ตอนที่ 134 ความรักกับขนมปัง
“เก่งกาจอะไรขนาดนั้น ? ” คุณน้าเฉินที่เดินถือซุปไก่สูตรโบราณมาให้เฉินเฉียวอิงลูกสาวของหล่อนเพื่อบำรุงร่างกาย แต่แล้วหล่อนก็เห็นจางฉุ้ยจวินที่ควรจะอยู่ในคุกตอนนี้ กำลังเดินล้วงกระเป๋ากางเกงออกมาจากห้องน้ำบ้านข้าง ๆ
หล่อนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงรีบตรงเข้าไปถามเรื่องนี้กับแม่สามีอย่างหลิวกุ้ยเฟินทันที หลิวกุ้ยเฟินเลยบอกออกไปว่า คนรักของจางฉุ้ยเหลียนที่บ้านอยู่ในเมืองคนนั้นเป็นคนช่วยจางฉุ้ยจวินออกมา และเขาก็เก่งกาจมากเพียงแค่โทรไปกริ๊งเดียวก็สามารถจัดการกับปัญหาทุกอย่างได้แล้ว
“ใช่ไหมล่ะ เธอก็รู้ว่าน้องสะใภ้ของฉันปากไม่มีหูรูดมากขนาดไหน ตอนนี้หล่อนก็ไปพูดโม้โอ้อวดกับทุกคนว่า ลูกเขยคนนี้เก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้แล้ว” ขณะที่พูดหลิวกุ้ยเฟินก็เบะปากไปด้วย
ทางด้านของคุณน้าเฉินกลับส่ายหัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไอ้หยา สะใภ้สองของพวกเธออาจจะแค่ขี้โม้ไปเองก็ได้ คำพูดของหล่อนจะเชื่อถือได้อย่างนั้นหรือ ? ”
หลิวกุ้ยเฟินพยักหน้าอย่างจริงจัง “ในวันนั้นฉุ้ยหลินก็ตามพวกเขาไปที่สถานีตำรวจด้วย เขาเห็นกับตาของตัวเองเลย ถ้าเป็นคนอื่นพูด เธอก็คงจะไม่เชื่อ แต่ถ้าลูกเขยของเธอเป็นคนพูด เธอจะไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ ? ”
ในเมื่อจางฉุ้ยหลินเป็นคนพูด งั้นเรื่องนี้ก็ต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน แต่คุณน้าเฉินก็ยังคิดไม่ตก หล่อนเปลี่ยนท่านั่งบนเตียง จากนั้นก็พูดเสียงเบาออกมาราวกับเสียงกระซิบ แม้ว่าในบ้านจะไม่มีใครว่า “ทำไมเสี่ยวจวินถึงออกมาจากคุกได้ล่ะ ? แล้วอีกอย่างหัวหน้าใหญ่คนก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่คนรักของจางฉุ้ยเหลียนหรือ ? ทำไมหล่อนถึงมีคนรักเยอะแบบนี้ล่ะ ? แถมแต่ละคนก็เก่ง ๆ กันทั้งนั้นด้วย ! ”
คนพูดไม่คิดแต่คนฟังกลับคิดเยอะ คนตรงหน้าของหลิวกุ้ยเฟินตอนนี้เป็นใครล่ะ ? หล่อนเป็นแม่ยายของลูกชายเธอ อีกทั้งบ้านของหล่อนก็มีเงินมากด้วย เดิมทีไหล่ของพวกเธอทั้งสองคนยังไม่ติดกัน แต่พอได้ยินคุณน้าเฉินพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉาเช่นนั้นแล้ว เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที
“เธอยังไม่รู้จักนิสัยของน้องสะใภ้ของฉันอีกหรือ ? หล่อนแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะจับคู่ลูกสาวของตัวเองกับผู้ชายสัก 8 คนได้ ดูว่าใครรวยที่สุด จากนั้นหล่อนก็ค่อยขายออกไปในราคาดี ๆ ในงานแต่งงานของลูก ๆ ของเราครั้งนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็พูดแล้วว่าคนรักของหล่อนเป็นหัวหน้าทหารตำแหน่งเล็ก ๆ คนนั้นต่างหาก ไม่ใช่หัวหน้าใหญ่ของเธอสักหน่อย น้องสะใภ้ของฉันก็แค่คุยโม้โอ้อวดเท่านั้นแหละ หล่อนเห็นว่าเขาเปิดโรงงานเหมืองทราย ตาของหล่อนก็แทบจะถลนออกมาจากเบ้าแล้ว หล่อนอยากจะให้ลูกสาวแต่งตัวโป๊ ๆ แล้วส่งขึ้นเตียงของเขาและเอาเงินกลับมาใจจะขาดเลยเถอะ” หลิวกุ้ยเฟินพูดดูถูกเช่าหวา และไม่ยินดีกับชะตาชีวิตที่ดีของจางฉุ้ยเหลียน
