ตอนที่ 122 แนวโน้มใหม่
“ฉุ้ยเหลียน ใครโทรมาหาเธอหรือ ? ” ในตอนที่จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในห้องพัก หลังจากที่ลงไปรับโทรศัพท์ด้านล่างแล้ว พอเปิดประตูเข้ามาเธอก็เห็นหลี่เหยาเป็นหนอนหนังสือนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงคนเดียว
ส่วนเกาปินก็ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้จางฉุ้ยเหลียน สีหน้าของหล่อนตอนนี้มันก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลี่ม่านมือไม้สั่นขึ้นมาทันที “เป็นคนรักของเธอที่เป็นทหารคนนั้นรึเปล่า ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเลิกคิ้วขึ้นสูง จากนั้นก็ตอบออกไปว่า “ไม่ใช่หรอก คนที่บ้านโทรมาน่ะ”
“เกิดเรื่องขึ้นที่บ้านหรือ ? ฉันจำได้ว่าบ้านของเธอก็อยู่ห่างจากวิทยาลัยของเราก็ไม่ไกลเท่าไหร่ ถ้ายังไงเธอกลับไปดูที่บ้านก่อนไหม ? ” เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหลี่ม่านก็เปลี่ยนไปทันที หล่อนถามออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ใช่บ้านพ่อแม่บุญธรรมของฉันที่มีปัญหา แต่เป็นบ้านของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของฉันน่ะ” จางฉุ้ยเหลียนถอนหายใจออกมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก เธอล้มตัวลงนอนไปบนเตียงแล้วคิดถึงเรื่องที่เธอได้รับรู้จากโทรศัพท์
ที่แท้การเปิดร้านของเช่าหวาและจางกว่างฝูก็โดนขัดขวาง พวกเขาเลยโมโหกันสุด ๆ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่คุณปู่กับคุณย่าพูดขึ้นมาเอง เพราะอย่างนั้นพวกเขาจะกลับคำพูดที่เคยพูดไว้มันก็ดูไม่ดี สุดท้ายพวกเขาก็เลยตัดสินใจยกเงินส่วนหนึ่งที่พวกเขาเก็บไว้ซื้อโลงศพให้ตัวเอง เอาให้เช่าหวาและจางกว่างฝูยืมก่อน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะบอกว่าให้ยืม แต่ความจริงแล้วก็คือให้ไปเลยนั่นแหละ เพียงแค่พูดออกมาแบบนั้นให้ทุกคนสบายใจก็เท่านั้น แต่เงินแค่ 500 หยวนมันจะไปทำอะไรได้ล่ะ ? เอาไปเป็นค่าเช่าร้านรายเดือนยังพอได้ แต่ถ้าจะให้เป็นทุนซื้อของเข้าร้านมันไม่พอหรอก
สองสามภรรยาคู่นี้คิดจะเป็นพวกนักต้มตุ๋นที่ไม่ยอมลงทุนอะไรเลย เพราะวิธีที่ดีที่สุดก็คือการที่ได้ทำการค้าอย่างไม่มีต้นทุน พวกเขาจึงเลือกจางฉุ้ยเหลียนเป็นเป้าหมาย และหวังอยากจะให้จางฉุ้ยเหลียนออกหน้ามาเป็นคนค้ำประกันเงินกู้ให้
เดิมทีพวกเขาคิดจะยืมเงินเซี่ยจวิน แต่จางฉุ้ยเหลียนยืนยันกับพวกเขาผ่านทางโทรศัพท์ไปอย่างหนักแน่นแล้วว่า เซี่ยจวินเอาเงินไปลงทุนกับร้านซ่อมรถใหม่หมดแล้ว
หลังจากที่โดนเช่าหวาด่ามายกหนึ่งแล้ว เธอก็เดินกลับขึ้นมาที่ห้องพักของตัวเอง
