ตอนที่ 116 ลำบาก
ทุกครอบครัวล้วนแล้วแต่มีปัญหาของตัวเองกันทั้งนั้น ในตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลเซี่ย เธอกำลังดีใจและรู้สึกกังวลในเวลาเดียวกัน เธอดีใจที่ชีวิตครอบครัวของพ่อแม่บุญธรรมของเธอก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ส่วนเรื่องที่เธอเป็นกังวลในตอนนี้ก็คือ หลังจากที่เธอทะเลาะกับกู้จื้อเฉิงที่หน้าร้านหม้อไฟในตอนนั้นแล้ว เขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาหาเธออีกเลย
กู้จื้อเฉิงไม่รู้ว่าตอนนี้เซี่ยจวินได้ย้ายร้านแล้ว เพราะหลังจากที่เขาฝึกทหารเสร็จก็มีงานใหม่เข้ามาทันที เพราะอย่างนั้นเขาจึงปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย เขาตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้กับจางฉุ้ยเหลียน แต่ในตอนที่บุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายของเขาไปส่งที่ร้านของเซี่ยจวิน จางฉุ้ยเหลียนและสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยก็ได้ย้ายออกไปแล้ว อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ทิ้งที่อยู่ใหม่ของพวกเขาเอาไว้อีกด้วย เพราะอย่างนั้นจดหมายจึงถูกตีกลับไปให้กับกู้จื้อเฉิงอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครรับจดหมายของเขา กู็จื้อเฉิงจึงเข้าใจผิดคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนยังโกรธเขาอยู่และไม่ยอมรับจดหมายของเขา
กู้จื้อเฉิงมองไปที่จดหมายที่อยู่ในมือด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย และคิดว่าเขาควรจะง้อจางฉุ้ยเหลียนอย่างไรดี ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ปรากฎขึ้นมาในหัวของเขา ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะโมโหเขามากขนาดไหน แต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยจวินและตงลี่หวาก็ต้องรับจดหมายของเขาเอาไว้แน่ เมื่อเห็นว่าจดหมายของตัวเองถูกตีกลับ กู้จื้อเฉิงจึงคิดว่าจะต้องมีอะไรอะไรเกิดขึ้นที่บ้านตระกูลเซี่ยอย่างแน่นอน
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงรู้สึกกังวลจนสุดขีดแล้ว เขาก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ย แต่ถึงแม้ว่าเขาจะโทรศัพท์ไปหาพวกเขาสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีใครรับสายโทรศัพท์ของเขาเลย
กู้จื้อเฉิงเริ่มกระวนกระวายใจ เขาเดินไปขอลากลับบ้านกับหัวหน้าของเขาทันที จากนั้นเขาก็ขับรถตรงเข้าไปในเมือง เมื่อเขาขับรถมาถึงหน้าร้านซ่อมรถตระกูลเซี่ยแล้ว เขาก็พบว่าประตูร้านถูกปิดเอาไว้อย่างหน้าแน่น และไร้ซึ่งเงาของผู้คน
พอลองสอบถามกับเพื่อนบ้านที่อยู่รอบ ๆ แล้ว จู่ ๆ ใจของกู้จื้อเฉิงก็รู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาทันที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนจะย้ายออกไปแล้ว อีกทั้งพวกเขาก็ย้ายออกไปโดยที่ไม่บอกเขาอีกต่างหาก
หรือว่าจางฉุ้ยเหลียนอยากจะตัดความสัมพันธ์กับเขาแล้วอย่างนั้นหรือ ? กู้จื้อเฉิงไม่กล้าคิดอะไรต่อ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแม้แต่ความไว้ใจจางฉุ้ยเหลียนก็ยังไม่มีให้เขาเลย
ในหัวใจของเธอ เห็นเขาเป็นตัวอะไรกันแน่ ?
