ตอนที่ 131 โดนจับ
“ไอ้หยา ราคาอาหารที่นี่แพงมากเลย” อันหลงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมกับใบสีหน้าที่เศร้าสร้อย หล่อนขมวดคิ้วและถอนหายใจออกมา “บอกว่าจะมาดูมหาวิทยาลัย สุดท้ายก็ได้แต่กิน ๆ เที่ยว ๆ ซื้อของกันเท่านั้น เห้อ ! ”
พอได้ยินแบบนั้นแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที นี่เหมือนเป็นการทำคุณบูชาโทษชัด ๆ หรือว่ามันเป็นสิ่งที่เธอสมควรโดนกันนะ ?
เดิมทีแล้วการที่เธออยากจะมากินข้าวที่ร้านอาหารแห่งนี้ก็เพื่อที่จะทำให้สองแม่ลูกคู่นี้มีความสุข แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่าอันหลงจะเดินออกไปคิดเงินก่อน ในเมื่อหล่อนจะเป็นคนจ่าย แล้วจะหล่อนจะมานั่งบ่นทำไม ? แล้วอีกอย่าง ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าในช่วงสองวันนี้ที่ผ่านมานี้ สองแม่ลูกคู่นี้เที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสนานมากแค่ไหน อีกทั้งของที่ซื้อมาก็เป็นของของพวกเธอทั้งนั้น
แต่ในใจเธอก็มีความโมโหซ่อนอยู่เช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถบ่นออกไปได้ ได้แต่หันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้กับกู้จื้อชิว “พรุ่งนี้ไปพิพิธภัณฑ์กันเถอะ ! ” จางฉุ้ยเหลียนจำได้ว่า เมื่อก่อนเวลาที่กู้จื้อชิวออกไปเที่ยว หล่อนก็มักจะมีรสนิยมในการเที่ยวที่ไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นมันจะไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในที่นั้น ๆ แต่กู้จื้อชิวกลับชอบไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ จากนั้นค่อยออกไปเดินถนนสายเก่า ๆ ของที่นั่น
ดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนเลยคิดว่ารสนิยมของกู้จื้อชิวนั้นไม่ธรรมดา ครั้งนี้เธอจะต้องพาหล่อนไปเดินเที่ยวในพิพิธภัณฑ์ของเมืองหลวงให้ได้ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าพิพิธภัณฑ์ในเมืองหลวงตอนนี้มันจะเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ในอีก 20 ปีข้างหน้าไหม เพราะหลังจาก 20 ปีต่อมา พิพิธภัณฑ์ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นที่จัดแสดงฟอสซิลของไดโนเสาร์ชนิดต่าง ๆ ไปแล้ว
กู้จื้อชิวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “อือ หนูอยากไป คุณครูเคยบอกว่า ที่นี่มีเขตที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิจินไท่จู่ หวางเอี๋ยนอากูต่า ด้วย แต่เราคงมีเวลาไม่พอที่จะไปดูที่นั่นได้ เราไปดูพิพิธภัณฑ์กันก่อนก็ได้ค่ะ”
อันหลงนั่งบุ้ยปากอยู่ข้าง ๆ “พิพิธภัณฑ์มีอะไรน่าสนใจกัน ? มีแต่ของที่คนตายเคยใช้ทั้งนั้น แล้วก็มีศพแห้งสองสามศพก็แค่นั้น จะไปทำไม อัปมงคลจะตาย ห้ามไป ! ”
กู้จื้อชิวขมวดคิ้วหันไปมองผู้เป็นแม่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ทำไมจะไปไม่ได้ล่ะคะ นั่นเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์และเป็นสมบัติของประเทศของเราเลยนะคะ หนูได้เห็นในหนังสือมาเยอะแล้ว และการที่จะได้ไปเห็นของจริงในพิพิธภัณฑ์มันก็ให้รู้สึกไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”
อันหลงกินซุปไปขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจไป “นั่นเป็นของคนตายหลายชั่วอายุคนแล้ว ลูกจะรู้หรือว่าข้างในมันมีของสกปรกอะไรอยู่บ้าง ? พวกเธอทั้งสองคนยังเป็นเด็ก อีกทั้งพลังหยางก็น้อย เดี๋ยวก็โดนของอะไรเข้าหรอก ! ”
กู้จื้อชิวโยนตะเกียบลงไปบนโต๊ะด้วยความโมโห “แม่ แม่เลิกงมงายได้ไหม ? ”
อันหลงกลอกตา ท่าทางดูเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กัน “ไม่ว่ายังไงก็ห้ามไป ที่นั่นมีอะไรน่าสนุกนักรึไง ? อีกเดี๋ยวแม่พาลูกไปที่ร้านหนังสือ ซื้อหนังสือสักเล่มสองเล่ม ถ้าลูกยังอยากไปเที่ยวอีก แม่ก็จะพาไปพายเรือที่เกาะไท่หยาง”
จางฉุ้ยเหลียนหมดคำพูดขึ้นมาทันที เมื่อกี้ยังบอกว่าตัวเองไม่ติดอะไร ทุ่มเงินออกมาเพื่อเปิดหูเปิดตา แต่ตอนนี้หล่อนไม่ให้ไปดูประวัติศาสตร์ที่พิพิธภัณฑ์ในเมืองหลวงแล้วเท่านั้น แต่หล่อนยังจะพาพวกเธอไปพายเรือที่เกาะไท่หยางอีก ที่แท้นิสัยเอาแต่ใจของอันหลง ก็เป็นมาตั้งแต่สมัยสาว ๆ แล้วนี่เอง
“เกาะไท่หยางอะไรกัน ? แถมยังต้องพายเรือ บ้านเราก็มีทะเลสาบให้พายเรือไม่ใช่หรือคะ ? ” กู้จื้อชิวไม่สนใจเรื่องพายเรือเลยสักนิด หลังจากที่กินอิ่มแล้ว หล่อนก็เริ่มง่วงนอน ดวงตาทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ หรี่ลง บวกกับหน้าตาจิ้มลิ้มของหล่อนแล้ว มันก็ดูน่ารักมากเลยทีเดียว
เป็นอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนคิด วันสุดท้ายในเมืองหลวง อันหลงก็พาพวกเธอทั้งสองคนไปเที่ยวเล่นที่เกาะไท่หยางจริง ๆ เด็กสาวทั้งสองคนไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแรงเหมือนอย่างสาววัยกลางคนอย่างหล่อน อีกทั้งการที่พวกเธอจะเดินทางไปรอบเกาะที่ใหญ่ขนาดนี้ พวกเธอต่างก็ต้องเดินด้วยขาทั้งสองข้างของตัวเองไม่หยุด
เมื่อตกกลางวันยังไม่ทันได้กินข้าวเที่ยง ทั้งสามคนก็ต้องเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม แล้วหอบเอาสัมภาระของตัวเองตรงไปที่สถานีรถไฟ หลังจากที่ทั้งสามคนขึ้นมานั่งบนรถไฟแล้ว ทั้งสามคนก็เขมือบขนมปังไส้กรอกอย่างหิวโหย หลังจากนั้นก็เอนหลังพิงเบาะแล้วหลับกันทันที
พอลงจากรถไฟแล้ว พวกเธอทั้งสามคนก็เห็นเซี่ยจวินมายืนรอรับพวกเธออยู่ที่หน้าสถานีรถไฟ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขายืมรถสามล้อของใครมา เขามารับทั้งสามคนกลับไปที่ร้านซ่อมของตัวเอง และเมื่อเดินเข้ามาหลังร้าน ทุกคนก็เห็นตงลี่หวาเตรียมอาหารเย็นวางไว้จนเต็มโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“ไอ้หยา ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ” เห็นได้ชัดว่าอันหลงก็คิดไม่ถึงว่าเซี่ยจวินและตงลี่หวาจะเตรียมอาหาร “เลี้ยงต้อนรับ” พวกเธอเอาไว้ให้
ตงลี่หวาวางตะเกียบลงพร้อมกับพูดออกไปว่า “มีอะไรต้องขอโทษกันล่ะ บ้านของเธอก็ไม่มีใครอยู่เลยไม่ใช่หรือ พอกลับไปที่บ้าน เธอก็ยังต้องทำกับข้าวให้ลูกสาวกินอีก แบบนั้นมันจะเหนื่อยเอานะ ! ”
เซี่ยจวินยังพอจะคุยกับเพื่อนร่วมรบเก่าของตัวเองได้บ้าง แต่ถ้าจะให้เขาคุยกับผู้หญิง เขาย่อมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นเขาจึงได้แต่บอกให้ทุกคนนั่งกินข้าวกัน แล้วพยายามคีบอาหารให้กับกู้จื้อชิว
