ตอนที่ 129 เที่ยวเล่น
ถึงแม้ว่าจะได้มาอยู่ในเมืองหลวงเพียงไม่กี่วัน แต่ภายในใจของอันหลงในตอนนี้มันก็มีภาพของจางฉุ้ยเหลียนมากขึ้นกว่าเดิม
แม้ฐานะครอบครัวของอันหลงจะค่อนข้างดี แต่หล่อนก็เคยเดินทางไกลแค่ไม่กี่ครั้งเพียงเท่านั้น แม้จะบอกว่าตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนอายุยังน้อย แต่เธอก็มีประสบการณ์และความทรงจำในชาติที่แล้วอยู่บ้าง
แม้จะไม่ได้ไปที่เมืองหลวงบ่อยนัก แต่หากเธอใช้ความทรงจำในชาติก่อน การที่จะไปไหนมาไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้ยังอยู่ในปี 1990 ไม่ว่าจะเป็นตัวอาคาร ร้านค้า หรือผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา มันก็ล้วนแล้วแต่เทียบกับ 20 ปีข้างหน้าไม่ได้เลย
ตั๋วรถไฟที่จางฉุ้ยเหลียนซื้อเป็นตั๋วรถไฟรอบบ่าย รถไฟที่เดินทางจากเมือง Q ไปยังเมืองหลวงเป็นรถไฟสายสีเขียวที่ทั้งช้าและทรุดโทรม พอทั้งสามคนขึ้นมาบนรถแล้ว พวกเธอก็ไปนั่งประจำที่ของตัวเองทันที กู้จื้อชิวนั่งประจำที่นั่งติดหน้าต่าง หล่อนหันไปมองด้านนอกด้วยความตื่นเต้น
หากจางฉุ้ยเหลียนจำไม่ผิด ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธอก็ได้นั่งรถประจำทางปรับอากาศที่ขึ้นต้อนด้วยตัวอักษร T รอบ 07.30 น. มานักต่อนักแล้ว เพราะอย่างนั้นการที่เธอได้มาเกิดใหม่และได้มานั่งรถไฟที่ทั้งเก่าและทรุดโทรมแบบนี้ มันก็เหมือนกับความฝันฉากหนึ่งของเธอ
หลังจากรถไฟเริ่มส่งเสียงฉึกฉัก ๆ ออกมาเบา ๆ เจ้าหน้าที่รถไฟก็เดินเข้ามาตรวจตั๋วผู้โดยสาร จากนั้นไม่นาน พวกพนักงานขายของก็เดินเข้ามาพร้อมกล่องโฟม เขาเดินไปพร้อมกับตะโกนขายของออกไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไอศกรีมจ้า ไอศกรีม ! ไอศกรีมจ้า ไอศกรีม ! ไอศกรีมจ้า ไอศกรีม อา.…”
พอจางฉุ้ยเหลียนได้ยินเสียงตะโกนแปลก ๆ แบบนั้นของเขา เธอก็หัวเราะออกมาทันที โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำว่า “อา” ตอนท้ายที่ลากยาวนั่น มันก็เป็นอะไรที่ฮามาก
ไม่ได้มีแค่จางฉุ้ยเหลียนเท่านั้นที่คิดว่ามันตลก เพราะหลังจากที่พนักงานขายเดินผ่านตู้รถไฟนี้ไปแล้ว เด็กหลาย ๆ คนบนรถต่างก็พากันพูดเลียนแบบเขาออกมา สร้างบรรยากาศในรถไฟให้คึกคักขึ้นมาทันที
อันหลงสะกิดจางฉุ้ยเหลียน แล้วกระซิบข้างหูของเธอเบา ๆ ว่า “จางฉุ้ยเหลียน ต่อจากนี้ไปเธอจะหัวเราะแบบนี้ไม่ได้นะ พ่อค้าแม่ค้าก็ขายของกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ เธอจะไปหัวเราะพวกเขาไม่ได้ ถ้าพวกเขามาเห็นเข้า เขาจะคิดว่าเธอยังไม่เคยออกมาเผชิญโลกแล้วก็ไม่มีมารยาทอีกด้วย ! ”
สีหน้าของจางฉุ้ยเหลียนค่อย ๆ เปลี่ยนไปทันที เธออยากจะอธิบายแต่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ได้แต่พยักหน้าเป็นการตอบรับอย่างเชื่อฟังเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นไม่ว่าพ่อค้าจะตะโกนร้องเพลงน่าขำมากขนาดไหน เธอก็ไม่หัวเราะออกมาอีก
อันหลงคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่เคยออกมาจากเมือง Q มาก่อน ไม่เคยเห็นโลกภายนอก หล่อนจึงเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา และหล่อนก็คิดว่าจู่ ๆ ทำไมหล่อนถึงได้บ้าบิ่นพาเด็กน้อยสองคนเข้ามาในเมืองหลวงแบบนี้ หลังจากที่ทั้งสามคนลงมาจากรถไฟแล้ว พวกเธอก็ได้เจอกับวิถีชีวิตที่ไม่คุ้นเคย หรือว่าพวกเธอจะต้องไปพักอยู่ในโรงแรมเล็ก ๆ สองคืนงั้นหรือ ?