แต่ยังมีเรื่องที่โชคดีอยู่บ้าง กู้จื้อเฉิงได้เจอกับเจ้าของรายใหม่ และเขาก็มีที่อยู่ใหม่ของเซี่ยจวิน นั่นจึงทำให้กู้จื้อเฉิงมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากได้ที่อยู่ใหม่มาแล้ว กู้จื้อเฉิงก็หาร้านซ่อมรถขนาดใหญ่ที่กำลังทำการปรับปรุงของเซี่ยจวินจนเจอ ด้านในร้านตอนนี้มีชายหนุ่มสองสามคนกำลังทำงานกันอยู่ ยังไม่ทันที่กู้จื้อเฉิงจะได้ถามอะไรออกไป เขาก็เห็นเซี่ยหลี่ห้าวที่กำลังยืนทำหน้าตาจริงจังและเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรงยืนอยู่ด้านในร้าน
พอได้เห็นหน้าของเซี่ยหลี่ห้าวอย่างนี้แล้ว กู้จื้อเฉิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาในทันที เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาได้เจอกับเซี่ยหลี่ห้าว เขาก็ต้องได้เจอกับจางฉุ้ยเหลียนอย่างแน่นอน
“พี่เขย ? ! ” เซี่ยหลี่ห้าวที่หันมาเห็นกู้จื้อเฉิงที่ใส่ชุดไปรเวทยืนอยู่หน้าร้าน เขาจึงรีบวางไม้กวาดลงแล้ววิ่งเข้ามาหากู้จื้อเฉิงทันที
พอกู้จื้อเฉิงได้ยินเสียงนี้ ใบหน้าที่หมองคล้ำจากการโดนแดดเผาของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฎขึ้นมาทันที เขาเอื้อมมือไปลูบหัวของเซี่ยหลี่ห้าวด้วยความเอ็นดู แล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่อ่อนโยนสุด ๆ ราวกับว่ากำลังพูดกับน้องสาวของตัวเอง ดวงตาหวานเยิ้มจนแทบจะหลุดออกมา
“อือ ตัวสูงขึ้นเยอะเลยนี่ ! ” กู้จื้อเฉิงเหลือบตามองไปรอบ ๆ ร้าน จากนั้นก็จงใจถามหยั่งเชิงออกไปว่า “ที่นี่เป็นร้านใหม่ของคุณลุงสามของเธออย่างนั้นหรือ ? ”
เซี่ยหลี่ห้าวพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ใช่แล้วครับ แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้เปิดให้บริการ แต่อีกสองสามเราก็จะเริ่มเปิดให้บริการแล้ว เอ่อ… พี่เขย พี่มาหาพี่สาวของผมหรือครับ ? ”
ที่กู้จื้อเฉิงมาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาหาจางฉุ้ยเหลียนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขาอยากจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างจากปากของเจ้าเด็กนี่ก่อน
กู้จื้อเฉิงพยักหน้าเป็นการตอบรับ และพูดออกไปอย่างยิ้ม ๆ ว่า “ใช่ ก่อนหน้านี้ฉันยุ่งมาก แต่ช่วงนี้ฉันลาหยุดมาได้สองวัน ฉันเลยมาเยี่ยมพวกเธอน่ะ” จากนั้นเขาก็แกล้งพูดหยอกล้อเซี่ยหลี่ห้าวออกไปว่า “นี่ ได้ยินว่าตอนนี้เธอซ่อมรถเก่งแล้วนี่ ! เธอว่าที่เธอซ่อมรถเก่งขึ้น มันเป็นเพราะคุณลุงสามหรือว่าอาจารย์ของเธอล่ะ ? ”
