผักแต่ก็มีอยู่ไม่มากเท่าไหร่ เราเช่าร้านสองห้องในเมืองเปิดเป็นร้านซ่อมรถ เพื่อหาเงินเลี้ยงดูตัวเองยามแก่เฒ่าและก็ประหยัดเงินหน่อยเพื่อเอาเงินนั้นไปเป็นสินเดิมให้กับลูกสาวของเรา”
จางฉุ้ยเหลียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็พูดออกมาเสียงเรียบว่า “ตอนนี้มันยุคสมัยไหนกันแล้ว คนที่ทำธุรกิจก็มีกันอยู่เกลื่อนถนน คนขายผักก็โดนเรียกว่าเถ้าแก่ช่าย (ช่าย แปลว่า ผัก) คนเปิดร้านอาหารก็กลายเป็นผู้จัดการฟ้าน (ฟ้าน แปลว่า อาหาร) คนขายเต้าหู้ก็เรียกว่าเป็นประธานโรงงานอาหารแปรรูปจากถั่วเหลือง คนที่เปิดร้านซ่อมรถหน้าบ้านก็เป็นลุงเป๋ ตอนนี้ก็เรียกคนที่ทำธุรกิจแบบนี้กันทั้งนั้น เขาว่ากันว่าอะไรนะ ก้อนอิฐก้อนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้าโดนคนสามคน สองคนในนั้นกลายเป็นเถ้าแก่ ส่วนอีกคนก็กำลังเตรียมตัวเป็นเถ้าแก่”
คนที่นั่งอยู่รอบ ๆ ต่างก็พากันหัวเราะออกมา พวกเขาต่างก็คิดว่าจางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาได้ตลกดี ส่วนผู้ชายคนนั้นก็ชมจางฉุ้ยเหลียนครั้งแล้วครั้งเล่า และยกนิ้วโป้งให้เธอ “เป็นนักศึกษาวิทยาลัยนี่มีความรู้จริง ๆ ”
จางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับยิ้ม “ที่จริงหนูว่าเปิดร้านอาหารก็ดีเหมือนกันนะคะ คุณลุงลองคิดดูสิคะว่า ตอนนี้คนที่ใช้ตั๋วอาหารก็น้อยลงแล้ว ถ้าคุณลุงไม่ไปกินอาหารที่ร้านอาหารของรัฐ หรือว่าไม่ไปซื้อของที่ร้านขายข้าวขายน้ำมัน ตอนนี้ตั๋วอาหารก็ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว”
หลังจากพูดจบเธอก็หันไปพูดกับตงลี่หวาว่า “คราวก่อนตอนที่หนูเข้าไปเมืองหลวง มีของขายอยู่เต็มถนนไปหมด จะมีใครที่ยังต้องใช้ตั๋วอาหารจ่ายอีกล่ะคะ”
ในขณะที่ตงลี่หวาฟังสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูดถึงเรื่องตั๋วอาหารอยู่นั้น หล่อนก็คิดถึงเรื่องที่ขบขันเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จากนั้นหล่อนก็หันไปพูดกับผู้โดยสารเตียงข้าง ๆ ที่อายุไล่เลี่ยกันกับหล่อน หล่อนเล่าถึงเหตุการณ์ในปีนั้นตอนที่รัฐบาลมีโครงการให้ใช้ตั๋วอาหาร ตอนนั้นหล่อนมีเงินแต่หล่อนไม่มีตั๋วอาหาร พอหล่อนอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อไม่ได้มันจึงทำให้หล่อนรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
เมื่อเรื่องราวของตงลี่หวาจบลง ในที่สุดจางฉุ้ยเหลียนก็ได้กลับมาอ่านหนังสือดี ๆ สักที เธอขยับตัวไปมาเพื่อหาตำแหน่งที่สบายที่สุด จากนั้นก็เอนตัวลงนอน เธออ่านหนังสือสบาย ๆ ใต้แสงไฟด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
หลังจากที่ติงเหมยกลับมาจากห้องน้ำและเตรียมตัวที่จะเข้านอน หล่อนก็ได้เห็นภาพที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังนอนอ่านหนังสืออย่างสบายใจ ทันใดนั้นดวงตาของหล่อนก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าหล่อนอายุน้อยกว่าเธอ และเวลาที่หล่อนคุยกับคนอื่นหล่อนก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเธอ แต่เป็นเพราะหล่อนอ่านหนังสือน้อยกว่าจึงมีความรู้น้อยกว่า เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยโดนนางมารตรงหน้าคนนี้ดูถูกเอาได้
