ตอนที่ 124 นี่หรือแขก ?
การปรากฎตัวครั้งนี้ของจางฉุ้ยเหลียนทำให้อันหลงรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้หล่อนจะไม่รู้เจตนาจริง ๆ ของเหล่าบรรดาญาติพี่น้องของสามี แต่หล่อนก็พยายามต้อนรับพวกเขาให้ดีที่สุด
ในตอนนี้หล่อนกำลังสั่งอาหารที่ร้านอาหารแถว ๆ ชุมชนของหล่อนประมาณสองสามอย่างให้ไปส่งที่บ้าน จากนั้นก็เดินไปซื้ออาหารปรุงสุก องุ่น และผักอีกสองสามอย่างที่ตลาด พอกลับมาถึงบ้านแล้ว หล่อนก็เอาผักต่าง ๆ ที่ซื้อมาให้กับจางฉุ้ยเหลียนและกู้จื้อชิว ส่วนตัวเองก็นำองุ่นที่ล้างเสร็จแล้วมาเสิร์ฟที่ห้องรับแขก
เด็กที่ไห่หยินกำลังอุ้มอยู่ในตอนนี้ก็หยุดร้องไห้แล้ว ตอนนี้เด็กน้อยไม่ได้รู้สึกแปลกที่แปลกทางเหมือนก่อนหน้านี้แต่อย่างใด เขาเริ่มจับที่เขี่ยบุหรี่แก้วที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกมาเล่น พอเห็นอันหลงถือจานองุ่นเขียวและองุ่นม่วงเดินเข้ามา น้ำลายของเขาก็เริ่มไหลเยิ้มออกมา
หลังจากที่อันหลงเด็ดองุ่นลูกหนึ่งยื่นไปให้เด็กน้อยแล้ว หล่อนก็เดินไปย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามานั่ง ขณะที่หล่อนมองเด็กหนุ่มที่เอาแต่ดูโทรทัศน์ตลอด หล่อนก็เริ่มพูดออกไปว่า “นี่คือลูกของเหล่าจิ้วหรือ ? ปีนี้เขาอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ? ” อันหลงเปิดปากถามออกไปแค่ประโยคเดียว ทันใดนั้นเฝิงจ่างเปียวก็แสดงท่าทาง ‘เคร่งขรึม’ ราวกับว่าเป็นผู้อาวุโสทันที
เขากางขาออกกว้าง จากนั้นก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด หลังจากที่พ้นควันบุหรี่ออกมา เขาก็พูดแนะนำลูกชายของตัวเองออกไปว่า “เขาเป็นลูกชายของฉันเอง ตอนนี้รัฐบาลก็ให้มีลูกได้แค่คนเดียว ปีนี้เขาอายุได้ 18 แล้ว และก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้วด้วย”
อันหลงเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไอ้หยา อายุเท่าเสี่ยวชิวของเราเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเธอสองคนใครเกิดก่อนเกิดหลัง”
เวลาที่คนปกติได้เจอกับเด็ก ๆ ก็จะพูดทักทายด้วยประโยคแบบนี้กันทั้งนั้น เฝิงจ่างเปียวก็เป็นคนตามชื่อของเขา เวลาทำอะไรก็จะไม่ค่อยใช้สมองคิด ไม่มีท่าทีเหมือนคนปกติเวลามาขอร้องคนอื่น พอเขาได้ยินอันหลงบอกว่าลูกสาวของตัวเองอายุเท่ากับลูกชายของเขา
เขาก็แสดงหน้าสีหน้าเย็นชาออกมาทันที จากนั้นพูดด้วยท่าทางหยิ่งยโสว่า “หึ ! บ้านของเธอมีลูกสาวแค่คนเดียว ถึงจะเกิดก่อนก็เป็นได้แค่ผู้น้อยไปตลอดชีวิตนั่นแหละ เพราะไห่หยางของเรามีศักดิ์เป็นน้องชายคนเล็กของเธอ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เขาเป็นน้าชายของกู้จื้อเฉิง”
คุณน้าหกคิดว่าน้องเขยคนนี้ของหล่อนทำตัวแย่จริง ๆ มาบ้านเขาแล้วยังมาพูดจาไม่ดีใส่เขาอีก เขาไปทำให้ครอบครัวนี้ขุ่นเคืองได้ แต่ครอบครัวนี้ทำให้เขาขุ่นเคืองไม่ได้อย่างนั้นหรือ