เซี่ยหลี่ห้าวพูดออกไปตามความจริงว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นคุณลุงสามของผมสิครับ โรงเรียนของพวกเราไม่มีสอนซ่อมรถเฉพาะทางหรอก พวกเราได้เรียนแค่พวกระบบเครื่องกลอัตโนมัติ แล้วก็พวกการซ่อมเครื่องกลึงเท่านั้นแหละครับ และหลังจากที่พวกเราเรียนจบแล้ว เราก็จะต้องแยกย้ายกันออกไปทำงานที่ต่าง ๆ ก่อนหน้านี้นักเรียนในโรงเรียนของผมก็นิยมไปทำงานที่โรงงาน หรือไม่ก็โรงงานผลิตรถยนต์กันน่ะครับ”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปมองที่เด็กฝึกงานที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นเขาก็พูดออกไปเสียงเบาว่า “เดิมทีเราก็ตกลงกันแล้วว่า ถ้าพวกเขาจะมาทำงานที่ร้านคุณลุงสามของผม พวกเขาก็จะไม่ได้รับค่าจ้าง เพราะอย่างนั้นพวกเขาก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่ทำต่อแล้ว แล้ววันนี้ก็ยังมีอีกสองคนที่บอกว่าจะออกอีกต่างหาก ! ”
กู้จื้อเฉิงมองตามเซี่ยหลี่ห้าวไป และเขาก็เห็นเด็ก ๆ พวกนั้นกำลังซุบซิบอะไรกันอยู่จริง ๆ และตาของพวกเขาก็แอบหันมามองทางนี้อยู่บ่อย ๆ และยังทำท่าทางเหมือนมีอะไรอยู่ในใจอีกด้วย
“อา ? แล้วพวกเขามีที่ทำงานอื่นแล้วหรือ ? ” กู้จื้อเฉิงเข้าใจดี หากเด็กพวกนี้หาที่ทำงานอื่นที่ไม่ได้ พวกเขาก็ไม่มีทางออกแน่นอน
“มีคนหนึ่งบอกว่าเขาอยากจะไปเรียนซ่อมเครื่องบิน ส่วนอีกคนจะไปทำงานในโรงงาน พวกเขาคิดว่าร้านของเราไม่ดี และอยากจะออกไปจากที่นี่เร็ว ๆ ” ขณะเซี่ยหลี่ห้าวกำลังพูด เขาก็ได้ยินใครบางคนบ่นพึมพำอยู่ด้านหลัง “เดิมทีมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ที่นี่ก็เป็นแค่ร้านซ่อมรถเล็ก ๆ เท่านั้น ที่โรงงานใหญ่มีคนคอยสอนงานให้เราตลอด ใครเขาจะอยากอยู่ที่นี่กันล่ะ……”
ขณะที่เซี่ยหลี่ห้าวกำลังจะโต้กลับ เขาก็ได้ยินเสียงของจางฉุ้ยเหลียนที่เดินเข้ามาในร้านพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “เสี่ยวห้าว เธอกำลังคุยกับใครอยู่ ? ”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น กู้จื้อเฉิงก็หันหลังกลับไปทันที และคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ก็คือจางฉุ้ยเหลียน และเธอก็ยังคงสดใสเหมือนเคย
ส่วนจางฉุ้ยเหลียนที่เห็นกู้จื้อเฉิงยืนอยู่ที่หน้าร้านของเธอ เธอก็กลืนคำที่ตัวเองกำลังจะพูดลงคอในทันที และด้วยความที่เธอไม่ทันระวัง เธอจึงเผลอกัดลิ้นของตัวเองเข้า
“โอ๊ย…”
พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนเม้มปากและแสดงสีหน้าหน้าเจ็บปวดออกมา กู้จื้อเฉิงก็รู้สึกตกใจขึ้นมาในทันที เขารีบวิ่งเข้าหาเธอ และถามออกไปด้วยความเป็นห่วงว่า “เป็นอะไรรึเปล่า ? ”
จางฉุ้ยเหลียนจะพูดออกมาได้อย่างไรล่ะว่า เพราะเห็นเขามายืนอยู่ที่นี่ เธอเลยตื่นเต้นจนเผลอกัดลิ้นของตัวเองน่ะ ? มันจะไม่เป็นการแสดงความอ่อนแอออกมาให้กู้จื้อเฉิงเห็นอย่างนั้นหรือ ?
