ตอนที่ 106 ตระกูลกู้ก็ดูตัวเช่นกัน
หลังจากที่เลิกเรียนวิชาทบทวนบทเรียนด้วยตัวเองในตอนเย็นแล้ว กู้จื้อชิวก็กลับมาที่บ้าน เมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้าน หล่อนก็พบว่าบ้านทั้งหลังนั้นมืดสนิท หล่อนเดินไปเปิดไฟในห้องนั่งเล่นพร้อมกับคิดว่าแม่ของหล่อนออกไปไหนในเวลานี้
เมื่อเสือไม่อยู่บ้านลิงก็ขึ้นเป็นราชา กู้จื้อชิวโยนกระเป๋านักเรียนของตัวเองลงไปบนพื้นและรีบวิ่งไปเปิดโทรทัศน์ หล่อนล้มตัวลงนอนบนโซฟาและดูโทรทัศน์อย่างสบายอกสบายใจ โดยที่ไม่สนใจการบ้านของตัวเองเลยสักนิด
แต่ใครจะรู้ว่าในวินาทีต่อมา จะมีเสียงตะโกนออกมาจากห้องนอนใหญ่ “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ยังดูโทรทัศน์อีกหรือ ไม่ทำการบ้านรึไง ? ”
เมื่อกู้จื้อชิวที่ได้ยินเสียงนั้น หล่อนก็ตกใจรีบลุกขึ้นนั่งในทันที จากนั้นจึงพูดเสียงดังออกไปราวกับเด็กว่า “แม่ อยู่บ้านทำไมไม่เปิดไฟล่ะ หนูตกใจเกือบตาย ! ”
อังหลงจ้องมาทางลูกสาวของตัวเองพร้อมกับเดินออกมาจากห้องนอน “ถ้าแม่ไม่ปิดไฟ แม่จะจับได้เหรอว่าลูกแอบดูโทรทัศน์ ? เสียแรงที่พี่ชายของลูกหาครูสอนพิเศษมาให้ ลูกไม่มีความกระตือรือร้นที่จะอ่านหนังสือด้วยตัวเองเลยใช่ไหม ? ”
กู้จื้อชิวที่ถูกแม่ของตัวเองตามใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ นั่นจึงเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นแม่ของหล่อนด่าหล่อนแบบนี้ นัยน์ตาของหล่อนฉายแววไม่พอใจออกมา และพูดออกไปเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบว่า “ก็หนูเหนื่อย ! ”
“ไม่ว่าใครก็เหนื่อยกันทั้งนั้นแหละ ! ” อันหลงทอดถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ จากนั้นหล่อนจึงเดินไปนั่งที่โซฟา
ถ้าหากว่าจางฉุ้ยเหลียนมาได้ยินประโยคนี้ของกู้จื้อชิว เธอก็คงจะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลายเป็นตัวรับระเบิดไปแล้ว เพราะเธอต้องทำงานอย่างหนัก อีกทั้งยังเรียนต้องหนักถึงขนาดนั้น แต่เธอก็ไม่เคยบ่นออกมาว่าเหนื่อยเลยสักครั้ง กู้จื้อชิวคิดว่าแม่ของหล่อนน่าจะไปโมโหใครมาแน่ ๆ หล่อนจึงรีบเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเสื้อนวมของอันหลงทันที หล่อนเดินเข้าไปหาอันหลง จากนั้นก็หย่อนตัวลงไปนั่งข้าง ๆ ผู้เป็นแม่พร้อมกับเริ่มนวดตามแขนตามขาและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “แม่ ทำไมแม่ถึงอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ล่ะ ใครทำให้แม่อารมณ์ไม่ดีหรือ ? แม่บอกหนูมาสิ เดี๋ยวหนูจะไปจัดการให้ ! ”
