ตอนที่ 109 เลียนแบบ
คนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือล้วนแล้วแต่ป่วยเป็นโรคเดียวกัน นั่นก็คือโรคให้ท้ายคนในครอบครัวของตัวเอง และเจ้าโรคร้ายนี้มันก็ได้ฝังลึกลงไปอยู่ในตัวกู้จื้อเฉิงเป็นพิเศษ
ถึงแม้ว่าน้องสาวของเขาจะทำตัวหยาบคายมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังทำท่าทางราวกับว่า “ไม่ควรถือสาคำพูดของเด็ก” และเขาก็ยังแนะนำให้จ้าวเชิงหนานไม่ต้อง “ทำตัวไม่รู้ความเหมือนเด็ก” และถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะทำให้เขาขายหน้าต่อคนตั้งมากมาย แต่เขาก็ยังทำท่าทางราวกับว่า “ทุกอย่างมันให้อภัยกันได้ และมันก็เป็นความผิดของผมเอง”
ในสายตาจ้าวเชิงหนาน ผู้ชายประเภทนี้เป็นผู้ชายประเภทที่ห่วยยิ่งกว่าห่วยเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขาตามใจน้องสาวของตัวเองโดยที่ไม่ดูเหตุผลอะไรเลยเช่นนี้ นั่นจึงทำให้หล่อนเห็นกู้จื้อเฉิงเป็นคนที่ ‘นิสัยแย่’ มากจริง ๆ พร้อมกันนั้นหล่อนก็ยังแอบยิ้มเยาะในใจให้เขาได้แต่งกับผู้หญิงที่มาหาเรื่องที่ร้านหม้อไฟเมื่อครู่นี้ด้วย หล่อนอยากจะให้ผู้หญิงคนนั้นลิ้มรสกับการที่ได้แต่งงานกับผู้ชายห่วย ๆ มันเป็นยังไง
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงไปส่งจ้าวเชิงหนานที่บ้านแล้ว เขาก็ขับรถไปส่งฉูหว่านโรว จากนั้นเขาก็ขับตรงไปที่บ้านตระกูลเซี่ยพร้อมกับกู้จื้อชิวทันที เขาคิดว่าหากมีน้องสาวของเขาอยู่ด้วย จางฉุ้ยเหลียนก็คงจะไม่กล้าพูดอะไรที่ทำให้เขาขายหน้า แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเขามาถึงบ้านตระกูลเซี่ยแล้ว เขาจะได้เจอกับความว่างเปล่าเช่นนี้
หลังจากที่พบกับความผิดหวัง กู้จื้อเฉิงก็ทำได้เพียงแค่แสดงสีหน้าบึ้งตึงออกมา เขาพาน้องสาวของตัวเองกลับมาที่บ้าน เขาเป็นคนที่หนักแน่นมากคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะคุยกับจางฉุ้ยเหลียนไม่รู้เรื่อง แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องใช้โอกาสนี้ตีเหล็กตอนยังร้อนพูดกับแม่ของเขาให้รู้เรื่อง !
อันหลงเองก็ไม่ให้โอกาสลูกชายได้สำนึกผิดแต่อย่างใด หล่อนถามออกไปอย่างตรงไปตรงมาว่า “ลูกทำงานมาก็ตั้งหลายปีแล้ว อีกอย่างแม่ก็ไม่เคยขอเงินลูกเลย แต่วันนี้ลูกกลับไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับจ้าวเชิงหนาน นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
ยังไม่ทันที่กู้จื้อเฉิงจะได้พูดอะไรออกมา อันหลงก็แสดงสีหน้าโมโหและพูดออกไปก่อนว่า “ลูกเอาเงินไปให้จางฉุ้ยเหลียนใช่ไหม ? นี่ลูกเสียสติไปแล้วหรือ ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จื้อชิวก็เริ่มคิดมากเช่นกัน เพราะอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้เป็นคนในครอบครัวของหล่อนเลย จู่ ๆ หล่อนก็คิดขึ้นมาได้ว่าจางฉุ้ยเหลียนก็เป็นคนที่มีชีวิตยากลำบากมาตั้งแต่เด็ก ไม่แน่บางทีเธออาจจะเป็นคนหน้าเงินก็ได้ เธอและพี่ชายของหล่อนก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่เธอกลับเอาเงินพี่ชายของหล่อนไปอย่างนี้แล้ว แบบนี้วันหน้าเธอจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้กับพ่อแม่ของหล่อนหรือ