แม้ในใจจะยังรู้สึกโกรธอยู่หน่อย ๆ แต่พอเห็นกู้จื้อเฉิงมาหาเธอถึงที่นี่ หน้าตาที่น่าหลงไหลของเขาก็สามารถเอาชนะความโกรธของเธอได้ โดยเฉพาะตอนที่เธอเห็นสีหน้าที่แสดงออกมาถึงความเป็นห่วงเป็นใยของกู้จื้อเฉิงที่มีต่อเธอ เธอจึงรู้สึกดีเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าเซี่ยหลี่ห้าวรู้ว่าช่วงนี้พวกเขาทั้งสองคนไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ จากการที่เขาเคยได้ยินคุณป้าสะใภ้สามของเขาก่นด่ากู้จื้อเฉิงออกมาเป็นครั้งคราว พี่เขยของเขาน่าจะทำอะไรให้พี่สาวของเขาไม่พอใจอย่างแน่นอน แล้วอีกอย่างทั้งสองคนก็เพิ่งจะทะเลาะกันเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง
จางฉุ้ยเหลียนเหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังจ้องมองมาทางเธออยู่ในขณะนี้ เพราะอย่างนั้นเธอจึงไม่กล้าที่จะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเมื่อได้เจอกับกู้จื้อเฉิง เธอจึงลากตัวของกู้จื้อเฉิงออกมาด้านนอกด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทั้งสองคนเดินไปยังมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ ๆ อีกทั้งพวกเขาก็ยังเดินเว้นระยะห่างระหว่างกันประมาณหนึ่งช่วงแขนอีกด้วย
โชคดีที่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม ที่มหาลัยจึงไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่นัก จางฉุ้ยเหลียนเดินทำหน้าบึ้งตึงอยู่ด้านหน้า ส่วนกู้จื้อเฉิงก็เดินตามมาอย่างระมัดระวังอยู่ด้านหลัง
“หมอคนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ ? ” จู่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็หันกลับมาถามกู้จื้อเฉิงด้วยสีหน้าไม่พอใจ เธอจ้องมองไปที่กู้จื้อเฉิงพร้อมกับพูดออกไปว่า “ยังติดต่อกันอยู่ไหม ? ”
กู้จื้อเฉิงโบกไม้โบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธ “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ? อะไรที่ฉันควรชดใช้ ฉันก็ชดใช้หมดแล้ว และอะไรที่ฉันควรจะขอโทษ ฉันก็ขอโทษไปแล้วเหมือนกัน หลังจากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย”
และด้วยท่าทางและคำตอบของกู้จื้อเฉิง นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกพึงพอใจ
แต่หลังจากที่กู้จื้อเฉิงพูดจบ ทั้งสองคนก็กลับมาอยู่ในบรรยากาศที่อึดอัดอีกครั้ง กู้จื้อเฉิงยกมือขึ้นมาลูบท้ายทอยของตัวเองแก้เก้อ เขาพยายามหาเรื่องคุยกับจางฉุ้ยเหลียน “เอ่อ คือ… ช่วงนี้ผลการเรียนของเสี่ยวฉิวก็ลดลง ถ้าเธอว่างเธอก็ไปช่วยพูดกับหล่อนหน่อยสิ ถ้าเป็นเธอ หล่อนจะต้องเชื่อฟังและยอมทำตามอย่างแน่นอน แต่ถ้าให้ฉันเป็นคนไปพูดมันก็จะอึดอัดเปล่า ๆ……”
จางฉุ้ยเหลียนเอื้อมมือไปหยิกที่ท้องของกู้จื้อเฉิงด้วยความโมโห จากนั้นเธอจึงพูดออกไปว่า “เหอะ ! เจ้าตือโป๊ยก่าย พี่จะหาเรื่องฉันอีกแล้วใช่ไหม ? ”
กู้จื้อเฉิงแกล้งทำเป็นร้องโอดโอยออกมาราวกับว่าตัวเองเจ็บมากอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นเขาก็จับมือของจางฉุ้ยเหลียนมากุมไว้ เมื่อเห็นว่ากู้จื้อเฉิงกำลังกุมมือของตัวเองอยู่ จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที
“ฉุ้ยเหลียน เธอควรที่จะเชื่อใจฉันนะ ไม่ว่าพวกผู้ใหญ่จะทะเลาะอะไรกัน แต่เราสองคนก็ควรที่จะยืนอยู่ข้างกัน เพราะการที่เราทะเลาะกันแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี”
จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นไปมองสีหน้าที่เคร่งขรึมของกู้จื้อเฉิง จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงไปอีกรอบ แม้จะรู้ว่าคำพูดของเขามันสมเหตุสมผลมากเพียงใด แต่เธอก็อดที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมาไม่ได้
เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะในชาติที่แล้วเธอกับเขาก็ไม่ได้ศึกษาดูใจกันนานขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเธอกับเขาจะมีลูกด้วยกันแล้ว แต่เธอกับเขาก็ยังทะเลาะกันอยู่ดี เธอเองก็ไม่ได้เป็นคนงี่เง่าชอบหาเรื่องทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร เหมือนกับท่าทางเด็กน้อยทะเลาะกันในตอนนี้ด้วย
กู้จื้อเฉิงยกมือขึ้นไปลูบศรีษะของจางฉุ้ยเหลียน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “เรื่องรายงานการแต่งงานของฉัน ตอนนี้มันก็ได้รับการอนุมัติแล้ว ฉันอยากจะจัดงานแต่งงานกับเธอตอนนี้เลยจริง ๆ พวกเราสองคนจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ส่วนเรื่องยุ่ง ๆ ในบ้านเราก็ปล่อยมันไปเถอะ”
พอจางฉุ้ยเหลียนได้ยินประโยคนี้ หัวใจของเธอก็หลอมละลายกลายเป็นน้ำในทันที เธอเงยหน้าขึ้นแล้วพูดออกไปด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “แต่ตอนนี้ฉันยังเรียนไม่จบ ถึงเราสองคนจะแต่งงานกันแล้ว ฉันก็ไปอยู่กับพี่ไม่ได้หรอก”
พอพูดมาถึงเรื่องนี้ มันก็เป็นเรื่องที่กู้จื้อเฉิงรู้สึกกังวลเช่นกัน เขายีผมของจางฉุ้ยเหลียนจนตอนนี้มันยุ่งไปหมด จากนั้นก็พูดออกไปเบา ๆ ว่า “เรื่องอื่นมันไม่สำคัญหรอก เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือตอนนี้เธอคิดยังไงกับฉัน เธอพูดสิ่งที่เธอคิดให้ฉันฟังหน่อยสิ ส่วนเรื่องอื่นฉันจะเป็นคนจัดการเอง ! ”
จางฉุ้ยเหลียนบุ้ยปาก จากนั้นเธอก็พูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “พี่จะจัดการมันอย่างไรล่ะ พี่ออกมาจากกรมทหารไม่ได้สักหน่อย”
กู้จื้อเฉิงทั้งรู้สึกโมโหทั้งรู้สึกขำ “ฉันเก่งจะตาย และถ้าฉันรู้ว่าเธอคิดแบบนี้ ฉันก็คงจะจัดการเรื่องนี้เสร็จไปตั้งนานแล้ว”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอยังคงบุ้ยปากและพูดออกไปว่า “ขี้โม้ล่ะสิไม่ว่า พี่คิดจะหลอกฉันงั้นหรือ ! ”
“ฉุ้ยเหลียน ! ฉันไม่เคยโกหกเธอเลยสักครั้ง และฉันก็ไม่คิดที่จะโกหกเธอด้วย เธอต้องเชื่อใจฉันนะ เข้าใจไหม ? ”
พอจางฉุ้ยเหลียนเห็นว่ากู้จื้อเฉิงเริ่มโกรธขึ้นมาหน่อย ๆ แล้ว เธอก็รีบฉีกยิ้มและพูดออกไปว่า “รู้แล้วน่า รู้แล้ว”
ความคิดของเธอนั้นมันก็เรียบง่ายมาโดยตลอด เธอขอเพียงแค่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับกู้จื้อเฉิงแค่นั้นเธอก็พอใจแล้ว แต่ปัญหาก็คือ เธอไม่ได้ตัวคนเดียว เธอยังมีพ่อแม่บุญธรรมและคนอื่น ๆ ที่เธอยังจะต้องดูแล
“การแต่งงานของเรามันไม่ยากหรอก เพราะพ่อของฉันก็ตำหนิแม่ของฉันไปแล้ว และเราก็ตัดสินใจเรื่องงานแต่งของตัวเองได้ ต่อไปพอเราแต่งงานกันแล้ว พวกเราก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นกันสองคนก็ได้” จู่ ๆ กู้จื้อเฉิงก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จางฉุ้ยเหลียนจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
“ทำไมล่ะ ? ” ในชาติที่แล้วเธอใช้ชีวิตร่วมกับแม่สามีตั้งนาน แล้วทำไมในชาตินี้มันถึงได้เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ ?