อันหลงมองไปทางลูกสาวของตัวเองที่กำลังนวดตามแขนตามขาของอยู่ เป็นเรื่องยากที่ลูกสาวของหล่อนจะทำตัวเป็นเด็กดีแบบนี้ เพราะอย่างนั้นความโกรธภายในใจของหล่อนก็เริ่มจะผ่อนคลายลงมาบ้างแล้ว หล่อนหรี่ตาด้วยความปวดหัวและพูดออกไปว่า “พี่ชายของลูกน่ะสิโกรธแม่ เขาบอกว่าแม่เป็นคนทำให้เขากับจางฉุ้ยเหลียนต้องเลิกกัน เขากลัวว่าพ่อตาจะไม่ชอบเขา เหอะ ! ”
เมื่อได้ฟังจากน้ำเสียงของผู้เป็นแม่ กู้จื้อชิวก็คิดว่าแม่ของหล่อนยังโกรธพี่ชายของหล่อนอยู่แน่ ๆ ! เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงทำได้เพียงแค่ก้มหน้าและเม้มปากฟังสิ่งที่อันหลงกำลังดุด่าพี่ชายของหล่อนเพียงเท่านั้น “ไอ้หยา การที่มีลูกชายมันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ มีแต่ทำให้ฉันโกรธ ! ”
กู้จื้อชิวไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ เมื่ออันหรงเห็นว่าลูกสาวของหล่อนเอาแต่เงียบและไม่ยอมแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา หล่อนจึงเริ่มรู้สึกไม่พอใจ หล่อนเลิกคิ้วและมองไปที่ลูกสาวพร้อมกับพูดออกไปว่า “ลูกยังคิดว่าพี่ฉุ้ยเหลียนของลูกยังเป็นคนดีอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ? ตอนนี้ครอบครัวของเธอก็กำลังหาคนรักใหม่ให้เธอแล้ว เธอไม่สนใจพี่ชายของลูกแล้วล่ะ”
หลังจากที่อันหลงพูดจบ หล่อนก็พูดอย่างโมโหต่อไปอีกว่า “ครอบครัวของเธอกลัวว่าลูกสาวจะขายไม่ออก ก็เลยรีบหาคนรักให้เธอ และพวกเขาก็อยากจะได้แม่สามีที่ไม่ร้ายกาจอีกด้วย แม่ไม่คิดเลยว่าครอบครัวนั้นจะวานให้ป้าหลิวของลูกช่วยหาคู่ดูตัวให้ ป้าหลิวของลูกก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย หล่อนโง่รึไงที่มาแนะนำจางฉุ้ยเหลียนให้พี่ชายของลูกน่ะ ! ”
กู้จื้อชิวคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องมันจะบังเอิญได้ถึงขนาดนี้ อีกทั้งหล่อนก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนจะทำแบบนี้
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ อันหลงก็รู้สึกราวกับว่าหล่อนไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างมาก “ป้าหลิวของลูกบอกว่า พวกเขาไม่สนใจว่าครอบครัวของฝ่ายชายจะมีฐานะเป็นอย่างไร ขอแค่แม่สามีนิสัยดีก็พอ หล่อนบอกว่าพ่อแม่บุญธรรมของจางฉุ้ยเหลียนกลัวว่าแม่สามีจะมารังแกลูกสาวของพวกเขา เสี่ยวชิว ลูกบอกมาสิ แม่เป็นคนแบบนั้นหรือ ? แม่ทำอย่างนั้นกับจางฉุ้ยเหลียนหรือ ? ทำไมแม่กลายเป็นแม่สามีที่รังแกลูกสะใภ้ไปได้ล่ะ ! ”
กู้จื้อชิวจะหัวเราะก็ไม่เชิงหรือจะร้องไห้ก็ไม่เชิง ที่แท้แม่ของหล่อนก็โกรธเพราะเรื่องนี้นี่เอง “แม่ ! พวกเขาก็ไม่ได้บอกว่าแม่เป็นแม่สามีที่รังแกลูกสะใภ้เสียหน่อย และการที่พวกเขาหาครอบครัวทางฝ่ายสามีที่ดีให้กับพี่ฉุ้ยเหลียนมันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ แม่ก็เห็นว่าชีวิตของพี่ฉุ้ยเหลียนเกิดมามีแต่โดนรังแก การที่พวกเขาจะหาแม่สามีที่ดี มันก็สมเหตุสมผลแล้วไม่ใช่หรือคะ ! ”