กู้จื้อเฉิงเองก็ได้ยินเรื่องต่าง ๆ มาจากพวกเพื่อน ๆ ของเขาไม่น้อย เพื่อนของเขามักจะถกเถียงกันอยู่บ่อย ๆ เรื่องที่ว่าควรยกเงินเดือนของตัวเองให้กับภรรยาหรือแม่ของตัวเองดี แล้วคนที่มักจะนั่งฟังพวกเพื่อน ๆ พูดคุยกันจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ถ้าเขาพูดอธิบายออกไปได้ดี ก็จะทำให้ทุกคนมีความสุข แต่ถ้าเขาพูดอธิบายออกไปได้ไม่ดี แม่และน้องสาวของเขาก็คงแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้กินเลือดกินเนื้อของจางฉุ้ยเหลียน
“ฉุ้ยเหลียนบอกว่าเสี่ยวชิวอยากไปเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง และการที่จะไปเรียนในเมืองหลวงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมันก็ค่อนข้างที่จะสูง และหลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีแล้ว หล่อนก็ควรที่จะเรียนต่อปริญญาโท หรือถ้าจะให้ดีหล่อนก็ควรไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ” จู่ ๆ กู้จื้อเฉิงก็พูดเบี่ยงประเด็นไปที่กู้จื้อชิว นั่นจึงทำให้สองแม่ลูกถึงกับงุนงงในทันที
“หา? ไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างนั้นหรือ ค่าเล่าเรียนมันแพงมากเลยนะ ฐานะทางบ้านของเราดีถึงขนาดที่ว่าหล่อนบอกจะไปเรียนต่อต่างประเทศก็ไปได้เลยอย่างนั้นหรือ ! ” ถึงแม้ว่าอันหลงจะพูดออกมาแบบนี้ แต่สีหน้าของหล่อนก็ไม่ได้แสดงออกมาถึงความไม่พอใจแต่อย่างใด ส่วนกู้จื้อชิวที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ ด้วยความงุนงงอยู่นั้น จู่ ๆ หล่อนก็ใจเต้นแรงขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าที่หล่อนใจเต้นแรงแบบนี้มันเป็นเพราะตื่นเต้นหรือหวาดกลัวกันแน่
“ใช่แล้วครับ มันแพงมาก แต่มันก็มีเป็นเรื่องที่ดี ฉุ้ยเหลียนบอกว่าเงินค่าเทอมตอนเรียนมหาวิทยาลัย แม่กับพ่อก็เป็นคนออก ส่วนค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเสี่ยวชิว พวกเราสองคนจะเป็นคนออกให้เอง ในบ้านมีคนหาเงินตั้งสามคนแบบนี้แล้ว เราจะต้องส่งเสี่ยวชิวไปเรียนต่อที่ต่างประเทศได้อย่างแน่นอน ถึงค่าใช้จ่ายตอนเรียนมันจะสูงมาก แต่ถ้ามองในระยะยาว อนาคตของหล่อนก็สำคัญกว่า” คำพูดนี้ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นเป็นอย่างมาก จากมุมมองของแม่สามีอย่างอันหลง จางฉุ้ยเหลียนก็จัดได้ว่าอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด เธอไร้ที่ติมากเลยจริง ๆ
แต่ว่า “นั่นก็หมายความว่า นี่ก็เป็นข้ออ้างที่เธอใช้เกลี้ยกล่อมลูก เพื่อให้ลูกเอาสมุดบัญชีเงินฝากให้เธออย่างนั้นใช่ไหม ? ” อันหลงยังคงรู้สึกไม่สบายใจ เพราะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ
“แม่ครับ ฉุ้ยเหลียนไม่ได้แตะต้องเงินของผมเลยแม้แต่เฟินเดียว พวกเราสองคนคุยกันแล้วว่า นั่นเป็นเงินที่เอาไว้ส่งเสี่ยวชิวเรียนหนังสือ และเวลาที่เธอมาที่บ้านของเราทุก ๆ วันหยุดเทศกาลหรือวันปีใหม่ เงินที่เธอใช้ซื้อของที่เอามาฝากเราทั้งหมด ก็เป็นเงินที่เธอหามาเองทั้งหมด ก่อนหน้านี้เธอห้ามไม่ให้ผมพูดเรื่องนี้ เพราะเธอกลัวว่าแม่จะคิดว่าเธออยากจะประจบแม่สามีใจจะขาด ! ” หากจางฉุ้ยเหลียนอยู่ที่นี่และได้ยินคำพูดนี้ เธอก็คงจะอ้าปากค้างเลยทีเดียว
จางฉุ้ยเหลียนไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกลับดำเป็นขาวของกู้จื้อเฉิงจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เขาบอกว่าที่เขาเอาสมุดบัญชีเงินฝากไปฝากไว้ที่จางฉุ้ยเหลียน ก็เพื่อที่จะเก็บเงินไว้ส่งกู้จื้อชิวเรียนต่อ จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่มีทางที่จะคัดค้านเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะเรื่องที่กู้จื้อชิวจะไปเรียนต่อที่ MBA มันก็เป็นเรื่องจริง เพราะจางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าในอนาคตกู้จื้อชิวจะไปเรียนต่อที่ MBA จริง ๆ แต่มันก็เป็นมหาวิทยาลัยในประเทศ เธอก็แค่เผลอพลั้งปากพูดเรื่องนี้ออกไปให้กู้จื้อเฉิงฟังเท่านั้น แต่เธอไม่คิดเลยว่ากู้จื้อเฉิงจะเอาเรื่องนี้ไปแต่งเรื่องต่อและยกให้มันเป็นความคิดของจางฉุ้ยเหลียน
และเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนจะส่งเสียน้องของสามีเรียนต่อเช่นนี้ มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้วแต่อย่างใด การที่พี่ชายจะส่งเสียน้องสาวของตัวเองเรียน ถึงแม้ว่าพี่สะใภ้อย่างจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ได้ช่วยส่งเสีย แต่ถึงอย่างไรกู้จื้อเฉิงที่เป็นพี่ชายก็ต้องส่งเสียน้องสาวของตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่รึไง ถ้าอย่างนั้นก็พูดยกความดีความชอบนี้ให้จางฉุ้ยเหลียนไปเลยไม่ดีกว่าหรือ อีกทั้งมันก็ส่งผลดีต่อตัวของจางฉุ้ยเหลียนอีกด้วย แถมมันยังช่วยให้กู้จื้อเฉิงไม่ต้องตระหนี่ถี่เหนียวเงินของตัวเองเพื่อไม่ส่งเสียน้องสาวของตัวเองเรียนหนังสือ แล้วอย่างนี้เขาจะไม่พูดมันออกมาได้อย่างไรล่ะ ?
เพราะเรื่องนี้ออกมาจากปากกู้จื้อเฉิง ความน่าเชื่อถือของมันจึงค่อนข้างสูง แต่ถ้าจางฉุ้ยเหลียนเป็นคนพูดเรื่องนี้เอง จากมุมมองของแม่สามีและน้องสาวของสามีแล้ว พวกหล่อนก็คงจะรู้สึกสงสัยกับคำพูดที่ดูสวยหรูและการพูดจาโอ้อวดแบบนี้อย่างแน่นอน แต่ถ้าพวกหล่อนได้คุยกันเป็นการส่วนตัว นั่นก็นับว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ถ้ากู้จื้อเฉิงอยากจะส่งเสียน้องสาวของตัวเองเรียนจริง ๆ การที่พี่สะใภ้อย่างจางฉุ้ยเหลียนจะเห็นด้วยมันก็เป็นสิ่งที่สมควรทำ ถ้าเธอคัดค้านนั่นก็หมายความว่าเธอไม่ให้ความร่วมมือกับครอบครัวอีกทั้งยังไม่รู้ความอีกด้วย แต่ถ้าบอกว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นคนริเริ่มความคิดนี้ขึ้นมา ความหมายมันก็จะต่างออกไป เพราะมันเป็นการส่งผลกระทบที่ดีต่อส่วนร่วม อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณธรรมที่พี่สะใภ้อย่างเธอมีต่อน้องสาวของสามีอีกด้วย