ในใจของอันหลงตอนนี้ก็เริ่มบ่นถึงความคิดไร้สาระของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนโดนบังคับมาจนได้ แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็มาแล้ว หล่อนจึงทำได้เพียงแค่เดินหน้าต่อไปเท่านั้น
ทางด้านของอันหลงกำลังเป็นกังวล ส่วนทางด้านของจางฉุ้ยเหลียนก็เริ่มรู้สึกไม่ดีเช่นกัน ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่ารถไฟในสมัยนี้มันช้า แต่เธอก็ไม่คิดว่ามันจะช้าถึงขนาดนี้ มันเทียบกับความเร็วของรถไฟในสมัยใหม่ไม่ได้เลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นมันยังจอดทุกสถานีอีกด้วย หรือหากมีผู้โดยสารบอกให้จอดมันก็จอด ทำให้ผู้โดยสารคนอื่นหัวร้อนไปตาม ๆ กัน
ความตื่นเต้นของกู้จื้อชิวในตอนแรกมันก็ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความเบื่อหน่ายในที่สุด หล่อนหยิบของกินที่ซื้อมาก่อนที่จะขึ้นรถไฟออกมากินและหาเรื่องคุยไปเรื่อย ๆ
หลังจากที่ออกเดินทางมาได้ครึ่งทาง ผู้โดยสารก็เริ่มเยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้โดยสารจำนวนมากที่ขึ้นมาบนรถไฟล้วนไม่มีที่นั่ง มีหมุ่นน้อยบางคนต้องปีนขึ้นมาอยู่บนพนักเก้าอี้ด้านหลัง และพวกเขาก็ไม่สนใจว่าคนที่นั่งด้านหน้าจะรู้สึกอย่างไร อีกทั้งยังมีผู้โดยสารที่อายุมาก ก็มักจะพูดขอร้องออกมาว่าขอนั่งเบียดด้วยสักหน่อยได้ไหม
ในเวลานี้ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย เพียงแค่มีคนเอ่ยปากขอร้องออกมา พวกเขาก็แบ่งที่ให้นิดหน่อยแล้ว เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึง 16.00 น. กว่า ๆ ที่นั่งที่พวกจางฉุ้ยเหลียนนั่งก็มีคนมานั่งเบียดพวกเธอถึง 4 คนแล้ว
และตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นมา ชายที่แต่งตัวเหมือนพ่อครัวก็ถือถาดอาหารเดินเข้ามา เขาเดินเข้ามาพร้อมกับตะโกนออกไปว่า “ก๋วยเตี๋ยวจ้า… ก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่… ก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ร้อน ๆ เลยจ้า ! ”
มีใครหลายคนที่ไม่สามารถกินก๋วยเตี๋ยวได้ในเวลานี้ ทุกคนได้แต่ฟังเสียงตะโกนขายเท่านั้น และคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับจางฉุ้ยเหลียนในตอนนี้ก็เป็น ‘อาเฮีย’ คนหนึ่ง เขาสวมชุดสูทใหม่เอี่ยมอ่อง อีกทั้งยังจงใจไม่ดึงป้ายราคาออก ตลอดทั้งบ่ายนี้เขาหยิบ “โทรศัพท์มือถือเครื่องโต” ของเขาออกมา 50 ครั้งเห็นจะได้ และใน 50 ครั้งที่เขาหยิบโทรศัพท์มือเครื่องนี้ออกมา เขาก็โทรออกไปแล้วประมาณ 3 ครั้ง
และก็เป็นเพราะ ‘อาเฮีย’ คนนี้ รอบ ๆ ตัวของจางฉุ้ยเหลียนถึงได้มีผู้คนมายืนห้อมล้อมอยู่เยอะขนาดนี้ บางคนเข้ามาพูดคุยกับ ‘อาเฮีย’ และก็มีบางคนที่เข้ามาเพื่อขอดู ‘โทรศัพท์มือถือเครื่องโต’ ของ ‘อาเฮีย’