เมื่อพูดมาตรงนี้ กู้จื้อชิวก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อว่า “ไอ้หยา พี่ฉุ้ยเหลียนเลิกกับพี่ชายของหนูแล้วจริง ๆ หรือเนี่ย ? ”
เมื่ออันหลงได้ยินดังนั้น หล่อนก็เบะปากและพูดออกไปว่า “เหอะ ! การที่พวกเขาหาคนรักใหม่แบบนี้ มันก็ไม่ได้แปลว่าเธอเลิกกับพี่ชายของลูกแล้วหรือ ! แม่มองเด็กคนนี้ผิดไปจริง ๆ ถึงอย่างไรพวกเขาก็อยู่กันไม่ยืดหรอก เธอไม่เหมาะสมกับพี่ชายของลูกเลยสักนิด เลิกก็เลิกสิ ! ”
พูดอย่างกับว่ามันเป็นความผิดของจางฉุ้ยเหลียนอย่างนั้นแหละ กู้จื้อชิวขมวดคิ้วและถามออกไปว่า “แม่ อย่าไปโทษคนอื่นเลย เป็นเพราะแม่โกรธพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของพี่ฉุ้ยเหลียนและบอกให้พวกเขาเลิกกันไม่ใช่หรือ แล้วตอนนี้พี่ฉุ้ยเหลียนหาคนรักใหม่ แม่ก็ไม่พอใจอีก แม่ต้องการอะไรกันแน่ ? ”
เมื่ออันหลงได้ยินคำพูดของลูกสาว หล่อนก็คิดว่าตัวเองนั้นทำเกินไปจริง ๆ แต่เนื่องจากหล่อนเป็นผู้ใหญ่ การที่หล่อนจะโวยวายและอารมณ์เสียออกมาสักนิดสักหน่อยมันจะเป็นไรไป ลูกชายของหล่อนโกรธหล่อนก็เพราะเรื่องนี้ เขาโกรธหล่อนจนทำให้หล่อนคิดว่าความรักของพวกเขามันสำคัญยิ่งกว่าทองคำเสียอีก ใครจะคิดว่าลูกชายของหล่อนจะโมโหมากขนาดนี้ นี่มันก็เหมือนกับเป็นการตบหน้าของหล่อนอย่างไรอย่างนั้น
“ไอ้หยา แม่ ! ” กู้จื้อชิวเริ่มพูดโน้มน้าวอันหลงออกไปว่า “แม่ได้ยินเรื่องนี้ออกมาจากปากของพี่ฉุ้ยเหลียนเองหรือ ? บางทีอาจจะเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของพี่ฉุ้ยเหลียนก่อเรื่องขึ้นมาอีกก็ได้นะ ? แม่ลองคิดถึงพ่อแม่บุญธรรมและพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของพี่ฉุ้ยเหลียนสิ พวกเขาต่างก็มีอายุมากแล้ว ขนาดบางเรื่องที่พวกเขาทำ พี่ฉุ้ยเหลียนก็ยังไม่รู้เลย แม่จะมาตัดสินพี่ฉุ้ยเหลียนแบบนี้ไม่ได้ มันไม่ยุติธรรมเลยนะ”
อันหลงคิดว่าสิ่งที่กู้จื้อชิวพูดมามันดูสมเหตุสมผล แต่เมื่อหล่อนคิดถึงสถานการณ์ภายในครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว ถ้าผู้ใหญ่ในบ้านของเธอเอาแต่สร้างปัญหาแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ชีวิตนี้ก็คงจะไม่มีความสุขแล้วล่ะ
“ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แม่ก็ยิ่งไม่เห็นด้วย พี่ชายของลูกเป็นคนดีและยอมคนมากเกินไป ถ้าเขาได้แม่ยายแบบนั้นล่ะก็ เขาจะต้องทรมานมากแน่ ๆ แม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะมีข้อดีมากมาย แต่มันก็สู้เรื่องน่าปวดหัวของครอบครัวเธอไม่ได้เลย ตอนนี้เธอหาคนรักใหม่ก็ดีแล้วล่ะ พี่ชายของลูกจะได้ตัดใจเสียที” และเขาก็จะได้ไม่มาตำหนิหล่อนอีกว่าเป็นคนบังคับให้พวกเขาเลิกกัน เพราะครั้งนี้ก็เป็นปัญหาของพวกเขาเอง