“งั้นมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ ? ” คุณน้าเฉินเคยพูดคุยกับจางฉุ้ยเหลียนมาก่อน เพราะอย่างนั้นแล้วนิสัยและตัวตนของจางฉุ้ยเหลียนนั้น หล่อนก็พอจะรู้อยู่บ้าง แต่คนตรงหน้าของหล่อนในตอนนี้ก็ได้ใกล้ชิดกับจางฉุ้ยเหลียนมากกว่าหล่อน แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดของหลินกุ้ยเฟินกลับฟังดูรุนแรงผิดปกติ คุณน้าเฉินเลยเปลี่ยนหัวข้อ ดึงเข้าเรื่องผู้ชายมากความสามารถที่หล่อนไม่เคยแม้แต่เจอหน้ามาก่อนคนนั้นทันที
เมื่อพูดถึงชายคนนี้ ทัศนคติของหลิวกุ้ยเฟินยังพอเป็นกลางอยู่บ้าง เพราะชายคนนี้ทำให้จางฉุ้ยเหลียนทะเลาะกับครอบครัวและไม่ยอมกลับมาฉลองปีใหม่ที่บ้าน เรื่องนี้หลิวกุ้ยเฟินรู้ดีแก่ใจ
ไม่รู้ว่าเช่าหวาและจางกว่างฝูจะต่อว่าจางฉุ้ยเหลียนด้วยเรื่องนี้ไปกี่ครั้งก็ตาม พวกเขารังเกียจครอบครัวของทหารคนนั้นที่ยากจนและไม่มีเงิน ว่ากันว่าสองสามีภรรยาคู่ตระกูลจางนี้ถึงขนาดไปก่อเรื่องวุ่นวายที่บ้านของพ่อแม่ของเขามาแล้วอีกต่างหาก ทั้งสองคนจึงต้องเลิกรากันเพราะเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง
“จะว่าไปฉุ้ยเหลียนเองก็โง่ ถึงแม้ว่าเสี่ยวจวินจะโดนขัง แต่ก็คงโดนขังแค่ไม่กี่วันเท่านั้นแหละ เจ้าเด็กนั่นนิสัยเสีย หัวดื้อ บ้าบิ่น เอาแต่ใจจะตายไป อีกทั้งยังเกือบจะทำให้หล่อนไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยอีก ต่อไปถ้าเด็กคนนี้ไปทุบตีพ่อด่าแม่หรือติดคุกอีก หล่อนยังจะไปสนใจเขาอีกงั้นหรือ ? ” หลิวกุ้ยเฟินถุยน้ำลาย แล้วยกแก้วชาขึ้นมาจิบ
จากนั้นก็พูดต่อว่า “ตอนที่เกิดเรื่อง จางฉุ้ยเหลียนเลยโทรไปหาคนรัก ถามว่าพอจะช่วยอะไรได้ไหม ว่ากันว่าคนรักของหล่อนได้ย้ายไปทำงานอยู่ที่ต้าซิงอันหลิงแล้ว แถมยังอยู่ในหุบเขาที่ห่างไกลอีกด้วย” หลังจากที่หลินกุ้ยเฟินพูดจบ ก็ดูเหมือนว่าหล่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เลยพูดกับคุณน้าเฉินออกไปอีกว่า “ฉันกำลังสงสัยอยู่ว่า สถานที่ที่ห่างไกลรกร้างแบบนั้นหาคนรักยากจะตาย ทหารคนนั้นจะต้องคิดว่าถ้าเขาจัดการเรื่องนี้ให้เธอแล้ว บ้านของเธอก็จะติดหนี้เขา พอถึงตอนที่เขาจะขอจางฉุ้ยเหลียนแต่งงาน คนในบ้านจะต้องไม่มีทางไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน”