และด้วยความที่อาเฮียต้องการแสดงว่าตัวเองเป็นคนรวย เขาจึงบอกกับพ่อครัวว่าต้องการก๋วยเตี๋ยวชามโต หลังจากนั้นไม่นานพ่อครัวก็เดิมมาเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวชามโตให้กับเขา พร้อมกับตะเกียบสีขาวคู่หนึ่ง
ภายใต้การจับจ้องของทุกคน อาเฮียก็สูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเสียงดัง ซู๊ด ! ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามถูกอาเฮียกินหมดภายในเวลาไม่ถึง 10 นาทีเลยด้วยซ้ำ ในระหว่างนั้นยังมีเด็กน้อยที่ไม่รู้ความวิ่งเข้ามาดูดนิ้วของตัวเองพร้อมกับดูอาเฮียกินก๋วยเตี๋ยวไปด้วย ต่อจากนั้นเด็กน้อยตัวจิ๋วก็เริ่มร้องไห้ออกมาเพราะความหิว แต่อาเฮียกลับไม่สนใจและยิ่งกินเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
แต่มุมมองของจางฉุ้ยเหลียนกลับต่างออกไป เธอคิดว่าที่แท้ก๋วยเตี๋ยวบนรถไฟในยุค 90 ก็กินใจแบบนี้นี่เอง ก๋วยเตี๋ยวชามโต ประกอบไปด้วยไข่ต้ม ต้มหอม และผักชีสับละเอียด เมื่อราดด้วยน้ำซุปร้อน ๆ ลงไปแล้ว กลิ่นของมันก็จะหอมหวนลอยฟุ้งออกมา คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างจางฉุ้ยเหลียนก็ได้กลิ่นหอมของมันอย่างชัดเจน
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงอาหารบนรถไฟในสมัยใหม่ที่จางฉุ้ยเหลียนเคยสัมผัส มันก็เทียบกับก๋วยเตี๋ยวชามโตนี้ไม่ได้เลย
หลังจากที่ทั้งสามคนลงมาจากรถไฟแล้ว พวกเธอก็เดินออกไปจากสถานีรถไฟพร้อมกับคนอื่น ๆ เมื่อพวกเธอทั้งสามคนมาหยุดยืนอยู่ตรงจัตุรัสหน้าสถานี กู้จื้อชิวก็เดินเข้ามาจับแขนของจางฉุ้ยเหลียนเอาไว้ แล้วถามออกมาด้วยน้ำเสียงกลัว ๆ ว่า “พี่ พวกเราจะไปที่ไหนกันต่อหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “เราก็ต้องไปหาโรงแรมสิ ! ”
ในเวลานี้อันหลงก็ถูกจางฉุ้ยเหลียนลากตัวออกไปจริง ๆ และในระหว่างที่พวกเธอทั้งสามคนกำลังหาโรงแรมอยู่นั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ได้เข้าไปติดต่อกับโรงแรมเล็ก ๆ หลายแห่ง เมื่ออันหลงเห็นจางฉุ้ยเหลียนต่อรองราคาห้องพักของทางโรงแรมอย่างฉะฉาน ท้ายที่สุดหล่อนก็เดินมึน ๆ เข้าไปในโรงแรมราคาประหยัดแห่งหนึ่ง
ในห้องพักมีเตียงขนาดใหญ่หนึ่งหลัง และเตียงขนาดเล็กอีกหนึ่งหลัง และมันก็พอสำหรับพวกเธอทั้งสามคนพอดี หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็พูดกับอันหลงและกู้จื้อชิวออกไปว่า “คุณป้าคะ คุณป้ากับกู้จื่อชิวพักผ่อนกันไปก่อนเลยนะคะ หนูจะออกไปเอาน้ำร้อนมาให้ เดี๋ยวหนูกลับมาค่ะ”
ต่อจากนั้นไม่นานจางฉุ้ยเหลียนก็เดินเข้ามาพร้อมกับกระติกน้ำร้อน และแก้วน้ำอีก 3 ใบ เธอวางพวกมันลงบนเคาน์เตอร์ที่ติดกับหน้าต่าง แล้วหันมาพูดกับทั้งสองคนว่า “ห้องน้ำอยู่สุดทางเดิน ชายหญิงแยกกันด้านบนมีป้ายเขียนบอกไว้ หลังจาก 22.00 น.ไปแล้วจะไม่มีน้ำร้อนให้ใช้ ถ้าต้องการล้างหน้าให้ไปขอล้างหน้าที่อ่างล้างมือที่แผนกต้อนรับนะคะ”
อันหลงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ไม่มีน้ำประปาหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “มีค่ะ แต่น้ำประปาจะเป็นน้ำเย็น แต่หนูก็ไม่อยากจะไปล้างหน้าที่อ่างล้างมือในห้องน้ำ เพราะเราไม่รู้ว่าใครมาล้างหน้าหรือล้างเท้าบ้าง น่าขยะแขยงจะตาย”
กู้จื้อชิวนอนดูทั้งสองคนกำลังพูดกันอยู่บนเตียง “ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว อีกอย่างหนูก็หิวแล้วด้วย พวกเราออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันเถอะค่ะ ! ”
ตอนนี้อันหลงก็รู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน เนื่องจากหล่อนเป็นผู้อาวุโสที่สุด หล่อนเลยลุกขึ้นแล้วพูดว่า “อือ งั้นก็ไปกันเถอะ พวกเราไปหาอะไรกินกันก่อน พอกลับมาแล้วเราค่อยถามพนักงานว่าพรุ่งนี้เราจะไปที่ไหนอะไรยังไงบ้าง”
แต่เมื่อพวกเธอทั้งสามคนเดินออกมาแล้ว อันหลงก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นคิดผิด เพราะในเวลาค่ำคืนในเมืองหลวงแบบนี้ ยังคงมีรถและผู้คนเดินพลุกพล่านเต็มไปหมด พ่อค้าหาบเร่ที่นั่งอยู่ใต้แสงไฟสลัว ๆ ข้างถนนก็ไม่มีท่าทีว่าจะกลับบ้านแต่อย่างใด ทันใดนั้นเองดวงตาของกู้จื้อชิวก็เปล่งประกายออกมา หล่อนชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “แม่ ! แม่ ! แม่ดูนั่นสิ นั่นชาวต่างชาตินี่นา ชาวต่างชาติ”
อันหลงจึงหันไปมองตามที่ลูกสาวชี้ และบนถนนฝั่งตรงข้ามก็มีคนต่างชาติผิวขาวตัวสูงกำลังเดินอยู่จริง ๆ ด้วย พวกเขามีผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่ อีกทั้งผมยังเป็นสีเหลืองซีด หล่อนพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไอ้หยา เป็นเหมือนในโทรทัศน์จริง ๆ ด้วย แม่เองก็เพิ่งจะเห็นเหล่าเหมาจื่อเป็นครั้งแรก” (เหล่าเหมาจื่อ คือคำที่ใช้ดูหมิ่นชาวรัสเซียหรือคนที่มารุกรานประเทศ)
จางฉุ้ยเหลียนหมดคำพูดในทันที เธอรีบเดินเข้าไปดึงแขนของอันหลง แล้วพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “คุณป้าคะ พูดเบา ๆ หน่อย ถ้าคุณป้าไปเรียกเขาว่าเหล่าเหมาจื่อแบบนั้น เดี๋ยวพวกเขาจะได้ยินเอานะคะ”
กู้จื้อชิวหันมามองด้วยความสงสัย พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง “หา ? พวกเราเข้าใจภาษาของเราด้วยหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างตอบรับ “แน่นอน ในเมื่อพวกเขามาอยู่ในประเภทจีน พวกเขาก็ต้องเข้าใจภาษาของเราอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเวลาที่พวกเขาต้องซื้ออาหารหรือว่าเสื้อผ้า พวกเขาจะทำยังไงล่ะ แล้วคนที่กำลังยืนข้าง ๆ พวกเขาก็เป็นล่ามแปลภาษาไม่ใช่หรือ ? ”