“เป็นเธอนี่ลำบากจริง ๆ เลย แล้วดันมามีพ่อแม่แบบนั้นอีก” จางฉุ้ยเหลียนไม่สนว่าคนอื่นจะพูดยังไง และเธอก็ไม่อยากจะพูดว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอไม่ดีต่อหน้าคนอื่นด้วย สิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนทำได้ในตอนนี้ ก็มีแค่ฉีกยิ้มออกมาอย่างจนปัญญาเพียงเท่านั้น
ตอนแรกจางฉุ้ยเหลียนคิดว่าสองสามีภรรยาตระกูลจางจะยอมแพ้แล้ว แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะหน้าด้านหน้าทนไปหาฟู่ซินอีก พวกเขาทำเหมือนอยากจะยืมเงินค่าสินสอดทองหมั้นจากฟู่ซินล่วงหน้า เพื่อมาทำธุรกิจของตัวเอง
ฟู่ซินก็เคยเจอคนมาหลากหลายประเภทแล้ว สำหรับเช่าหวาและจางกว่างฝูคู่นี้นั้น ตัวเขาเองก็พอจะรู้นิสัยของพวกเขาอยู่บ้าง แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าสองคนนี้จะมาเปิดมุมมองใหม่ให้กับเขา โดยการหน้าด้านหน้าทนมากกว่าเดิมแบบนี้
หลังจากนั้นเขาก็เรียกให้จางฉุ้ยจวินพาทั้งสองคนออกไปเดินเล่น เมื่อพวกเขาทั้งสามคนออกไปแล้ว ฟู่ซินก็ต่อสายหาจางฉุ้ยเหลียนทันทีและเล่าเรื่องราวขำขันนี้ให้จางฉุ้ยเหลียนฟัง
จางฉุ้ยเหลียนอดที่จะกลอกตาไปมาไม่ได้ ฟู่ซินรับรู้ได้ถึงเสียงคำรามของจางฉุ้ยเหลียนผ่านทางโทรศัพท์ จากนั้นเขาก็พูดเกลี้ยกล่อมเธอออกไปเบา ๆ ว่า “เธออย่าเพิ่งโมโหเลย เอาอย่างนี้ดีไหม ให้แม่ของเธอมาทำอาหารที่โรงงาน ในแต่ละเดือนก็ให้เงินหล่อนนิด ๆ หน่อย ๆ ถึงอย่างไรเงินจำนวนนั้นมันก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเปิดร้านขายของเล็ก ๆ หรอก ! ”
ทางด้านของจางฉุ้ยเหลียน ตอนนี้เธอก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้งเพื่อระงับอารมณ์โกรธ คุณป้าผู้ดูแลหอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ว่าตอนนี้เหมือนมีไฟพ่นออกมาจากลมหายใจของจางฉุ้ยเหลียนอย่างไรอย่างนั้น หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนพยายามควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองอยู่พักใหญ่ เธอก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “นายรับหล่อนเข้าทำงาน เสี่ยวจวินก็ขโมยเงินได้ง่ายขึ้นน่ะสิ เรื่องนี้นายไม่ต้องเข้ามายุ่งหรอก ! ”
ฟู่ซินเห็นจางฉุ้ยเหลียนอารมณ์ไม่ดี เขาเลยพูดเปลี่ยนเรื่องไปว่า “เดี๋ยวก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว งานมันก็จะน้อยลง สาวน้อยคนเก่งอย่างเธอมีความคิดอะไรที่จะช่วยฉันหาเงินได้มากขึ้นไหม ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จู่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็คิดถึงข่าวที่เพิ่งอ่านไปเมื่อสองวันก่อนขึ้นมา เพราะอย่างนั้นเธอจึงอารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย เมื่อได้ยินคำถามของฟู่ซิน และรอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียนอีกครั้ง “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน วันเสาร์นี้นายมาหาฉันที่บ้าน แล้วเราสองคนก็มาพูดปรึกษาหารือเรื่องนี้กัน แต่นายอย่าให้เสี่ยวจวินรู้เรื่องนี้เป็นอันขาดนะ”