อันหลงหาวิธีมาปลอบใจตัวเอง และหล่อนก็วิธีที่จะทำให้ลูกชายของหล่อนหายจากอาการจิตใจห่อเหี่ยวได้แล้ว ไม่ช้าก็เร็วหล่อนก็จะเริ่มดูตัวผู้หญิงให้มาแต่งงานกับกู้จื้อเฉิงอย่างจริงจังแล้วเหมือนกัน และผู้หญิงคนนั้นจะต้องดีกว่าจางฉุ้ยเหลียนด้วย
ผู้หญิงคนนั้นจะต้องจบจากมหาวิทยาลัย เพราะจางฉุ้ยเหลียนจบแค่วิทยาลัยเท่านั้น อีกทั้งพื้นหลังทางครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นจะต้องเรียบง่าย เพราะพื้นหลังทางครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนนั้นซับซ้อนเกินไป
หาไปหามา สุดท้ายอันหลงก็ไปเจอหญิงสาวคนหนึ่ง หล่อนเรียนแพทยศาสตร์อีกทั้งหล่อนก็อายุเท่ากันกับกู้จื้อเฉิงอีกด้วย ถ้านับตามแบบซวีซุ่ยตอนนี้หล่อนก็อายุ 28 ปี ถึงแม้ว่าหล่อนจะเป็นหญิงสาวที่อายุเริ่มเยอะแล้ว แต่มันก็มีเหตุผล ด้วยความที่หล่อนต้องเรียนมาตลอด แค่หล่อนเรียนคณะแพทยศาสตร์ก็ใช้เวลา 5 ปีแล้ว จากนั้นหล่อนก็ยังไปเรียนปริญญาโทอีก 3 ปี
พอคิดมาถึงตรงนี้ อันหลงก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที ตอนนั้นหล่อนไม่คิดเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนจะมาคบกับลูกชายของหล่อน ในตอนนั้นที่ลูกชายของหล่อนเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล จางฉุ้ยเหลียนก็เข้าเรียนวิทยาลัยพอดี ถ้าตอนนั้นหล่อนให้ลูกชายของหล่อนแต่งงาน ตอนนี้หล่อนก็คงจะได้อุ้มหลานแล้ว
กู้จื้อเฉิงเสียเวลา 2 ปีไปอย่างเปล่าประโยชน์ เพราะสุดท้ายเขาก็ต้องเลิกกับจางฉุ้ยเหลียนอยู่ดี ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย หลังจากที่เธอเรียนจบอายุของเธอก็ยังน้อย แต่ลูกชายของหล่อนไม่ใช่แบบนั้น ในตอนนี้เขาก็อายุมากแล้ว อีกทั้งยังทำงานอยู่แต่ในกรมทหาร การที่เขาได้คบกับผู้หญิงสักคนนั่นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ดังนั้นหลังจากที่จ้าวเชิงหนานนักศึกษาแพทย์คนนั้นตอบตกลงที่จะมาดูตัวกับกู้จื้อเฉิง โลกของหล่อนก็รู้สึกสดใสขึ้นมาทันที
พอคิดว่าชายหยาบกระด้างอย่างกู้จื้อเฉิงที่เรียนจบเพียงชั้นมัธยมปลาย สามารถหาภรรยาเป็นคนมีการศึกษาขนาดนั้นได้ ตระกูลกู้ของพวกเขาช่างมีบรรพบุรุษที่ดีจริง ๆ ที่ทำให้พวกเขาได้ลาภก้อนโตแบบนี้
และถ้าจ้าวเชิงหนานคนนี้ยังอยู่ในเมืองต่อไป หล่อนจะต้องได้เข้าไปทำงานในโรงพยาบาลสามอันดับแรกอย่างแน่นอน ไม่แน่ผ่านไปอีกไม่กี่ปีหล่อนก็อาจจะกลายเป็นหัวหน้าศัลยแพทย์เลยก็ได้ พออายุได้ประมาณ 40 ปี หล่อนก็น่าจะได้เลื่อนขั้นไปเป็นผู้อำนวยการ ต่อมาพอหล่อนอายุได้ 50 ปี หล่อนก็อาจจะได้เป็นรองคณบดี ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย ใครจะรับประกันได้ล่ะว่าชาตินี้คนเราจะไม่เจ็บป่วย ? และคนในครอบครัวก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วยถ้ามีผู้เชี่ยวชาญอยู่ข้างกายตลอดเวลาแบบนี้