หลังจากนั้นพวกเธอทั้งสามคนก็พากันไปหาอาหารเย็นง่าย ๆ ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแถวนั้นกินกัน หลังจากที่กินเสร็จ พวกเธอก็ค่อย ๆ เดินเล่นไปตามถนน จางฉุ้ยเหลียนเดินไปพร้อมกับคิดไปว่าที่นี่ก็ไม่ได้แตกต่างจากภาพในความทรงจำของเธอเท่าไหร่นัก
พวกเธอทั้งสามคนเดินจากสถานีรถไฟลัดเลาะผ่านสวนดอกไม้จนมาถึงสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ บ้านทรงโบราณหลายหลังในย่านนี้ยังคงถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีจนมาถึงคนรุ่นหลัง ในเมืองแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศรัสเซียอยู่ทุกที่ และมันก็ทำให้พวกเธอทั้งสามรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก
อันหลงและกู้จื้อชิวรู้สึกว่าบ้านเรือนในเมืองหลวงแห่งนี้สวยงามเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าในเมือง Q จะมีสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศรัสเซียอยู่บ้าง แต่มันก็มีไม่มากนัก พวกเธอทั้งสามคนค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ พวกเธอเห็นร้านค้าข้างถนนบางร้านที่ยังคงเปิดไฟสว่างจ้าอยู่ แต่ในความเป็นจริงร้านพวกนั้นก็ได้ปิดหมดแล้ว
“แม่คะ ดูตุ๊กตาตัวนั้นสิ น่ารักมากเลย ! ” กู้จื้อชิวโดนตุ๊กตาสไตล์รัสเซียที่วางอยู่ติดกับกระจกในร้านขายตุ๊กตาดึงดูด หล่อนหยุดยืนตรงหน้ากระจกไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน
แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็รู้จักแยกแยะ หล่อนไม่ได้เอ่ยปากขอให้อันหลงซื้อให้แต่อย่างใด และหลังจากที่พวกเธอทั้งสามคนเดินเล่นจนพอใจแล้ว พวกเธอก็ตรงกลับไปยังที่พักของตัวเอง หลังจากล้างหน้าดูโทรทัศน์กันพักหนึ่งแล้วทั้งสามคนก็เข้านอน
เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง จางฉุ้ยเหลียนก็พาสองแม่ลูกเดินออกมาจากโรงแรมพร้อมกับแผนที่
และด้วยความที่จางฉุ้ยเหลียนเป็นคนความจำดี การเดินทางครั้งนี้จึงยิ่งสะดวกเข้าไปใหญ่ เธอจำได้ว่าสถานีรถไฟอยู่ใกล้กับถนนเฉวฟู่ที่มีมหาวิทยาลัยชื่อดังตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก เธอใช้ความรู้สึกพาสองแม่ลูกคู่นี้ค่อย ๆ เดินไปทางนั้น และในระหว่างทางที่พวกเธอเดินไป พวกเธอก็ได้เห็น “รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” และรถโดยสารประจำทางแบบ “รถราง”
ความจริงแล้วอันหลงก็เต็มใจที่จะจ่ายเงิน แต่หล่อนก็ดูออกว่า เด็กน้อยทั้งสองคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ ของหล่อนในตอนนี้ เห็นทุกอย่างเป็นสิ่งแปลกใหม่ เพราะอย่างนั้นพวกเธอก็เลยคิดจะใช้ขาของตัวเองเดินไปจนสุดล่าฟ้าเขียว อีกทั้งพวกเธอก็ยังไม่มีธุระอะไรด้วย หล่อนจึงเดินตามสองสาวอยู่ด้านหลัง