คุณน้าเฉินขมวดคิ้วพร้อมกับคิดถึงเรื่องผลประโยชน์ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ที่เธอพูดมา ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าไม่ได้เป็นเพราะสองบ้านทะเลาะกัน อีกทั้งเช่าหวายังไปก่อเรื่องวุ่นถึงบ้านของแม่เขาอีก ตอนนี้บ้านนั้นก็คงจะไม่ชอบฉุ้ยเหลียนแล้ว”
หลิวกุ้ยเฟินเหยียดยิ้ม ทำหน้าดูถูก “พวกเขาจะสนใจเรื่องนั้นอีกหรือ ? ตอนนี้สองสามีภรรยาตระกูลจางก็เอาแต่พูดว่าลูกเขยทหารคนนี้ดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ ต่อจากนี้จะทำอะไรก็คงจะสะดวกแล้วล่ะ”
ผู้หญิงวัยกลางคนสองคนที่ไม่เข้าใจเรื่องกฎหมายและไม่เคยออกไปเผชิญโลกอะไร อาศัยเพียงแค่จินตนาการและคำพูดเพียงครึ่งเดียวของคนอื่นมาสร้างเรื่องราวและคิดเองเออเองเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้ว จางฉุ้ยเหลียนและกู้จื้อเฉิงคุยกันแค่ว่า เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นมายังไงก็แค่นั้น เรื่องแรกก็คือจางฉุ้ยจวินยังอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ และเรื่องที่สอง คนที่มาเล่นกันพนันทั้งหมดก็เป็นชาวบ้าน เพื่อน และญาติเท่านั้น ส่วนเรื่องที่สาม จางฉุ้ยจวินไม่ได้มีพฤติกรรมเป็นคนกลางรับส่วยคนที่มาร่วมเล่นพนันแต่อย่างใด และเรื่องสุดท้าย คนที่มาแจ้งความในครั้งนี้ เขาหวังที่จะทำลายกิจการโรงงานเหมืองทราย เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินค่าของที่ติดค้างเอาไว้
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงได้ฟังเรื่องราวทุกอย่างจบ เขาก็ถามขึ้นมาสั้น ๆ ว่า “ผู้ชายคนนั้นไม่ได้เป็นคนของเจ้าของโรงงานเหมืองทรายหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนจึงตอบกลับไปอย่างใจเย็นว่า “ใช่ ฟู่ซินเป็นเจ้าของ แต่ฉันก็เอาเงินเก็บช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ของฉันร่วมลงทุนกับเขาด้วย แต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของฉันไม่รู้ เพราะอย่างนั้นพวกเขาแต่จึงส่งให้เสี่ยวจวินเข้าไปทำงานที่นั่น และก็ได้รับเงินเดือนนิดหน่อย อีกทั้งพวกเขาก็อยากรู้ว่าฟู่ซินเป็นคนรวยจริงไหม ถ้าเขาจนแบบกัดก้อนเกลือกิน พวกเขาก็จะได้หาคนกระเป๋าหนักคนใหม่ให้ฉัน”
กู้จื้อเฉิงถอนหายใจออกมาทันที น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก จากนั้นเขาก็บอกกับจางฉุ้ยเหลียนว่า เรื่องนี้เธอวางใจได้ เขาจะขอร้องให้เพื่อนร่วมรบของเขาช่วยจัดการให้
หลังจากที่วางสายแล้ว กู้จื้อเฉิงก็ต่อสายหาคนสนิทของเขาทันที เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อีกฝ่ายได้ฟังอย่างชัดเจน อีกฝ่ายจึงรีบไปยังที่อยู่ของคนที่มาแจ้งความ จากนั้นก็ไปถามสถานการณ์คร่าว ๆ จากฟู่ซิน ต่อจากนั้นเรื่องทั้งหมดก็เป็นไปตามนี้ หลังจากที่ตระกูลจางจ่ายค่าปรับเรียบร้อยแล้ว จางฉุ้ยจวินก็ถูกปล่อยตัวออกมา
ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นฟู่ซินหรือจางฉุ้ยหลิน ก็ไม่มีใครบอกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ให้จางฉุ้ยเหลียนฟังเลย และในตอนที่จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าถ้าจ่ายค่าปรับแล้ว เสี่ยวจวินก็จะถูกปล่อยตัวออกมา หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนกลับมาจากข้างนอก เธอก็โทรไปหากู้จื้อเฉิงทันที
ส่วนทางด้านเช่าหวากับจางกว่างฝูก็กลับมาพร้อมความมั่นหน้ามั่นโหนก คิดว่าตัวเองมีคน ‘หนุนหลัง’ ที่เก่งกาจมาก เดินเข้าไปคุยโม้โอ้อวดใส่นายตำรวจชั้นผู้น้อยที่นั่งอยู่ตรงนั้น ดีนะที่นายตำรวจคนนั้นเป็นคนใจกว้างไม่คิดมากและไม่สนใจ
พอเห็นว่าตัวเองนั้นอวดบารมีที่นี่ไม่สำเร็จ เช่าหวาก็เริ่มคิดชั่วอยากจะเบี้ยวค่าปรับขึ้นมา ในเมื่อมีคนโทรมาบอกให้ปล่อยตัวลูกชายของตัวเองแล้ว งั้นก็ขอให้เขาละเว้นค่าปรับจะเป็นอะไรไป
ฟู่ซินและจางฉุ้ยหลินรู้สึกว่ามันน่าอายมาก ไม่มีใครสนใจเช่าหวาเลยสักคน โชคดีหลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว เธอก็เดินกลับเข้ามาในสถานีตำรวจพอดี เมื่อเธอเห็นว่าเช่าหวากำลังทำตัวลีลาไม่ยอมจ่ายค่าปรับ เธอเลยชักสีหน้าเย็นชาและต่อว่าออกไป เช่าหวาถึงได้จำใจยอมจ่ายค่าปรับ
ขากลับยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ด้วยความที่สถานีตำรวจแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในเมือง จางฉุ้ยเหลียนจึงต้องนั่งรถสองแถวกลับเข้าไปในเมือง ส่วนฟู่ซินก็ขับรถไปส่งเช่าหวา จางฉุ้ยหลิน และจางฉุ้ยจวินที่บ้าน
เพราะฟู่ซินช่วยอะไรไม่ได้ เช่าหวาเลยต่อว่าเขาออกไปประมาณว่ามีเงินแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และก็โชคดีที่ฟู่ซินไม่ได้เป็นคนจ่ายค่าปรับ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะอารมณ์เสียเป็นแน่
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้รับรู้ทั้งสองเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ทางด้านฟู่ซินก็ขี้เกียจเอาเรื่องนี้ไปบอกเธอ และเขาก็ไม่อยากต่อว่ายัยป้านี่ด้วย เขาจึงคิดว่าเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจของตัวเองก็พอแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นคนเก่ง ถ้าเขาได้แต่งเธอเข้าบ้านไปก็คงจะคุมเธอไม่อยู่ แต่ตอนนี้เขาก็คิดว่าเขาจะแต่งงานกับผู้หญิงที่มีพ่อแม่นิสัยแบบนี้เข้าบ้านไม่ได้เด็ดขาด เขาต้องขอชื่นชมกู้จื้อเฉิงที่ใจกล้ามากจริง ๆ คงต้องปล่อยให้กู้จื้อเฉิงเป็นคนจัดการบ้านหลังนี้เองแล้วล่ะ
หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ไปแล้ว จางฉุ้ยจวินก็ไม่มีหน้ากลับไปทำงานที่โรงงานเหมืองทรายของฟู่ซินอีก แต่เขากลับคิดว่าตัวเองนั้นมีความสามารถเยอะ และก็คิดว่าการที่เขาทำงานในโรงงานเหมืองของฟู่ซินก็ไม่เห็นว่าจะต้องใช้ความสามารถอะไรมากมายเลย ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้
บวกกับเขาเองก็เคยติดคุกมาแล้ว แล้วต่อไปเขายังจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ เพราะอย่างนั้นเขาจึงแอบไปคุยกับเพื่อนเกเรของเขาสองสามคน เตรียมตัวหาเถ้าแก่รายใหญ่ให้มาร่วมลงทุนทำโรงงานเหมืองทรายด้วยกัน
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้สนใจเรื่องของจางฉุ้ยจวินเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าตอนนี้งานที่วิทยาลัยจะไม่มีอะไรมากนัก แต่เธอเองก็มีงานต้องทำ
อีกครึ่งปีเธอก็จะเรียนจบแล้ว เธอเลยวางแผนว่าหลังจากที่เธอได้รับใบปริญญามาแล้ว เธอก็จะไปอยู่กับกู้จื้อเฉิงทันที แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือ เธอจะทำยังไงกับธุรกิจโรงงานเหมืองทรายที่เธอทำร่วมกับฟู่ซิน และโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าดี
ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะคิดหาทางออกเรื่องนี้ได้ ติงเขอก็มาหาเธอซะก่อน แม้ในช่วงครึ่งปีนี้ธุรกิจจะดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เงินที่หามาได้มันก็ยังห่างไกลจากคำว่ามหาศาลมากนัก เพราะอย่างนั้นติงเขอจึงอยากที่จะขยายโรงงาน เพื่อที่จะเพิ่มปริมาณการผลิตไม่ใช่แค่โรงงานเล็ก ๆ เช่นนี้อีกต่อไป
เดิมทีติงเขอวาดฝันเอาไว้อย่างสวยงาม มีนักออกแบบเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง และมีพนักงานเพียงไม่กี่คนที่เชี่ยวชาญในการขายสินค้าระดับไฮเอนด์ แต่ว่า “การตลาดในตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก อีกทั้งกำลังซื้อของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ยังต่ำเกินไป”
หลังจากที่ติงเขอพูดประโยคนี้จบ หล่อนก็รู้สึกไม่ดีอยู่หน่อย ๆ เพราะเดิมทีก่อนหน้านี้ที่หล่อนขายสินค้าระดับไฮเอนด์ที่ห้างสรรพสินค้า รายได้ต่อปีของหล่อนก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย แต่หลังจากที่หล่อนได้เปิดโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้านี้แล้ว หล่อนก็เริ่มไม่พอใจกับผลประกอบการของมันเท่าไหร่นัก
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ นั่นแหละค่ะ เดิมทีที่พวกเราเปิดกิจการนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะหาเงินก้อนแรก แล้วตอนนี้คุณคิดจะทำยังไงหรือคะ ? ”
ติงเขอพูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม “ฉันคิดที่จะทำเสื้อผ้าแบบขายส่ง และฉันก็อยากจะเดินทางไปดูทางตอนใต้สักหน่อย”
พอจางฉุ้ยเหลียนได้ยินแบบนั้น เธอก็ขนลุกขึ้นมาในทันที ทันใดนั้นในสมองเธอก็มีภาพปรากฎขึ้นจำนวนมาก