หลังจากที่วางสายแล้ว ฟู่ซินก็าพยายามหาเหตุผลให้เสี่ยวจวินขับรถไปส่งพ่อแม่ของเขาที่บ้าน และถึงแม้ว่าจางฉู้ยจวินจะไม่มีใบขับขี่ แต่ตอนนี้ฝีมือการขับรถของเขาก็อยู่ในขั้นชำนาญแล้ว
และในวันเสาร์ ฟู่ซินก็สั่งให้จางฉุ้ยจวินออกไปซื้อของข้างนอก ส่วนตัวเขาก็ขับรถไปที่ร้านซ่อมรถของเซี่ยจวิน
พอฟู่ซินได้เห็นหน้าร้านที่ “กว้างขวาง” เขาก็อดที่จะชื่นชมจางฉุ้ยเหลียนว่าเป็นผู้หญิงที่ทำธุรกิจได้อย่างเก่งกาจไม่ได้ เขารู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนมีความสามารถ ถึงแม้เธอจะไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใคร แต่เธอก็เป็นหุ้นส่วนโรงงานเหมืองทราย เป็นนักออกแบบเสื้อผ้า แล้วก็ยังเป็นนักเขียนนิยายอีก ความสามารถของเธอเยอะมากจริง ๆ เพราะอย่างนั้นแล้วเธอต้องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเส้นทางการหาเงินของเซี่ยจวินอย่างแน่นอน ทำให้คนทำงานหยาบกร้านคนหนึ่งกลายมาเป็นเถ้าแก่แบบนี้ได้
สำหรับวิธีการทำเงินของจางฉุ้ยเหลียน ตอนนี้ฟู่ซินก็เชื่อมั่นเต็มร้อย เขาชื่นชมเธอจากใจจริง แต่สิ่งที่มีมากไปกว่านั้นก็คือ ความเคารพและความยำเกรง ตอนที่เขาว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เขาก็มักจะครุ่นคิดเสมอว่าหากเขาแต่งงานกับผู้หญิงที่น่าเกรงขามเช่นนี้ เขาจะสามารถควบคุมเธอได้ไหม
คำตอบของมันก็คือ เป็นไม่ได้อย่างแน่นอน !
มันก็เหมือนกับการแต่งแม่เสือเข้าบ้าน วัน ๆ คงเอาแต่สนใจว่าตัวเองจะพัฒนาไปข้างหน้าเรื่อย ๆ หากเป็นอย่างนั้นเขาก็ให้เธอมาเป็นหุ้นส่วนที่สมบูรณ์แบบของเขาเสียยังดีกว่า การรักษาความสามัคคีนี้ไว้เพื่อหาความมั่งคั่งไปตลอดชีวิตมันไม่สบายกว่ารึไง
ตอนแรกเขาคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนจะให้เขาถอนเงินออกมาบางส่วน แล้วไปทำการค้าขายบางอย่างในเมือง Q แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าจางฉุ้ยเหลียนจะพูดถึงเมืองเซินเจิ้นกับเขา
จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจเรื่องหุ้น และไม่รู้ว่าตอนไหนคือสภาวะตลาดหุ้นล้ม และอะไรคือราคาสูงสุดของหุ้นที่จำกัดให้ขายได้ในแต่ละวัน
เธอบังเอิญได้ยินข่าวเมืองเซินเจิ้นในปี 1990 ผ่านทางวิทยุและการอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าแผงลอยตามถนน ตามตรอกซอกซอยเล็ก ๆ หรือจะเป็นสถานีรถไฟล้วนมีตลาดมืดค้าหุ้นอยู่ทุกที่ เพราะการเก็งกำไรนี้ก็ทำให้ใครหลาย ๆ คนใช้เงินจำนวน 20,000 หยวนเพื่อให้ตัวเองได้ “เป็นใหญ่” ดังนั้นเมืองเซินเจิ้นจึงมีคนรวยอยู่ทุกที่