เมื่อเห็นดังนั้น หล่อนก็รีบส่งสายตาให้ลูกสะใภ้ของหล่อนอย่างหวังย่าจือทันที ทันใดนั้นหวังย่าจือก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ไอ้หยา พอพูดถึงเสี่ยวชิว พี่สะใภ้ ตอนนี้เสี่ยวชิวก็กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วใช่ไหม ? ”
อันหลงมองเด็กหนุ่มที่อยู่ในวัยเดียวกันกับเสี่ยวชิวแวบหนึ่ง จากนั้นหล่อนก็คิดถึงลูกสาวที่ทำตัวดีมาตลอดของตัวเอง แล้วเผยสีหน้าภาคภูมิใจออกมา “ยังหรอก แต่ก็เร็ว ๆ นี้แหละ”
ภรรยาของเฝิงจ่างเปียวเป็นน้องสาวของคุณน้าหก และมีศักดิ์เป็นคุณน้าเจ็ดก็รีบหัวเราะออกมาทันที “ไอ้หยา ลูก ๆ ของเธอนี่เก่งกันจริง ๆ เลยนะ ลูกชายก็เป็นทหาร ส่วนลูกสาวก็กำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอนี่โชคดีจริง ๆ เลย ! ”
“เด็กผู้หญิงจะเรียนไปทำไมกัน ? สุดท้ายเดี๋ยวก็ต้องแต่งงานออกไปเรือนไปอยู่ดี จะเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์ทำไม ! ” เฝิงจ่างเปียวรู้ดีว่าตนเองนั้นมีพี่สาวคอยช่วยหนุนหลัง เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่เห็นอันหลงอยู่ในสายตาเลยสักนิด เขาคิดว่าเรื่องที่ลูกชายตัวเองจะได้เป็นทหารเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงได้
เพราะการจัดการเรื่องที่จะให้ลูกชายของเขาได้เป็นทหาร หลานชายผู้ซึ่งทำงานเป็นทหารของเขาก็เป็นคนจัดการ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้หญิงภูมิหลังไม่ดีคนนี้เลยสักนิด หากไม่ได้เป็นเพราะยัยผู้หญิงพวกนี้ต้องการที่จะที่นี่ให้ได้ในวันนี้ เขาก็คงจะไม่มาเหยียบที่นี่หรอก
สีหน้าของอันหลงดูแย่มาก บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันที หวังย่าจือหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา หล่อนพยายามที่จะสรรหาคำพูดมาเพื่อที่จะทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้น ทันใดนั้นหล่อนก็นึกถึงจางฉุ้ยเหลียนที่อยู่ในห้องครัวขึ้นมาได้ หลังจากที่คิดและตัดสินใจเสร็จแล้ว หล่อนก็พูดประจบประแจงอันหลงต่อว่า “มันไม่เหมือนกัน ตอนนี้เราอยู่ในยุคสมัยใหม่แล้ว จะชายหรือหญิงก็มีสถานะเท่าเทียมกันนั้น ถึงอย่างไรมีการศึกษาก็ดีกว่าไม่มีไม่ใช่หรือ ลูกสะใภ้ของเธอตอนนี้ก็กำลังเรียนวิทยาลัยอยู่ หล่อนจะเรียนจบเมื่อไหร่หรือ ? พวกเรารอดื่มเหล้ามงคลอยู่นะ ! ”
ตอนนี้ในใจของอันหลงรู้สึกรังเกียจเฝิงจ่างเปียวเป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงวิกฤตที่ใหญ่ที่สุดระหว่างจางฉุ้ยเหลียนกับกู้จื้อเฉิงเลย เพราะมันเกิดจากแม่สามีอย่างเธอเป็นเหตุทั้งนั้น
แล้วหล่อนจะมีหน้ามาพูดว่าพวกเขาจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ได้ยังไงล่ะ ?