ตงลี่หวาถามถึงการไปเที่ยวครั้งนี้ของพวกเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น สำหรับเรื่องของโลกภายนอก เห็นได้ชัดเลยว่าหล่อนดูสนใจมากกว่าเซี่ยจวินเยอะ อันหลงเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ไม่ใช่แค่ตงลี่หวาเท่านั้น แม้แต่เด็กฝึกงานสองสามคนของเซี่ยจวินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะก็ยังกระพริบตาปริบ ๆ รอให้หล่อนเล่าให้ฟังเลย
อาจเป็นเพราะได้นอนพักบนรถไฟมาพอสมควรแล้ว อันหลงเลยกินไปเล่าไปถึงเรื่องทุกอย่างที่หล่อนได้เห็นและได้ยินในระหว่างเดินทางอย่างมีความสุข อีกทั้งหล่อนยังดื่มเบียร์เข้าไปอีกแก้วหนึ่งด้วย หลังจากที่กินเสร็จแล้วหล่อนก็ให้เซี่ยจวินขับรถไปส่งหล่อนและลูกสาวที่บ้าน
“แม่คะ ที่บ้านของเรามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างรึเปล่า ? ” ความจริงแล้วตอนที่จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในร้าน เธอก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่างแล้ว สายตาของพวกเด็กฝึกงานที่มองมาทางเธอมันก็ดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเซี่ยหลี่ห้าวเองก็ทำท่าทางอึก ๆ อัก ๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
แม้ว่าตอนกินข้าวตงลี่หวาจะพยายามสร้างบรรยากาศคึกครื้นมากแค่ไหน แต่จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกว่ามันผิดปกติไปจากเดิม
“ฉุ้ยเหลียน บ้านของลูกเกิดเรื่องแล้ว” สีหน้าของตงลี่หวาเปลี่ยนไป หล่อนเผยสีหน้าลำบากใจออกมา เห็นได้ชัดเลยว่ามันต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกคนต่างก็ไม่สามารถพูดอธิบายออกมาได้ด้วย
ใจของจางฉุ้ยเหลียนถึงกับสั่นอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็เผลอพูดออกมาว่า “จางฉุ้ยจุนโดนจับอย่างนั้นหรือ ? ”
ตงลี่หวาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “อ๊ะ ลูกรู้ได้ยังไง ? ”
ในที่สุดมันก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นจริง ๆ ด้วย จางฉุ้ยเหลียนรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาทั้งสามคนก็ไม่ได้มีความคิดอะไรดี ๆ ในหัวสมองหรอก เธอจึงพูดออกไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เป็นเพราะสุมหัวเล่นพนันรึเปล่าคะ ? ”
ตงลี่หวาตกใจยิ่งกว่าเดิม มือที่จับฉุ้ยเหลียนอยู่ถึงกับสั่นด้วยความเครียดในทันที “ลูกรู้ได้ยังไง ? ไอ้หยา เด็กคนนี้นี่ ลูกคงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรอกนะ ใช่ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้าพร้อมกับฝืนยิ้มออกมา “หนูรู้เรื่องนี้อยู่บ้างค่ะ แล้วหนูก็เคยเตือนพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ฟัง” เดิมทีเธอก็ไม่ได้สนใจคนพวกนั้นอยู่แล้ว ถึงพวกเขาจะโดนจับแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอล่ะ ?
แต่จู่ ๆ มันก็เหมือนกับมีแสงสว่างวาบขึ้นมาในหัวสมองของเธอ เธอจึงจับมือของตงลี่หวาเอาไว้แน่น และรีบถามออกไปว่า “เขาโดนจับที่ไหน แล้วเขาได้ทำให้โรงงานเหมืองทรายเดือดร้อนรึเปล่าคะ ? ”
ตงลี่หวาจึงตบมือลงไปบนต้นขาของตัวเองอย่างแรง จากนั้นหล่อนก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง ที่แท้ไอ้เด็กเหลือขอจางฉุ้ยจวินก็สุมหัวเปิดบ่อนการพนันที่โรงงานเหมืองทรายของเธอจริง ๆ อีกทั้งที่นั่นก็ยังถือว่ามีชื่อเสียงที่กระฉ่อนมาก และด้วยความที่เป็นช่วงที่ชาวนาว่างงานพอดี พวกเขาเลยแห่กันมาเล่นไพ่นกกระจอกที่โรงงานแห่งนี้