“ฉันได้ยินมาว่ามีคนตั้งแผงขายหุ้นกันตามถนน ราคา 3 หยวนต่อหนึ่งหุ้น ในตอนแรกหุ้นนั้นที่มีราคาเพียง 1 หยวน ต่อมาจากราคา 1 หยวนก็กลายมาเป็น 10 หยวน จากนั้นผู้ถือหุ้นก็จะทำเงินได้มากกว่า 20 เท่า นายว่านี่มันเป็นโอกาสที่ดีไหมสำหรับเราไหม ? ” หุ้นที่จางฉุ้ยเหลียนพูดถึงนี้ ฟู่ซินไม่เข้าใจมันเลยสักนิด แต่พอได้ยินว่าทำเงินได้เงินกว่า 20 เท่า เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“งั้นเธอหมายความว่าจะให้ฉันไปเซินเจิ้นอย่างนั้นหรือ ? ” ฟู่ซินกระตือรือร้นขึ้นมา ท่าทางตื่นเต้นสุด ๆ
แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ “ไม่ใช่ ฉันแค่อยากให้นายไปลองสืบดู เพราะฉันได้ยินมาว่าตอนนี้ตลาดหุ้นในเซินเจิ้นเริ่มตกแล้ว พอนายไปถึงเซินเจิ้นแล้ว นายก็ลองศึกษาเรื่องการปั่นหุ้นดูว่ามันเป็นยังไง ดูว่าหุ้นที่แพงที่สุดของที่นั้นอยู่ที่ราคาเท่าไหร่ แต่นายยังไม่ต้องซื้อนะ แต่นายจะลองซื้อสักนิดสักหน่อยแล้วลองขายดูก็ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่เราจะลงทุนซื้อมันด้วยจำนวนเงินที่มากขนาดนั้น แล้วนายต้องเอาสมุดไปจดบันทึกราคาหุ้นทุกวันด้วย หลังจากนั้นช่วงปลายปีนายก็ค่อยกลับมา”
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปค่อนข้างชัดเจนแล้ว สิ่งเดียวที่เธอจำได้ก็คือเธอเคยได้ยินคนพูดกันว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 1990 ผู้ถือหุ้นหลายรายในเมืองเซินเจิ้นขาดทุนย่อยยับจนถึงขั้นโดดตึกฆ่าตัวตาย เพราะหุ้นที่ซื้อมามากกว่า 100 หยวนราคาตกเหลือเพียงแค่ไม่กี่สิบหยวนเพียงเท่านั้น แต่หลังจากผ่านวันชาติจีนในปีนั้นไปแล้ว หุ้นในเมืองนั้นจึงได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 30 หยวน
และในช่วงเวลานั้นหุ้นของเมืองเซี่ยงไฮ้ก็ขายดีเป็นพิเศษ ดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนเลยคิดว่าในเมื่อการลงทุนในตอนนี้ยังไม่ดีเท่าไหร่นัก เธอเลยให้ฟู่ซินคอยจับตาดูเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยถือโอกาสเดินทางลงไปทางตอนใต้เพื่อศึกษาอะไรใหม่ ๆ ให้ฟู่ซินได้รู้ว่าโลกของหุ้นนั้นมันน่าทึ่งมากแค่ไหน
ฟู่ซินเองไม่เข้าใจว่าอะไรคือหุ้น แต่ตอนที่เขาอ่านหนังสือพิมพ์ก็พอจะเคยเห็นมาบ้าง เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่ และเมือง Q ก็ไม่ใช่สถานที่สำหรับซื้อขายหุ้นด้วย จู่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็ให้เขาลงใต้ไปที่เมืองเซินเจิ้น อีกทั้งเธอก็ยังเอาแต่พูดถึงเรื่องหุ้น ในตอนนี้หัวใจของเขาก็เต้นแรงและเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา
“ฉันต้องดิ้นรนไปที่เซินเจิ้น วัน ๆ ก็ต้องคลุกตัวอยู่กับเจ้าสมุดเล็ก ๆ เล่มนั้นอย่างนั้นหรือ ? แถมยังไม่ได้ซื้อหุ้นอะไรเลยเนี่ยนะ ? ” ฟู่ซินรู้สึกสงสัย เรื่องแบบนี้จะมีใครเข้าใจบ้างล่ะ ?