ยิ่งคิดอันหลงก็ยิ่งฮึกเหิมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดหล่อนก็จะได้มีลูกสะใภ้มาอยู่ข้างกายหล่อนแล้ว ดูสิว่าพวกญาติทางฝั่งสามีของหล่อนที่ชอบนินทาและไร้การศึกษาพวกนั้นจะว่าอย่างไร หล่อนจะระบายความโกรธที่อัดอั้นมาทั้งชีวิตนี้ของหล่อนออกมาให้หมดเลย
ทางด้านของกู้จื้อเฉิงที่เพิ่งจะส่งจดหมายไปให้กับจางฉุ้ยเหลียน แม่ของเขาก็โทรศัพท์หามาเขาที่กรมทหาร หล่อนไม่ได้พูดอะไรทางโทรศัพท์ หล่อนบอกเพียงแค่ว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่บ้านและขอให้เขารีบกลับบ้านโดยด่วนเพียงเท่านั้น
อันหลงเป็นภรรยาของทหาร และทั้งชีวิตนี้หล่อนก็ไม่เคยทำเรื่องขายหน้าให้กับกู้เต๋อไห่เลย แม้ว่าบางคนจะไม่คุ้นเคยกับผู้หญิงที่มีฐานะทางบ้านดีอย่างหล่อน แต่โดยทั่วไปหล่อนก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ อีกทั้งหล่อนก็ยังดูมีการศึกษามากอีกด้วย
ณ ตอนนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนในตระกูลกู้ที่เทียบกับอันหลงได้อีกแล้ว และมันก็เป็นสิ่งที่กู้เต๋อไห่ยกย่องหล่อนมากที่สุดอีกด้วย ด้วยเหตุนี้กู้จื้อเฉิงจึงจึงรู้สึกตกใจกับการโทรมาของแม่ของเขาเป็นอย่างมาก
เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาในบ้าน เขาก็เห็นแม่ของเขากำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่บนโซฟาตัวหรู และหลังจากที่ได้ยินแม่ของเขาบอกว่ากาแฟขมมาก ใบหน้าของกู้จื้อเฉิงก็เปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬขึ้นมาทันทีทันใด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของเขาถึงต้องโกหกเขาด้วย
อันหลงรู้ดีว่าลูกชายของตัวเองกำลังโกรธ หล่อนจึงรีบอธิบายออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนั้นแม่เป็นลมน่ะ แม่ปวดหัวใจมาก หมอบอกว่าคนอายุมากน้ำตาลในเลือดต่ำก็เป็นเรื่องปกติ แต่เพราะแม่เป็นแม่ของลูก ในสมองของแม่ก็เลยคิดถึงแต่หน้าลูกทั้งสองคน ถ้าเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น แม่ก็ยังไม่อยากตาย ”
เมื่อกู้จื้อเฉิงได้ยินสิ่งที่แม่ของเขาพูด เขาก็ไม่ได้รู้สึกโมโหอีก เขาถอดรองเท้าอย่างเงียบ ๆ จากนั้นจึงถอดเสื้อตัวนอกของเขาออกและแขวนมันไว้ตรงเสา เขาเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ อันหลง และถามออกไปด้วยความกังวลว่า “แล้วตอนนี้แม่เป็นยังไงบ้างครับ ? ทำไมแม่ถึงเป็นลมได้ล่ะ ? แล้วน้ำตาลในเลือดต่ำมันคืออะไร ? ”
อันหลงจึงตอบกับไปอย่าง ‘อ่อนแรง’ว่า “มันก็เป็นโรคปกติทั่วไปของคนแก่นั่นแหละ น้ำตาลในเลือดต่ำก็ทำให้เป็นลมได้ แม่ไปโรงพยาบาลมาแล้ว หมอก็ไม่ได้บอกอะไร แต่เหตุการณ์นั้นมันทำให้แม่กลัวมาก ดวงตามืดมนมองอะไรไม่เห็น หัวใจก็เต้นแรง และมือก็หยุดสั่นไม่ได้ แม่กลัวตายมากจริง ๆ ”