อันหลงที่ไม่พูดไม่จาทำให้หวังย่าจือรู้สึกตัวเองไปสะกิดปัญหาเข้า ส่วนเฝิงจ่างเปียวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็เอาแต่หัวเราะออกมา และบอกว่าหล่อนนี่หน้าไม่อายเลยจริง ๆ
บรรยากาศที่อึดอัดนี้ทำให้เหล่าบรรดาผู้คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย และก็แน่นอนว่ามีแค่อันหลง คุณน้าหก และหวังย่าจือเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัด
ไห่หยินและลูกตั้งหน้าตั้งตากินองุ่น ส่วนน้าเจ็ดและลูกชายของหล่อนก็ไม่ได้สนใจอะไร และเฝิงจ่างเปียวก็เป็นคนไม่รู้ความและไม่รู้จักอายอะไรอยู่แล้ว
อันหลงไม่อยากอยู่ร่วมกับพวกอสรพิษกลุ่มนี้เลยแม้แต่นาทีเดียว หล่อนจึงลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องรับแขก และตรงไปที่ห้องครัวทันที
ในวินาทีที่แผ่นหลังของอันหลงหายเข้าไปในห้องครัวแล้ว คุณน้าหกก็อายจนต้องโมโหขึ้นมา หล่อนตะโกนต่อว่าเฝิงจ่างเปียวทันทีว่า “แกทำอะไรหา ? แกไม่อยากให้ลูกชายเป็นทหารแล้วใช่ไหม ? ”
คุณน้าเจ็ดก็ต่อว่าสามีเช่นกันว่า “ใช่ คุณมาทำตัวแบบนี้ที่บ้านคนอื่นได้ยังไง ? ”
เฝิงจ่างเปียวไม่สบอารมณ์ เขาเปลี่ยนมานั่งท่าขัดสมาธิ เท้าของเขายังคีบรองเท้าแตะขึ้นมาแกว่งไปมา อีกทั้งนิ้วอันหยาบกร้านของเขาก็สะบัดขี้บุหรี่จนมันร่วงหล่นไปทั่ว
“หล่อนก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ! ก็แค่ฐานะทางบ้านพอมีเงินอยู่บ้างก็เท่านั้นเอง ! ” พอเห็นพี่สาวของภรรยาต่อว่าตัวเองแบบนี้ เฝิงจ่างเปียวก็เริ่มดูถูกอันหลงขึ้นมาทันที
“เงินบ้านหล่อนก็ถูกยึดไปตั้งนานแล้ว หล่อนก็เป็นได้แค่ปัญหาเน่ากองหนึ่งเท่านั้นแหละ เหอะ ! จะไปสนใจหล่อนทำไม หล่อนไม่ได้เป็นคนช่วยจัดการธุระให้ลูกชายของฉันสักหน่อย ฉันไม่ชอบท่าทางอวดดีนั่น ยัยนั่นมันสมควรโดนสั่งสอนจริง ๆ ! ” ท่าทีของเฝิงจ่างเปียวทำให้คุณน้าหกและคนอื่น ๆ ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้าทำตัวโอหังแบบนี้ในบ้านของคนอื่น
อีกทั้งเขายังพูดจาหยาบคายแบบนี้ ราวกับว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นอย่างไรอย่าง แต่ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าตัวเองยากจนจนไม่มีข้าวจะกินอยู่แล้ว มาสร้างเรื่องวุ่นวายที่บ้านของคนอื่น แล้วยังดูถูกภรรยาของเจ้าของบ้านอีก ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดต่อว่าเขาเลยจริง ๆ
“แต่ถึงอย่างไรก็มาพูดแบบนี้ไม่ได้ ! พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน คุณจะรู้ได้ยังไงว่าลับหลังพวกเขาจะไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดกัน ? ” น้าเจ็ดรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก หล่อนคิดว่าสามีของตัวเองประมาทเกินไปแล้ว