“ใช่แล้ว ฉันเองก็อธิบายให้นายฟังไม่ได้ แต่ฉันคาดว่าเมืองเซินเจิ้นจะคึกคักมากขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ แต่ครึ่งปีหลังจะลงทุนไม่ได้เด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อนายรอดูได้เลย ต้องมีคนก่อเรื่องให้เสียเงินหรือฆ่าตัวตายทุกวันแน่ ๆ ถ้าฉันพูดถูก นายก็ทำตามที่ฉันพูด ตอนนี้มันยังไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น นายสามารถไปเดินเล่นที่นั่นได้ อีกอย่างที่นั่นก็มีคนทำธุรกิจอยู่เยอะมาก ถึงอย่างไรเราก็ต้องไปเก็บข้อมูลอยู่แล้ว ถึงจะทำเงินไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไรนายนี่ ! ”
โรงงานเหมืองทรายแห่งนี้เป็นของพวกเขาทั้งสองคน แม้ว่าฟู่ซินจะเป็นใหญ่แต่เขาก็เชื่อใจจางฉุ้ยเหลียนเป็นอย่างมาก บวกกับเขาเป็นคนกล้าลุย และเคยได้ยินว่าเมืองกว่างโจวและเมืองเซินเจิ้นนั้นเป็นท่าเรือใหญ่ที่มีโอกาสอยู่ทุกที่
ครั้งนี้จางฉุ้ยเหลียนก็ได้ให้เขาไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็เก็บข้าวเก็บของและบอกคนที่บ้าน จากนั้นก็ออกเดินทางทันที
ก่อนออกเดินทาง ฟู่ซินก็บอกคู่ค้าทางธุรกิจของเขาหลายรายว่า พวกเขาจะได้รับของตามปกติแต่ยังไม่ต้องจ่ายเงิน รอให้เขากลับมาตอนช่วงปลายปีแล้ว ทุกคนค่อยนำเงินมาจ่ายให้เขาทีเดียว
เพื่อนคู่ค้าทางธุรกิจเห็นฟู่ซินอารมณ์ดีแบบนี้ พวกเขาก็ต้องมีความสุขตามไปด้วยอยู่แล้ว ในตอนนี้โรงงานก็มีคนงานเหลืออยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็ให้เงินเดือนพวกเขาตามปกติ
พอหัวหน้าใหญ่ไม่อยู่ จางฉุ้ยจวินก็ได้ใจขึ้นมาทันที หลังจากฟู่ซินไปแล้วในโรงงานก็เหลือเพียงเขาที่เป็นหัวหน้าใหญ่ ทำให้เขามีอิสระทางการเงินสุด ๆ ในวันปกติสหายทั้งหลายล้วนมานั่งดื่มกินกัน
จางฉุ้ยเหลียนย่อมรู้ดีว่าน้องชายตัวเองเป็นคนยังไง เธอรู้สึกโชคดีที่ฟู่ซินไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้น้องชายของเธอมากนัก และเช่าหวาก็ยุยงจางฉุ้ยจวินให้เอาเงินกองกลางมาเปิดร้านให้ตัวเองด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็โดนจางฉุ้ยจวินปฏิเสธในทันที
จางฉุ้ยเหลียนรู้ดีว่าน้องชายของเธอกลัวว่าเขาจะอธิบายเรื่องนี้ให้ฟู่ซินฟังไม่ได้ เพราะเมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็จะผลักภาระทุกอย่างมาให้กับพ่อแม่ของตัวเองทันที จางฉุ้ยจวินกังวลว่าหากเอาเงินก้อนนี้ให้พ่อแม่ของเขาแล้ว เขาก็กลัวว่าจะไม่มีเงินเอาไว้กินไว้ดื่มกับเพื่อนนิสัยเสียของเขา