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้เลยว่าติงเหมยจะมีปมด้อยเพิ่มขึ้นเมื่อหล่อนได้มาเจอกับเธอ เธอใช้เวลาบนรถไฟอย่างเงียบ ๆ และตั้งตารอการปรากฎตัวของกู้จื้อเฉิงที่สถานี
และแล้วในที่สุดพวกเธอก็เดินทางมาถึงสถานีสุ่ยหยวน ตงลี่หวาและจางฉุ้ยเหลียนออกแรงยกสัมภาระต่าง ๆ ของตัวเองลงจากรถไฟ
แม้ทั้งสองคนจะใส่เสื้อผ้าหนามากขนาดไหน แต่พวกเธอก็คิดไม่ถึงเลยว่าอุณหภูมิของที่นี่จะต่ำกว่าที่พวกเธอคิดเอาไว้
ใคร ๆ ก็ชอบพูดกันว่าคนสวยมักจะโชคดีเสมอ คำพูดนี้ไม่ผิดเลยสักนิด เพราะในยุค 90 ที่ค่อนข้างเรียบง่ายนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็ได้เจอชายหนุ่มที่เต็มใจช่วยเธออยู่หลายคน
เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มใจดีตรงหน้าคนนี้ พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนและแม่ของเธอช่วยกันยกข้าวของ เขาก็อาสาเข้ามาช่วยทันที เขาแบกกระเป๋าใบที่ใหญ่ที่สุดของจางฉุ้ยเหลียนและยังแบกกระเป๋าของตัวเองพร้อมกับชวนจางฉุ้ยเหลียนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนเดินออกมานอกสถานี
ติงเหมยมองดูอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่แยแส หล่อนยิ้มอย่างเย็นชาในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอหน้าตาดี แต่งตัวทันสมัย และชั่วร้ายแบบนั้น ใครเขาจะยอมช่วยเธอกันล่ะ คนแบบนี้จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างนั้นหรือ ? พอผู้ชายของตัวเองไม่อยู่บ้าน ก็คงวิ่งออกไปอ่อยชาวบ้านเขาไปทั่วนั่นแหละ
ด้านนอกสถานีรถไฟตอนนี้ ก็มีใครคนหนึ่งกำลังยืนรอจางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวาอยู่ในชุดเครื่องแบบของทหาร กู้จื้อเฉิงพยายามอดกลั้นความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ จู่ ๆ มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นขณะฟังเพื่อนของเขาพูด เพราะเขามองเห็นผู้หญิงของตัวเองตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเดินออกมาแล้ว
เธอสวมใส่เสื้อโค้ทขนสัตว์สีเขียวเข้มยาวถึงเข่า ด้านล่างเผยให้เห็นกระโปรงยาวสีดำ ตรงคอมีผ้าพันคอลายจุดสีขาวดำ บนหัวสวมหมวกปีกกว้างทรงกลมสีดำใบใหญ่ เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยรอยยิ้มกว้าง ในวินาทีที่เธอเห็นเขา ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างด้วยความดีใจในทันที เธอตื่นเต้นจนเท้าไม่สามารถก้าวออกไปไหนได้ เธอหยุดยืนอยู่กับที่ดื้อ ๆ และยิ้มให้กับตัวเองอย่างโง่ ๆ
พอเห็นยัยตัวน้อยทำท่าทางมีความสุขแบบนั้น กู้จื้อเฉิงก็ดีใจจนพูดไม่ออก เขาปล่อยให้เพื่อนพูดพล่ามไปเรื่อย ส่วนขาของตัวเองก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนทางด้านของจางฉุ้ยเหลียนที่หยุดยืนนิ่งด้วยความตกใจ ก็เหมือนว่าเธอเพิ่งจะได้สติกลับคืนมา มือทั้งสองข้างปล่อยสัมภาระลง แล้ววิ่งเข้าไปหากู้จื้อเฉิงอย่างบ้าคลั่งในทันที
MANGA DISCUSSION