“จะพูดอะไรได้ล่ะ ? หล่อนจะคัดค้านอะไรได้ ? ฉันเป็นใคร ? ฉันเป็นน้าชายแท้ ๆ ของกู้เต๋อไห่นะ ! แล้วไห่หยางเป็นใครล่ะ ? จากความสัมพันธ์ของฉัน กู้เต๋อเฉิงก็เป็นได้แต่ญาติผู้น้องของลูกชายของฉัน แล้วเขาจะไม่สนได้หรือ ? แต่ถึงเขาจะไม่สนใจ แต่ฉันก็ยังมีพี่สาวของฉันอยู่อีกคน ! ”
เฝิงจ่างเปียวทำตัวอวดดีขนาดนี้ ย่อมไม่สนใจอันหลงอยู่แล้ว อันหลงรู้ดีอยู่แก่ใจ หล่อนจึงชักสีหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ในห้องครัว
“แม่ น้องชายของคุณย่ามาทำอะไรหรือคะ ? ” กู้จื้อชิวถามขึ้นด้วยความสงสัย
ตอนนี้อันหลงอารมณ์ไม่ดี หล่อนจึงพูดออกมาดุทันที “แม่จะไปรู้ได้ยังไง ทำงานของลูกไปซะ ! ”
พอโดนดุแบบนั้นกู้จื้อชิวก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันที หล่อนบ่นพึมพำในใจว่า เก่งจริงเรื่องรังแกฉันเนี่ย ถ้าแม่เก่งจริงก็ทนคนสกปรกพวกนั้นที่นั่งอยู่ด้านนอกนั่นให้ได้สิ
เพื่อเป็นการเอาใจแม่สามี จางฉุ้ยเหลียนจึงส่งสัญญาให้กู้จื้อชิวไปยืนเฝ้าที่หน้าประตู จางฉุ้ยเหลียนตอกไข่สองสามฟองลงในชาม จากนั้นก็ส่งให้กู้จื้อชิวไปยืนตีไข่อยู่หน้าประตูเสียงดัง ๆ
ส่วนเธอก็กดเสียงลงต่ำ แล้วพูดกับอันหลงว่า “คุณป้าคะ ดูเหมือนพวกเขามีเรื่องจะมาขอร้องให้คุณลุงช่วยนะคะ หนูเห็นที่พื้นมีกระเป๋าสีดำใบหนึ่งวางอยู่ ด้านในน่าจะเป็นเสื้อผ้านะคะ”
อันหลงหน้าซีดทันที หล่อนหันมาถามจางฉุ้ยเหลียนด้วยใบหน้าเคร่งเครียดว่า “เธอเห็นหรือ ? ไม่ใช่หรอกมั้ง ! ”
จางฉุ้ยเหลียนเห็นเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น เธอเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่ชาติที่แล้วเธอจำได้ว่าพวกเขามาขออาศัยอยู่ที่บ้านของแม่สามีของเธอ 2 วัน ในตอนนั้นเธอก็ได้ยินแม่สามีของเธอบ่นถึงเรื่องนี้ไม่หยุด หล่อนบอกว่าสามคนนั้นสกปรก และยังบอกอีกว่าผ้าห่มที่พวกเขาเคยใช้และบนโซฟาที่พวกเขาเคยนั่งมีเห็บติดอยู่ด้วย พวกมันกัดกู้จื้อชิวจนหล่อนแทบจะกรีดร้องออกมาเลยทีเดียว
“เดี๋ยวก็จะมีการเกณฑ์ทหารแล้ว พวกเขาจะต้องมาขอร้องให้คุณลุงช่วยแน่นอนเลยค่ะ แต่คุณป้าดูจากท่าทางของเขาสิคะ เขาต้องการที่จะให้ลูกชายของตัวเองไปเป็นทหาร เพราะอยากมีหน้ามีตาและจะได้ไปคุยโม้โอ้อวดกับคนอื่นได้ โดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงแน่เลยค่ะ” การคาดการณ์ของจางฉุ้ยเหลียนทำให้อันหลงเชื่อในทันที หล่อนจึงพยักหน้ารัว ๆ
ต่อจากนั้นหล่อนก็ขมวดคิ้วและเดินวนไปวนมาภายในห้องครัว “ฉันไม่ได้กลัวว่าพวกเขาจะมาพักที่บ้าน แต่ตอนนี้เสี่ยวชิวก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญอย่างการเตรียมตัวสอบ จะให้คนนอกมาทำให้เธอช้ากว่าคนอื่นไม่ได้ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “คุณป้าไม่ต้องกังวลนะคะ รอดูไปก่อนว่าพวกเขาจะพูดว่ายังไง ถ้าพวกเขาไม่พูดขึ้นมา เราก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าพวกเขาพูดออกมา คุณป้าก็ตอบตกลงไป คุณป้าไม่ต้องออกหน้าไปก่อนนะคะว่าอยากจะให้พวกเขามาพักที่บ้าน พวกเขาคงไม่หน้าด้านขออยู่ต่อหรอกมั้งคะ ? ”