กู้จื้อเฉิงขมวดคิ้ว และเขาโกรธหมอที่เมินเฉยต่ออาการของแม่ของเขา “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะครับ แม่จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง ? หมอคนนั้นอยู่โรงพยาบาลไหนครับ ? แม่ไปให้หมอตรวจดูอีกรอบหนึ่งดีไหม ? ”
อันหลงพูดออกมาอย่างยิ้ม ๆ “ไอ้หยา เด็กโง่ แม่ก็บอกแล้วว่ามันไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร เป็นแม่ที่กลัวตายเท่านั้นเอง แต่ในตอนนั้นในใจของแม่มันก็ร่ำร้องออกมาว่าแม่ยังตายไม่ได้ เพราะลูกชายและลูกสาวของแม่ยังไม่ได้แต่งงาน ถ้าแม่ตายไปแล้ว พวกลูก ๆ จะทำยังไงล่ะ! ”
“ไอ้หยา แม่อย่าพูดจาเหลวไหลแบบนั้นสิครับ แม่ต้องอยู่จนถึงอายุ 100 ปีแน่นอน ! ” กู้จื้อเฉิงเป็นลูกชายที่กตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ เขารู้ดีว่าตอนนี้แม่ของเขาแค่พูดจาเหลวไหลเท่านั้นเอง แต่เมื่อเขานึกถึงแม่ของเขาในหลาย ๆ กรณี เขาที่เป็นลูกชายไม่สามารถอยู่เคียงข้างหล่อนได้ตลอดเวลา มันจึงทำให้เขารู้สึกผิด จากนั้นดวงตาของเขาก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา
อันหลงที่เห็นลูกชายของตัวเองที่ปกติก็พูดน้อยอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งนิ่งเงียบมากขึ้นไปอีก หล่อนจึงรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ หล่อนยื่นมือออกไปลูบหัวของกู้จื้อเฉิงและพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ลูกชายของแม่ แม่ขอโทษนะ เพราะความโกรธของแม่ที่ไม่สามารถอดทนต่อความหยาบคายของคนอื่นที่มีต่อลูกได้ การที่แม่ขัดขวางความรักของลูก และทำให้ลูกต้องเสียใจ ! ”
กู้จื้อเฉิงก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อเขาได้ยินแม่ขอโทษตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าแม่ของเขาเอนกายบนโซฟาอย่างอ่อนแรงและลูบศีรษะของเขาอย่างนี้ด้วยแล้ว ตอนนี้มันก็เหมือนกับว่ามีบางอย่างมาทุบที่หน้าอกของเขาอย่างแรงอย่างไรอย่างนั้น เขาก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกโกรธตัวเอง และพูดออกไปเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ! ”
“ลูกแม่ แม่รู้จักหมอคนหนึ่ง หล่อนเป็นคนดีมากเลยนะ ลูกลองไปดูตัวกับหล่อนหน่อยสิ ลูกจะชอบหรือไม่ชอบหล่อนก็แล้วแต่ลูก ลูกก็คิดเสียว่าทำเพื่อแม่แล้วกันนะ ถ้าลูกไม่เห็นด้วย แม่ก็จะไม่บังคับอะไรลูก”
เมื่อแม่พูดอย่างนี้แล้ว ใครจะปฏิเสธได้ล่ะ ? นี่มันก็ไม่ใช่การแต่งงานสักหน่อย แค่ไปเจอหน้าหมอคนนั้นแล้วพูดสองสามประโยคเท่านั้นเอง ตอนนั้นที่เขาพูดสั่งสอนจางฉุ้ยเหลียน ในตอนนี้มันก็กลับคืนสนองตัวเขาเอง !
MANGA DISCUSSION