พ่อแม่เป็นคนอย่างไรก็สอนลูกออกมาให้เป็นคนอย่างนั้น สองสัปดาห์ต่อมา จางฉุ้ยเหลียนก็กลับไปดูที่โรงงานเหมืองทรายอีกครั้ง ตอนนี้ทุกอย่างมันก็ได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว
คุณป้าคนที่ทำอาหารก่อนหน้านี้ก็ถูกจางฉุ้ยจวินไล่ออกไปแล้ว และคนที่ทำอาหารในตอนนี้ก็ถูกผลัดเปลี่ยนมาเป็นเช่าหวาแทน
เรื่องนี้จางฉุ้ยเหลียนก็ยังพอรับได้ เพราะปกติเช่าหวาก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว และการที่หล่อนได้มาทำงานที่นี่ นอกจากจะได้ทำงานแล้ว หล่อนยังได้เงินเดือนอีกด้วย
เพราะอย่างนั้นในตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่จางกว่างฝูที่เล่นไพ่นกกระจอกอยู่บ้านคนเดียว เขาเล่นได้อย่างสบายใจสุด ๆ ส่วนลูกชายของเขาก็ได้แบบอย่างนี้มาไม่น้อย จางฉุ้ยจวินมักจะรวมตัวเล่นพนันกับคนงานและคนอื่น ๆ จนตอนนี้คนที่มาเข้าร่วมเล่นไพ่กับเขาก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
พอจางฉุ้ยเหลียนได้มาเจอกับเช่าหวา เธอก็บอกให้หล่อนสั่งสอนจางฉุ้ยจวินบ้าง และเธอยังบอกเช่าหวาอีกว่ารวมหัวเล่นพนันกันเก่งนัก ถ้ามีคนแจ้งตำรวจขึ้นมามันก็จะส่งผลไม่ดีต่อโรงงานของเรา
ช่วงนี้เช่าหวาอารมณ์ดีสุด ๆ แม้หล่อนจะต้องทำอาหารให้คนมากมาย แต่มันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนัก พอเห็นลูกชายตัวเองได้โอ้อวดแบบนี้ อีกทั้งยังได้ยินเสียงชื่นชมจากพวกนักพนันคนอื่น ๆ แล้ว หล่อนก็รู้สึกว่านี่ต่างหากที่เรียกว่าชีวิต ส่วนเรื่องคำเตือนของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็ไม่สนใจฟังมันเลยสักนิด หล่อนคิดว่าดูโฆษณาในโทรทัศน์ยังน่าสนใจมากกว่าเสียอีก
พอพูดไปแล้วมันไม่ได้ผล จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่พูดอีก รอให้วันที่ปัญหามาถึงแล้ว ค่อยให้พวกเขารู้ว่าอะไรคือการหาเรื่องใส่ตัว
แต่จะให้พวกเขาไม่กี่คนมาทำลายโรงงานเหมืองทรายแห่งนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ธุรกิจรอบ ๆ ก็มีไม่มาก อีกทั้งตอนนี้ฟู่ซินก็ไม่อยู่ เธอเลยไปพบลูกค้าคนสนิทสองสามรายด้วยตัวเอง จัดการเรื่องของที่ส่งช้า ให้คนงานสองสามคนลาหยุด ส่วนค่าจ้างก็ลดลงครึ่งหนึ่ง
มีเงินแต่กลับไม่ทำงาน คนงานเองก็ไม่ได้บ่นอะไร พอคนงานในโรงงานไปกันหมดแล้ว เช่าหวาและจางฉุ้ยจวินก็ได้อยู่กันอย่างสุขสบาย
คนหนึ่งไม่ต้องทำอาหารสามมื้อแล้ว ส่วนอีกคนก็มีแรงโอ้อวด แม้แต่จางกว่างฝูก็ยังพาคนมาเล่นการพนันที่โรงงานแห่งนี้เป็นระยะ ๆ เพราะอย่างนั้นตอนนี้โรงงานแห่งนี้จึงค่อย ๆ กลายเป็นบ่อนการพนันอย่างลับ ๆ ไปแล้ว
MANGA DISCUSSION