แต่อันหลงกลับส่ายหน้า “เธอไม่รู้อะไร เขาไม่รู้จักคำว่าหน้าด้านเลยด้วยซ้ำ ถ้าพวกเขาอยากจะให้ลูกชายเป็นทหารจริง ๆ พวกเขาก็ต้องรอให้จัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว ถึงจะยอมกลับไปแน่ ไอ้หยา แล้วเสี่ยวชิวจะทำยังไงล่ะ ! ”
ผ่านไปไม่นาน ร้านอาหารก็เอาอาหารมาส่ง เมื่อรวมกับอาหารสองสามอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนทำ และยังมีอาหารจากตลาดที่อันหลงซื้อกลับมาแล้ว ทุกคนก็เริ่มนั่งล้อมวงกินข้าวกัน เฝิงจ่างเปียวไม่ได้พูดอะไรออกมา อันหลงก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
“ไอ้หยา ต้องขอโทษพวกเธอด้วยจริง ๆ ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเธอจะมา เลยไม่ได้เตรียมของเอาไว้ก่อน พวกเธอก็ช่วยกินอาหารเท่าที่พอจะมีหน่อยนะ ! ” อันหลงรินเหล้าให้ทุกคนอย่างสุภาพ และความหมายแฝงที่หล่อนพูดออกไปก็คือคนกลุ่มนี้มาที่บ้านของหล่อนเองโดยที่หล่อนไม่ได้เอ่ยปากชวนเลยแม้แต่น้อย
“ดูเธอพูดเข้าสิ วันเกิดเธอแท้ ๆ พวกเราจะไม่มาได้อย่างไร อีกอย่างพวกเราก็มาทุกปีไม่ใช่หรือ ! ” คุณน้าหกพูดออกมาเสียงสูง หล่อนรู้สึกว่าคำพูดของอันหลงในปีนี้มันฟังดูเกินไปหน่อยแล้ว เหมือนกับพวกเขาหน้าด้านมาหาหล่อนที่นี่เอง ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อนเล่นใหญ่ทุกปี พวกเธอจะเสียค่ารถมาที่นี่ทำไมล่ะ ?
“ก็เพราะตอนที่พวกเธอมางานเลี้ยงฉลองวันเกิดของฉันเมื่อปีที่แล้ว เหล่ากู้ก็บอกว่าฉันทำเกินไป อีกอย่างตอนนี้ฉันก็ยังไม่แก่เลย จะต้องจัดงานวันเกิดเพื่อต่ออายุของตัวเองทำไม ! ” คำพูดของอันหลงทำให้ทุกคนเข้าใจในทันที เพราะคำพูดนี้ก็คือคำด่าของแม่สามีนั่นเอง
เฝิงจ่างเปียวเห็นอันหลงกลัวพี่สาวตัวเองขนาดนั้น เขาจึงรู้สึกได้ใจขึ้นมาทันที หลังจากที่เขาดื่มเหล้าหมดไปแล้วแก้วหนึ่ง เขาก็แสดงความเป็นรุ่นใหญ่ออกมาทันที “คำพูดนี้มันก็ถูกต้องแล้วล่ะ เพราะขนาดแม่สามีของเธอยังไม่จัดงานฉลองวันเกิดทุกปีเลย ลูกสะใภ้อย่างเธอมันก็ไม่รู้ประสีประสาอะไรจริง ๆ นั่นแหละ”
อันหลงเริ่มควบคุมสีหน้าไม่ได้อีกต่อไป จางฉุ้ยเหลียนจึงรีบพูดกับไห่หยินที่เงียบมาโดยตลอดว่า “ลูกของคุณกินอาหารพวกนี้ได้ไหมคะ ? ถ้าไม่ได้ ฉันจะไปทำไข่ตุ๋นมาให้เอาไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเพียงแค่พูดเปลี่ยนเรื่องเท่านั้น ไห่หยินที่ไม่เข้าใจ หล่อนก็รีบกอดลูกของตัวเองและพูดออกมาอย่างหวาดผวาว่า “มะ…. ไม่เป็นไรแล้ว เขากินได้”