คุณป้าของฟู่ซินมาได้ยินเรื่องนี้เข้า เพราะ “เผิงต้าหยู” ลุงของเขาก็ไปเล่นพนันที่นั่นบ่อย ๆ หลังจากที่เผิงต้าหยูและแม่ม่ายสาวใหญ่ชู้รักของเขาได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเปิดเผยแล้ว ป้าของฟู่ซินก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไป หล่อนไม่คิดที่จะปล่อยมือ คิดหาโอกาสไปสร้างความวุ่นวายอยู่ตลอด
จนกระทั่งวันที่ “เผิงต้าหยู” กลับมาเอาเงินที่บ้าน บอกว่าตัวเองไปเล่นไพ่นกกระจอกเสียเงินไป 2,000 หยวน
“2,000 หยวนเลยนะ ลูกคิดดูสิว่าต้องตกปลากี่ตัวถึงจะได้เงินขนาดนั้น ? ” ตงลี่หวาพูดด้วยน้ำเสียงท้อแท้ “พวกเขาทะเลาะกันยกใหญ่ แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็เอาเงินไปได้ หล่อนเลยร้องไห้แล้วกลับไปที่บ้านแม่ตัวเอง เพราะอย่างนั้นพ่อของฟู่ซินถึงได้รู้เรื่องที่โรงงานเหมืองทรายของลูกชายกลายเป็นบ่อนพนันไปแล้ว”
พ่อแม่ของฟู่ซินเป็นนักธุรกิจที่จริงจัง ย่อมรู้ข้อดีข้อเสียเกี่ยวกับเรื่องนี้ดี และตั้งแต่ที่ฟู่ซินเดินทางลงใต้ พวกเขาก็เข้าใจผิดคิดมาตลอดว่าโรงงานเหมืองทรายของลูกชายหยุดการผลิตเอาไว้ แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้าตัวแสบดันเปลี่ยนโรงงานเหมืองทรายกลายเป็นบ่อนการพนันไปซะได้ และตอนนี้มันก็ใกล้จะครึ่งปีแล้ว หากมีคนไปร้องเรียนเรื่องนี้ โรงงานเหมืองทรายก็จะถูกสั่งปิด แล้วสุดท้ายครอบครัวของเขาก็ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว
พ่อและพี่ชายของฟู่ซินเลยพาคนไปสิบกว่าคน พวกเขาบุกเข้าไปในโรงงานเหมืองทรายแล้วไล่จางฉุ้ยจวินและคนอื่น ๆ ออกไปทันที และถึงแม้ว่าเช่าหวาจะเป็นคนที่ให้ท้ายลูก แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะหนึ่ง พ่อของฟู่ซินเข้ามาพร้อมกับปืนลูกซอง และสอง เขาเป็นพ่อของเจ้านายของจางฉุ้ยจวิน และสาม หล่อนไม่ควรสร้างเรื่องวุ่นวายในถิ่นของคนอื่น
แต่หากยึดตามเวลาแล้ว ตอนนี้จางฉุ้ยจวินก็คงจะติดการพนันจนขึ้นสมอง อีกทั้งตอนนี้เขาก็ยังกล้าบ้าบิ่นมากอีกด้วย และด้วยความที่เช่าหวาที่เข้ามายึดตำแหน่งคนทำอาหารของโรงงานเหมืองทรายแห่งนี้ หล่อนจึงแอบขโมยเงินไปได้ไม่น้อยเลย
ทั้งสามคนเลยรวมหัวกัน คิดจะเช่าบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ในละแวกนั้น หลังจากรอให้ตระกูลฟู่ปิดโรงงานเหมืองทรายแล้ว ทางด้านจางกว่างฝูก็เช่าบ้านหลังเล็ก ๆ ไปแล้ว 3 หลัง
แต่บ้านหลังเล็ก ๆ แบบนั้นมันจะไปสะดวกสบายเหมือนโรงงานเหมืองทรายได้ยังไง ผ่านไปได้เพียงไม่กี่วันก็มีคนเริ่มไม่ชอบใจแล้ว เช่าหวาและลูกชายก็โลภจนโงหัวไม่ขึ้น จางฉุ้ยจวินติดการพนันอย่างหนักจนไม่หลับไม่นอน อีกทั้งยังไม่ยอมกินข้าวกินปลา ทั้งสามคนจึงปรึกษาหารือกันว่า จะให้พ่อแม่ของเขากลับไปเก็บข้าวของแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ และพวกเขาทั้งสามคนก็จะฉลองปีใหม่ที่นี่กันอย่างเรียบ ๆ รอให้ฉลองวันปีใหม่เสร็จแล้ว และเขาได้กลับไปทำงานอีกครั้ง พวกเขาค่อยเลิกเช่าบ้านหลังนี้