ตำแหน่งของจางฉุ้ยเหลียนในหัวใจของกู้จื้อชิวตอนนี้มันก็ได้เลื่อนขึ้นมา จากก่อนหน้านี้ที่เธอเป็นแค่พี่สาวคนสนิทมันก็ได้เปลี่ยนมาเป็นญาติที่พึ่งพาได้มากที่สุดแล้ว ส่วนทางด้านของอันหลง เพราะการที่จางฉุ้ยเหลียนแสดงออกถึงทัศนคติของการเป็นพี่สะใภ้ที่ดี หล่อนจึงล้มเลิกที่จะหาลูกสะใภ้คนใหม่ที่มีมาตรฐานสูงมาให้กับลูกชายของหล่อนในทันที
ด้วยเหตุนี้ความคิดที่จะให้กู้จื้อเฉิง “แต่งงานเร็ว ๆ ” จึงได้รับการอนุมัติจากคนทั้งครอบครัวเป็นที่เรียบร้อย แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายนั่นก็คือ ในขณะที่ตระกูลกู้เปลี่ยนความคิดแล้ว แต่ทางด้านของจางฉุ้ยเหลียนกลับเปลี่ยนใจ
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนกลับมาถึงวิทยาลัย เธอก็เปลี่ยนความเศร้าโศกเสียใจของตัวเองเป็นพลังฮึดสู้ เพื่อที่เธอจะได้ลืมปัญหาต่าง ๆ ที่มันกวนใจ เธอนำพลังทั้งหมดทุ่มไปกับการเรียนและเตรียมตัวสอบปลายภาค นั่นจึงทำให้เธอสอบได้คะแนนดี
ถึงแม้ว่ากู้จื้อเฉิงจะมาหาเธอสองสามครั้งแล้ว แต่เธอก็ยังคงเย็นชาใส่เขาตลอด อีกทั้งเธอยังคืนสมุดบัญชีเงินฝากให้กับกู้จื้อเฉิงอีกด้วย และบอกเขาว่าต่อจากนี้ไปเขาและเธอจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีก
คุณชายกู้ผู้น่าสงสาร ถึงแม้ว่าเขาจะโมโหและอยากจะเอาชนะจางฉุ้ยเหลียนมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำไม่ลง และตอนที่เขาอยากจะพูดคุยกับเธอดี ๆ อีกฝ่ายก็กำลังจะสอบปลายภาค ภายใต้ความหดหู่และความเศร้าเสียใจ เขาจึงทำได้เพียงแค่ส่งสมุดบัญชีเงินฝากของตัวเองกลับไปให้จางฉุ้ยเหลียนทางไปรษณีย์เท่านั้น ส่วนตัวเขาก็ถูกกองทัพเรียกตัวกลับไปอีกครั้ง และเขาก็ไม่รู้สาเหตุที่ถูกเรียกตัวเช่นกัน
ครั้งนี้จางฉุ้ยเหลียนพยายามเรียนอย่างหนัก เธอมุ่งมั่นและปรารถนาสิ่งที่ยิ่งใหญ่ก่อนที่ผลสอบจะออก และสิ่งที่คาดไม่ถึงเลยก็คือ ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ติด 20 อันดับแรกของการสอบ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังสอบได้ลำดับที่ 23 และสิ่งที่เหนือความคาดหมายมากที่สุดก็คือ หลี่เหยาที่ไม่เคยเข้าเรียนเลยสักครั้งกลับสอบได้ลำดับที่ 16 ชื่อที่สะดุดตาในแถวที่สองนี้ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกหงุดหงิดใจสุด ๆ
ตอนนี้ในใจของจางฉุ้ยเหลียนก็สุมไปด้วยไฟแค้นที่ยากจะดับได้ ผลการสอบครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างแรงอย่างไรอย่างนั้น
เธออ่านหนังสืออย่างหนักจนลูกตาแทบจะถลนออกมา แต่ทำไมเธอถึงสู้หลี่เหยาที่วัน ๆ เอาแต่โดดเรียนไม่ได้ และในขณะนี้ก็มีเพื่อนร่วมชั้นที่รู้ความจริงเริ่มนั่งไม่ติดกันแล้ว มีคนเริ่มป่าวประกาศออกไปว่าหลี่เหยาเอาโพยเข้าไปในห้องสอบ แต่เป็นเพราะไม่มีหลักฐาน เรื่องนี้จึงได้จบลงแต่เพียงเท่านี้
และข่าวลือก็ได้แพร่สะพัดออกมาว่า หลี่เหยาติดสินบนเพื่อนร่วมชั้น โดยการที่หล่อนบอกให้เพื่อนร่วมชั้นเขียนโพยเอาไปให้หล่อนในห้องสอบ เพราะอย่างนั้นคะแนนสอบของหล่อนถึงได้ออกมาดี