“ฉุ้ยเหลียน ! ” กู้จื้อเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แววตาของเขาฉายแววเคร่งขรึมออกมา “ฉันได้เลื่อนขั้นแล้ว ! ” จู่ ๆ หัวใจของจางฉุ้ยเหลียนก็เต้นแรงขึ้นมาไม่เป็นจังหวะ จากนั้นเธอก็ถามเข้าประเด็นในทันที “งั้น… งั้น… พี่ต้องไปย้ายอยู่ที่ไหนล่ะ ? ”
“ฉันได้ย้ายไปประจำการอยู่ที่ซุ๋ยหยวน มันเป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดและหนาวสุด ๆ อีกทั้งมันยังห่างไกลจากผู้คนมากอีกด้วย” สถานที่ที่กู้จื้อเฉิงพูดออกมานั้น จางฉุ้ยเหลียนไม่เคยได้ยินชื่อของมันมาก่อนเลย
“ฉันรู้ว่าพอเธอเรียนจบแล้ว เธอก็ต้องหางานในเมืองทำ ถึงเธอจะไม่ทำงานเป็นครู แต่เธอก็ทำงานเป็นนักเขียนได้ หรือเธอจะไปทำงานเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าก็เป็นอิสระดี แต่ถ้าเธอตามฉันไปอยู่ที่ซุ๋ยหยวน ฉันก็เกรงว่าเธอจะทำงานไม่สะดวกนะ……” กู้จื้อเฉิงก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างของเขาก็สั่นเล็กน้อย
เขาไม่รู้ว่าหากต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญแบบนั้น จางฉุ้ยเหลียนจะยอมไปอยู่กับเขาด้วยไหม เนื่องจากความมั่นคงในตอนนี้มันคือสิ่งที่เธอโหยหามาโดยตลอด เพราะอย่างนั้นเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตามเขาไปในสถานที่ที่ห่างไกลเช่นนั้นก็ได้
“อา ! ” ในตอนนี้ดวงตาของจางฉุ้ยเหลียนมันก็เต็มไปด้วยน้ำตา แม้จะยิ้มแต่มันกลับทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกสงสาร เธอยื่นมือออกไปพร้อมกับเลียนแบบการกระทำที่กู้จื้อเฉิงทำกับเธอเมื่อสักครู่ เธอลูบศีรษะของเขาไปมาอย่างอ่อนโยน
“พี่นี่นะ ในเมื่อพี่จะต้องไปอยู่ไกลขนาดนั้น ทำไมพี่ถึงไม่ปิดบังฉันไว้ล่ะ พี่จะพูดออกมาทำไม ? ” และนี่ก็เป็นนิสัยของกู้จื้อเฉิง เขาอยากที่จะได้รับการยืนยันจากเธอเรื่องแต่งงานก่อน จากนั้นเขาถึงจะพูดเรื่องร้ายออกมา และถ้าหากว่าเขาและเธอแต่งงานกันแล้ว เขายังจะกลัวเธอเสียใจอีกอย่างนั้นหรือ ?
“ฉันไม่อยากโกหกเธอ และฉันก็ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของเธอ……” สุดท้ายกู้จื้อเฉิงก็อดไม่ได้ที่เอื้อมมือออกมาดึงตัวจางฉุ้ยเหลียนเข้ามากอด
“ถ้าเธอตามไปไม่ได้ พวกเราก็ต้องอยู่ห่างกัน เธอต้องดูแลครอบครัวเพียงคนเดียว แล้วถ้าในอนาคตพวกเรามีลูกด้วยกันสองคน เธอก็จะลำบากมากเลยนะ ขนาดฉันคิดฉันยังไม่กล้าที่จะไปเลย แล้วเธอจะไปอยู่ในหมู่บ้านที่รกร้างอย่างนั้นได้หรือ ? แบบนั้นความสามารถของเธอก็จะเสียเปล่า ความรู้ที่เธออุตส่าห์ร่ำเรียนมาหลายปีมันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ ? ”
ดังนั้น เขาจำเป็นที่จะต้องบอกกับเธอด้วยตัวเอง หากเธอและเขาจะอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็จะไม่ได้ลำบากเพียงเพราะคนนอกเท่านั้น……
MANGA DISCUSSION