“เพียงแค่นี้ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของลูกก็กลับไปเก็บของที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นหม้อ ไห จาน ชาม หรือผ้าปูที่นอนก็ขนกันมาหมด พอตำรวจได้รับแจ้งก็เข้ามาบุกจับที่บ้านเช่าหลังนั้นทันที เพราะมีพยานหลายคนบอกว่าน้องชายของลูกเป็นคนเปิดบ่อนพนันแห่งนี้ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของ ตอนนี้เสี่ยวจวินเลยถูกขังอยู่ที่โรงพัก แถมยังโดนตัดสินให้จำคุกแล้วด้วย” ตงลี่หวากล่าวออกมาอย่างเศร้า ๆ
แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับกลอกตาไปมา แล้วยิ้มออกมาอย่างไม่แยแส “ติดสินจำคุกอะไรกันล่ะคะ ก็แค่โดนขังไม่กี่วันไม่ใช่หรือ” หลังจากพูดจบเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “พวกเขาได้มายืมเงินแม่รึเปล่าคะ ? ”
ตงลี่หวาส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “ไม่ได้มา พ่อผู้ให้กำเนิดของลูกก็โดนคุณปู่ของลูกชกไปทีหนึ่ง จากนั้นเขาก็ร้องไห้กระซิก ๆ มากับแม่ของลูก พวกเขาถามเราว่าบ้านของเราพอจะมีเส้นมีสายอะไรบ้างไหม ? แต่บ้านของเราจะไปมีเส้นมีสายอะไรได้ล่ะ ? แถมนิสัยพ่อผู้ให้กำเนิดของลูกก็เป็นแบบนั้น แล้วจะมีใครจะยอมช่วยเขากัน”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว เธอนึกไปถึงฟู่ซินที่อยู่เซินเจิ้นขึ้นมา จากนั้นเธอก็อดที่จะกังวลไม่ได้ “ไม่รู้ว่าฟู่ซินเป็นยังไงบ้าง เขาจะรู้เรื่องนี้แล้วรึยัง”
พอคิดได้แบบนั้น เธอก็รีบลุกขึ้นและเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาโรงแรมที่ฟู่ซินพักอยู่ทันที แต่พนักงานกลับพูดว่า ฟู่ซินได้เช็คเอาน์ออกไปแล้ว
หลังจากวางสาย จางฉุ้ยเหลียนก็บ่นพึมพำกับตัวเอง “สงสัยเขาจะกลับมาแล้ว”
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จางฉุ้ยเหลียนก็เดินทางกลับไปที่บ้านตระกูลจาง ด้วยความที่พวกเขาเป็นพ่อแม่และน้องชายแท้ ๆ ของตัวเอง ที่บ้านเกิดเรื่องเธอก็ต้องกลับไปดูหน่อย
แม้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะรักลูกชายมากกว่าลูกสาวและไม่เห็นความสำคัญของเธอ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ขายจางฉุ้ยเหลียนให้พวกค้ามนุษย์หรือบังคับให้เธอไปเป็นโสเภณี แม้พวกเขาจะไม่ออกเงินค่าเล่าเรียนให้เธอ แต่ตัวเธอเองก็โตแล้ว การที่จะมาบ่นถึงเรื่องนี้มันก็จะดูไม่เหมาะเท่าไหร่นัก
จางฉุ้ยเหลียนพยายามบอกกับตัวเองว่า ยังมีช่องว่างให้ฟื้นตัวจากบาดแผลเมื่อชาติที่แล้ว คิดแค่ว่ามันเป็นกรรมที่ทำมาแต่ชาติปางก่อน แค่ชดใช้ในชาตินี้ก็สิ้นเรื่อง
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนมาถึงบ้านตระกูลจาง เพียงแค่เธอเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เธอก็ได้กลิ่นของยาจีนลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน เมื่อเข้ามาในบ้าน เธอก็เห็นป้าสะใภ้ใหญ่กำลังนั่งต้มยาจีนอยู่ในห้องครัว
หล่อนช้อนตาขึ้นมามองจางฉุ้ยเหลียน ดวงตาของแดงก่ำ อีกทั้งเสียงของหล่อนก็เหมือนกับคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา “ฉุ้ยเหลียนกลับมาแล้วหรือ เธอดูบ้านของเธอตอนนี้สิ ทำไมมันถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้ พ่อของเธอก็นอนป่วยอยู่บนเตียงขยับตัวไปไหนมาไหนไม่ได้ ส่วนแม่ของเธอก็หนีกลับไปอยู่ที่บ้านแม่ของตัวเองแล้ว……ไอ้หยา น้องชายของเธอยังถูกจับขังคุกอีก ต่อไปนี้เธอยังจะไปเรียนได้อยู่อีกหรือ ? ”
MANGA DISCUSSION