“ทุกคนดูนั่นสิ มันคือพิพิธภัณฑ์” หลังจากที่เดินผ่านสถานีรถไฟมาได้ไม่ไกลเท่าไหร่นัก พวกเธอทั้งสามคนก็เดินมาถึงทางแยกแห่งหนึ่ง
“พรุ่งนี้พวกเรามาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์กันเถอะ นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ของเมืองหลวง น่าจะไม่ต้องซื้อตั๋วเข้า ! ” เมื่อก่อนจางฉุ้ยเหลียนไม่เคยมีโอกาสได้เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์มาก่อนเลย และในยุคสมัยใหม่เพียงแค่รูดบัตรประชาชน เราก็สามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์นั้น ๆ ได้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าในยุค 90 เมื่อ 20 ปีก่อน มันจะเป็นแบบนั้นไหม
“ทุกคนดูนั่นสิ ทางด้านนั้นก็คือห้างสรรพสินค้าชิวหลิน พรุ่งนี้พวกเราไปเดินเล่นที่นั่นกัน ! ” จางฉุ้ยเหลียนชี้นิ้วไปอีกทางหนึ่ง และเมื่อได้เห็นห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น อันหลงก็พูดขึ้นมาบ้าง
“ไอ้หยา นั่นน่ะหรือ ห้างสรรพสินค้าชิวหลิน” ดวงตาอันหลงเป็นประกาย “ถึงป้าจะไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่คนเฒ่าคนแก่ที่บ้าน รวมทั้งพี่ชายของป้าก็ชอบพูดถึงอยู่บ่อย ๆ”
ฮาร์บินมีย่านการค้าที่มีชื่อเสียงทั้งหมด 2 แห่ง แห่งแรกคือ ห้างสรรพสินค้าหนานก่างชิวหลินที่ขายแต่ของนำเข้าโดยเฉพาะ ส่วนแห่งที่สองก็คือ ห้างสรรพสินค้าเต้าว่ายถงจี่ที่ขายของที่ผลิตภายในประเทศและสินค้าระดับกลาง ย่านการค้าทั้งสองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่ประเทศเปลี่ยนการปกครอง และมันก็อยู่กับผู้คนมาเป็นระยะเวลานานหลายปีแล้ว ในห้างสรรพสินค้านี้ ไม่มีสินค้าปลอม อีกทั้งยังเป็นของคุณภาพดี หรือของที่มีคุณภาพสูงทั้งนั้น และก็สามารถพูดออกมาได้เลยว่า ถ้าหากนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวฮาร์บินไม่ได้มาที่ห้างสรรพสินค้าทั้งสองแห่งนี้ ก็ถือว่ายังมาไม่ถึงฮาร์บิน
และคำพูดนี้ สำหรับจางฉุ้ยเหลียนที่เคยอยู่ในช่วงปี 2012 เธอก็สามารถพูดออกมาได้เลยว่า เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
แต่สิ่งที่เธอรู้ก็คือ เธอจะพากู้จื้อชิวไปดูมหาวิทยาลัยที่อยู่ในความทรงจำของเธอแต่ละแห่ง และมหาวิทยาลัยเหล่านั้นก็ถูกสร้างขึ้นในปี 1920 1930 และ1940 มหาวิทยาลัยเหล่านี้เป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงที่มีชื่อเสียงในประเทศจีน ซึ่งบ่มเพาะผู้มีความสามารถมากมายนับไม่ถ้วน เธอมีแรงปรารถนาต่อสถานที่เหล่านั้นสุด ๆ ซึ่งเธอหวังว่ากู้จื้อชิวจะได้เป็นหนึ่งในนักศึกษามหาวิทยาลัยเหล่านั้นด้วย
MANGA DISCUSSION