หวังโต้วโต้วสอบได้อันดับที่ 17 อย่างน่าเศร้า หล่อนให้ความสำคัญกับเรื่องการสอบเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นการสอบก็ได้จบลงแล้ว ทุกคนจึงทำได้เพียงแค่เริ่มเก็บกระเป๋าและแยกย้ายกันกลับไปที่บ้านของตัวเองเท่านั้น
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายที่สุดเลยก็คือ หลี่เหยาไม่เห็นเรื่องการเขียนโพยเข้าห้องสอบเป็นเรื่องที่สำคัญแต่อย่างใด อีกทั้งหล่อนก็ยังทำตัวโอ้อวดและจงใจกวนประสาท ‘ผู้ที่พ่ายแพ้’ เหล่านี้อีกด้วย
“ไอ้หยา เตรียมตัวจะกลับบ้านกันแล้วหรือ ? ” หลี่เหยาผลักประตูเข้ามาในห้อง ขณะที่หล่อนมองไปที่สัมภาระใบน้อยใหญ่ที่วางเรียงรายอยู่บนพื้นราวกับค่ายผู้ลี้ภัย หล่อนก็เปิดปากพูดออกมาพร้อมกับยิ้มเยาะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสนใจเสียงบ่นพึมพำของหล่อนเลยแม้แต่น้อย “ไอ้หยา หวังโต้วโต้ว ไม่ใช่ว่าเธอมีแฟนอยู่ในเมืองหรือ ? แล้วทำไมเธอถึงยังอยู่ในหอพักอีกล่ะ ? ถึงอย่างไรเธอก็ต้องแต่งงานกับเขาอยู่แล้ว เธอก็ให้คนรักของเธอซื้อบ้านแล้วย้ายไปอยู่กับเขาข้างนอกสิ”
“ถ้าเธอได้อยู่บ้านของตัวเอง เธอก็จะมีห้องน้ำส่วนตัว จะได้ไม่ต้องมาเข้าห้องน้ำรวมแบบนี้ไง แค่คิดว่าต้องนั่งยอง ๆ และดมกลิ่นของเสียของคนอื่นแบบนั้นแล้ว ไอ้หยา…..” หลี่เหยาทำท่าทางคลื่นไส้ แล้วยกมือขึ้นมาปิดจมูกของตัวเอง “แค่คิดฉันก็รู้สึกขยะแขยงจนคลื่นไส้แล้ว ! ”
“คลื่นไส้ ? เธอคลื่นไส้ทำไมหรือ ? หรือว่ามีแล้ว ? ” จางฉุ้ยพูดออกมาพร้อมกับเหลียนเก็บที่นอน จากนั้นก็เดินไปล็อคประตูตู้เสื้อผ้าของตัวเอง
หลังจากที่หลี่เหยาเข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนี้ สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปทันที แต่จู่ ๆ หล่อนก็นึกขึ้นได้ว่าถึงแม้ว่าหล่อนจะทะเลาะกับคนพวกนี้ไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา หล่อนจึงเริ่มพูดจาถากถางออกไป
“หึ ! เธอนี่ทำตัวเหมือนยังไม่ได้กินองุ่นก็บอกว่าองุ่นเปรี้ยวเลยนะ ได้ยินมาว่าครั้งนี้เธอสอบได้ลำดับที่ไม่เลวเลยหนิ ใช้ได้เลยนะ ไม่ต้องไปทำงานหาเงินแล้วหรือ ? ” คำพูดถากถางของหลี่เหยาทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกเจ็บใจขึ้นมาทันที
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรกลับไป หวังโต้วโต้วที่ทนกับการกระทำของอีกฝ่ายไม่ไหว ก็รุดหน้าเข้ามาต่อว่าอีกฝ่ายทันที “หลี่เหยา เธอลองบอกสิว่าเธอไม่ได้โกงข้อสอบ ? เธอไม่เคยเข้าเรียนเลยสักครั้ง ก่อนวันสอบเธอยังไม่รู้แนวข้อสอบเลยด้วยซ้ำ แล้วเธอจะสอบได้คะแนนดีแบบนั้นได้อย่างไร ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหมดคำพูดขึ้นมาทันที หวังโต้วโต้วคนนี้เป็นคนซื่อมากจริง ๆ หล่อนมีอะไรหล่อนก็ถามออกไปตรง ๆ แล้วจะมีคนที่โกงข้อสอบที่ไหนจะป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้ว่าตัวเองโกงข้อสอบล่ะ
แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันกลับเหนือความคาดหมาย บนโลกนี้ก็มีคนประเภทนี้อยู่จริง ๆ อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะไม่ยอมรับแล้วเท่านั้น แต่หล่อนยังทำตัวโอ้อวดกับนักศึกษาที่พยายามตั้งใจเรียนด้วยความลำบากกลุ่มนี้ว่าไม่มีใครสอบได้ดีเท่าตัวเองอีกด้วย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เธอคิดว่าฉันเป็นเหมือนเธอรึไงล่ะ ? ” หลี่เหยาเท้าเอวพร้อมกับพูดจีบปากจีบคอออกมาว่า “ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนล่ะ ? คนรักของฉันพาฉันไปกินข้าวที่ร้านอาหาร ดูหนัง ซื้อเสื้อผ้า และยังพาฉันไปขับมอเตอร์ไซค์รับลมทุกวัน ใครจะไปมีเวลาเหมือนพวกคนหัวโบราณอย่างพวกเธอกัน เอาแต่เรียนอยู่ได้”
เหล่าบรรดาเด็กสาวที่อยู่ให้ห้องพักแห่งนี้ต่างก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันที เมื่อได้ยินคำพูดที่เย่อหยิ่งนี้ของหลี่เหยา จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ภายในห้องพักเงียบสงัด และได้ยินเพียงคำพูดโอ้อวดว่าตนเองนั้น “สูงส่ง” ของหลี่เหยาเพียงเท่านั้น
“เรียนหนังสือแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ ? ถุย ! สาขาของฉันคือสาขาการศึกษาก่อนวัยเรียนนะ ! ” หลี่เหยาชี้นิ้วไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นที่อยู่ในห้อง ใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความรังเกียจ จากนั้นหล่อนก็พูดออกมาว่า “ของหลอกเด็กพรรณนั้น ใครจะไปโง่จุดไฟเติมน้ำมันเรียนเหมือนเฝิงเสี่ยวเจี๋ยล่ะ ฉันโกงข้อสอบแล้วมันทำไม ฉันโกงข้อสอบ คะแนนก็ออกมาดีกว่าพวกเธอไม่ใช่รึไง ? ”
หวังโต้วโต้วทนเห็นใบหน้าที่หยิ่งผยองของหลี่เหยาไม่ได้อีกต่อไป หล่อนตะโกนใส่อีกฝ่ายพร้อมกับบอกว่าหล่อนจะพาตัวของหลี่เหยาไปเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากอธิการบดี
หลี่เหยาผลักหวังโต้วโต้วออกไปด้วยความรังเกียจ “พอเถอะน่า ท่านอธิการบดีไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของเธอหรอก ถ้าเก่งนักก็สอบให้ได้ที่หนึ่งสิ ถ้าเธอสอบได้ที่หนึ่ง ฉันจะทำอะไรเธอได้ล่ะ ? สุดท้ายก็เป็นเธอที่สอบไม่ได้เอง เหอะ ! ขนาดเกาปินยังไม่ว่าอะไรฉันเลยไม่ใช่รึไง ? ”
เกาปินได้ที่หนึ่งในสาขาที่หล่อนเรียน แต่จากอันดับทั้งหมดของระดับชั้นหล่อนสอบได้ที่สี่ หลุดจากสามอันดับแรก เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงไม่ได้รับทุนการศึกษาจากวิทยาลัย หล่อนจึงรู้สึกเสียใจไม่น้อย
คำพูดของหลี่เหยาสะกิดแผลใจของเกาปินได้อย่างไม่ต้องสงสัย นั่นจึงทำให้หล่อนทนไม่ได้และเริ่มโวยวายขึ้นมาเช่นกัน
“ตัวเองทำไม่ได้ แล้วก็มาโทษคนอื่น เหอะ ! ” หลี่เหยาเถียงสู้คนอื่นไม่ได้ เพียงแค่แรงของหวังโต้วโต้วเพียงคนเดียว ก็ผลักหล่อนให้ออกมานอกห้องพักได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับไปจิกกัดหวังโต้วโต้ว
หวังโต้วโต้วที่โมโหจัดเดินกลับไปนั่งร้องไห้โฮอยู่บนเตียงของตัวเอง และนั่นก็ทำให้ในเวลานี้หอพักวุ่นวายขึ้นมาในทันที……
MANGA DISCUSSION