ที่อัตราการชอปปิงออนไลน์เพิ่มขึ้น มันก็เป็นเพราะเสื้อผ้าราคาถูกและมีหลากหลายแนวไม่ใช่หรือ และร้านค้าออนไลน์ต่างก็ใช้ราคาขายส่งกันทั้งนั้นแม้ว่าจะซื้อเพียงชุดเดียวก็ตาม ในขณะที่มีอัตราการซื้อขายออนไลน์มากเพิ่มขึ้น ก็มีกิจการเกี่ยวกับการขนส่งต่าง ๆ เกิดขึ้น และในเวลาเดียวกันก็ทำให้ธุรกิจเสื้อผ้าขายส่งขยายตัวใหญ่ขึ้นเช่นกัน หลังจากนั้นเสื้อผ้าขายส่งเหล่านี้มันก็ไม่ได้ผูกขาดอยู่ที่ศูนย์การกระจายสินค้าที่เมืองกวางโจว เซินเจิ้น และอู่ฮั่นอีกต่อไป หลังจากนั้นทั่วทั้งประเทศก็จะมีเสื้อผ้าหลากหลายประเภทไม่ว่าจะน้อยหรือใหญ่เพิ่มมากขึ้น เช่น สิ่งทอ กางเกงยีนส์ เสื้อผ้าขนสัตว์ และอื่น ๆ ตามท้องถิ่นและดีไซน์เฉพาะตัว
ในช่วงต้นยุค 90 เป็นช่วงที่มีปฏิรูปที่เข้มแข็งที่สุด การที่คว้าโอกาสที่ดีนี้ไว้ มันก็สามารถสร้างรายได้ก้อนโตได้อย่างแน่นอน
ใคร ๆ ก็มักจะพูดว่า ช่วงเวลาดี ๆ ก็มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้ไขว่คว้าโอกาสดี ๆ แบบนั้นไว้ แต่สำหรับคนที่มองการณ์ไกล ช่วงเวลาในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ในช่วงเวลาที่สินค้าขนาดเล็กเฟื่องฟูคุณกลับไม่ได้คว้าโอกาสไว้ ไม่มีเงินก็เพราะกำลังเผชิญกับวิกฤตทางการเงิน ในช่วงที่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟูคุณก็ไม่ได้คว้าโอกาสไว้ ไม่มีเงินก็เพราะกำลังเผชิญกับวิกฤตทางการเงิน และในช่วงที่มีงานนิทรรศการอีคอมเมิร์ซคุณก็ไม่ได้คว้าโอกาสไว้ ไม่มีเงินก็เพราะกำลังเผชิญกับวิกฤตทางการเงิน
ตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา หลังจากที่ผู้คนได้สัมผัสกับวิกฤตทางการเงิน ทุกคนที่หางานไม่ได้ หรือการเปลี่ยนงานไม่ราบรื่น และคนที่ทำธุรกิจได้ไม่ดีก็มักจะอ้างว่าเป็นเพราะ “วิกฤตทางการเงิน”
ในครั้งนี้สวรรค์ก็ให้โอกาสกับเธอแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ แต่เธอก็สามารถปรับตัวเข้ากับโลกได้ !
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าแรง ๆ หลายครั้งให้กับติงเขอ “ไปเลยค่ะ หนูสนับสนุนคุณน้าเต็มที่ คุณน้าจะกว่างโจวก็ดี หรือจะไปเซินเจิ้นก็ได้ ที่นั่นเป็นสวรรค์ของเสื้อผ้าขายส่ง”
ไม่ว่าเมือง Q หรือแม้แต่เมืองที่ห่างไกลออกไปอย่างเมืองที่กู้จื้อเฉิงอยู่ ขอแค่ที่แห่งนั้นมีคน มันก็ต้องมีตลาดค้าส่งอย่างแน่นอน เพียงแค่เธอเข้าไปในตลาดค้าส่งเสื้อผ้า ถึงแม้เธอจะขายกางเกงตัวละ 5 หยวน หรือชุดเดรสตัวละ 10 หยวน แต่ก็รับรองได้เลยว่ายังไงเธอก็ต้องขายมันได้อย่างแน่นอน
ในเมื่อเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ตัวเองรัก งั้นก็ต้องคิดหาวิธีซื้อขนมปังมาให้ได้ด้วยตัวเอง !
(ขนมปังเป็นสัญลักษณ์แทนความรัก)
MANGA DISCUSSION