หลังจากพูดจบหล่อนก็ออกแรงเคี้ยวอาหารในปาก แล้วป้อนมันใส่ปากของลูกชาย กู้จื้อชิวมองดูอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ หล่อนอดที่จะเบะปากด้วยความรังเกียจไม่ได้ หวังย่าจือที่เห็นการกระทำนี้เข้า หล่อนจึงสะกิดแม่สามี แล้วใช้เสียงที่ได้ยินกันเพียงแค่สองคนพูดกับหล่อนออกไปว่า “แม่ดูสิ บ้านเธอรังเกียจคนบ้านนอกอย่างพวกเรา”
คุณน้าหกกลอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนเด็ก ๆ เธอก็กินแบบนี้ไม่ใช่รึไงล่ะ”
มีหลายครั้งที่คุณคิดว่าสิ่งที่เห็นคือความจริง แต่จริง ๆ แล้วมันก็อยู่ในใจของคุณ คุณน้าหกกับลูกสะใภ้ของหล่อนมักจะรู้สึกว่าญาติในเมืองชอบดูตนเองว่าเป็นคนบ้านนอก เพราะอย่างนั้นพวกหล่อนจึงคิดว่ากู้จื้อชิวไม่ชอบวิธีเคี้ยวอาหารและป้อนให้ลูกของไห่หยินเพราะเหมือนเป็นการดูกระทำของคนบ้านนอก
ความเข้าใจผิดที่เกิดจากปมด้อยของจิตใจและความไม่พอใจ ทำให้หล่อนพูดขึ้นมาว่า “เด็กบ้านนอกได้รับการดูแลอย่างดีทุกคน ที่ชนบทเด็กที่มีอายุได้ 6 เดือนก็สามารถกินโจ๊กได้แล้ว หนึ่งขวบก็กินซุปผักกับข้าวได้แล้ว ไม่เหมือนเด็ก 7- 8 ขวบในเมืองที่ยังเอาแต่ดื่มนมแม่อยู่เลย”
หวังย่าจือราดน้ำมันอยู่ข้าง ๆ “เด็กเจ็ดแปดขวบอะไรล่ะ หนูคิดว่าตอนนี้เสี่ยวชิวยังดื่มนมมอลต์อยู่เลยนะ”
จางฉุ้ยเหลียนเห็นสีหน้าของกู้จื้อชิวผิดปกติไป เธอเลยรีบเข้ามาช่วยทันที “ตอนขึ้นชั้นมัธยมปลายแล้ว เธอต้องเรียนหนักมาก นมมอลต์ช่วยบำรุงสมองได้ อ้อ! ใช่แล้ว คุณป้าคะ หนูเห็นในห้องครัวยังมีนมมอลต์เหลืออยู่อีกครึ่งซอง คุณป้าไม่ได้มัดปากถุงไว้ หลังจากที่คุณป้ากลับมาอีกสองวันข้างหน้านี้ คุณป้าก็อย่าเอามันไปดื่มเลยนะคะ เดี๋ยวจะท้องเสียเอาเปล่า ๆ”
กู้จื้อชิวตกตะลึงขึ้นมาทันที หล่อนหันไปมองผู้เป็นแม่ด้วยความสับสน แต่คนฉลาดอย่างหล่อนก็รู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไรออกไปในเวลานี้จะดีที่สุด
เป็นอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนคิดไว้ เพราะคนทั้งโต๊ะนั่งไม่ติดกันแล้วตอนนี้ จากนั้นคุณน้าเจ็ดก็ถามขึ้นมาทันที “พวกเธอจะไปไหนกันหรือ ? ไปทำอะไร ? ”
จางฉุ้ยเหลียนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า “ไปเมืองฮาร์บินค่ะ” และพูดต่อมาอีกว่า “ที่นั่นมีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการสอนชื่อดังอยู่ค่ะ เสี่ยวชิวจะไปเตรียมตัวก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นั่น มันเป็นการสอนแบบตัวต่อตัว กว่าจะจองได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ เสี่ยวชิวของพวกเราต้องจองล่วงหน้าก่อนตั้งหนึ่งปี ขนาดตอนช่วงปิดเทอมฤดูร้อนยังไม่ได้รับจดหมายตอบรับเลย”
อันหลงใจเต้นแรง แสร้งทำตัวดีใจร่วมมือกับจางฉุ้ยเหลียนทันที “ให้อาจารย์มาช่วยติวได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว วันที่อาจารย์มีคิวว่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นวันฉลองปีใหม่ พวกเราก็ต้องไป ! ”
MANGA DISCUSSION