ตอนที่ 104 เข้าใจผิด
ทางด้านครอบครัวตระกูลจางตอนนี้ พวกเขาก็กำลังมีความสุข แต่พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าทางด้านของเซี่ยจวินตอนนี้ไฟลนก้นไปหมดแล้ว และมันก็ไม่ใช่แค่เซี่ยจวินเพียงเท่านั้น เพราะแม้แต่จางฉุ้ยเหลียนเองก็ยังติดต่อกับกู้จื้อเฉิงไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้มันคือสถานการณ์อะไรกันแน่ ? ถ้าบอกว่าพวกเขาทั้งสองคนคบกัน แต่คนในครอบครัวก็ไม่เห็นด้วย อีกทั้งพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันด้วย แล้วถ้าบอกว่าพวกเขาไม่ได้คบกัน แล้วการที่อีกฝ่ายยังฝากสมุดเงินฝากของตัวเองให้ที่จางฉุ้ยเหลียนมันหมายความว่าอย่างไร ?
หรือมันอาจจะเป็นเพราะพ่อแม่ทุกคนบนโลกใบนี้ก็เหมือนกันหมด พวกเขามักจะคิดว่าลูกของตัวเองนั้นยังเป็นเด็กอยู่เสมอ ไม่ว่าลูกของตัวเองจะอายุเท่าไหร่ หรือลูกของพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีมากแค่ไหน
ไม่ใช่ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะไม่อยากติดต่อไปหากู้จื้อเฉิง แต่เธอแค่ไม่มีโอกาสก็เท่านั้น เพราะเวลาที่พวกเขาออกไปฝึกทหาร ก็จะมีแค่ฝั่งของกู้จื้อเฉิงเท่านั้นที่จะสามารถติดต่อกับเธอได้ และนั่นก็หมายความว่า ถ้ากู้จื้อเฉิงยังฝึกไม่เสร็จ เธอก็ทำได้เพียงแค่ทำใจใช้ชีวิตรออีกฝ่ายติดต่อมาเท่านั้น และความเคยชินเช่นนี้ ก็เป็นประสบการณ์ของเธอจากชาติที่แล้ว ถึงแม้ว่าบ้านจะไฟไหม้หรือมีว่าคนที่บ้านตาย จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่สามารถติดต่อไปหาเขาก่อนได้ กู้จื้อเฉิงเองก็พอเข้าใจเรื่องนี้อยู่พอสมควร จางฉุ้ยเหลียนเคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้แล้ว ดังนั้นเธอจะไม่โง่ทำแบบนั้นอีก
เวลาล่วงเลยมาจนถึงปลายเดือนมิถุนายน สภาพอากาศในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มร้อนและแห้งแล้งแล้ว ลูกชายคนเล็กของเกาจื้อกั๋วเพื่อนทหารของเซี่ยจวินกำลังจะแต่งงาน เขาจึงชวนให้เซี่ยจวินมางานแต่งงานของลูกชายของเขา
และนี่ก็เป็นงานแต่งงานสุดท้ายของบ้านตระกูลเกา พวกเพื่อน ๆ ทหารของเขาจึงพากันมาร่วมงานจากทั่วทุกสารทิศ ความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี ทำให้เซี่ยจวินออกไปดื่มเหล้าสังสรรค์กับพวกเพื่อน ๆ ทหารของเขาแทบทุกวัน
ในงานแต่งเซี่ยจวินก็ได้เจอกับกัวเจี้ยนจวิน เด็กหนุ่มคนนี้คือคนที่เกาจื้อกั๋วเคยพามาดูตัวที่บ้านของเขา พอคิดไปถึงช่วงเวลานั้นลูกสาวของเขาก็ยังไม่ได้รู้จักกับตระกูลกู้เลย และเขาก็ยังจำคำปฏิเสธประโยคนั้นที่จางฉุ้ยเหลียนพูดกับฟู่ซินได้ “ฉันอยากจะมีคนรักเป็นทหารที่ยังประจำการอยู่เท่านั้น”
ทันใดนั้นหัวใจของชายชราก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เขาใช้โอกาสในขณะที่กำลังดื่มเหล้าสังสรรค์กันอยู่นี้ถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของกัวเจี้ยนจวินทันที ด้วยความที่กัวเจี้ยนจวินก็เริ่มเมาแล้ว และงานแต่งงาของลูกชายของหัวหน้าเก่าก็ทำให้เขายุ่งมากด้วย บวกกับการที่เขาได้มาเจอกับเพื่อนเก่า นั่นจึงทำให้เขารู้สึกมีความสุขมาก
แต่ในเวลานี้ที่ได้ยินคำถามของเซี่ยจวิน เขาก็ได้สติกลับมาทันที เมื่อเขานึกไปถึงรูปลักษณ์ที่สวยงามของจางฉุ้ยเหลียน อีกทั้งยังมีขาขาว ๆ เนียน ๆ เรียวยาวใต้ประโปรงนั่นอีก นั่นจึงทำให้เขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “คุณลุงครับ ผมแต่งงานแล้วล่ะครับ”
พอเซี่ยจวินได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที เขาถอนหายใจพร้อมกับบ่นพึมพำออกมาสองสามคำ จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เมื่อกัวเจี้ยนจวินเห็นท่าทางแบบนั้นของเซี่ยจวิน เขาก็ถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมหรือครับคุณลุง ? คุณลุงอยากจะให้ลูกสาวแต่งงานแล้วหรือครับ ? ตอนนี้เธอก็ยังไม่เรียนไม่จบเลย คุณลุงจะรีบร้อนไปทำไมล่ะครับ ? ”
กัวเจี้ยนจวินอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดปฏิเสธที่จางฉุ้ยเหลียนพูดกับเขา และยังมีคำพูดของเกาจื้อกั๋วอีก เขาคิดว่าตระกูลเซี่ยน่าจะไม่ชอบเขา และเขาก็รอให้จางฉุ้ยเหลียนเรียนจบอีก 3 ปีแล้วค่อยแต่งงานไม่ได้ อีกทั้งแม่ของเขาก็ยังบังคับเขาจนไม่มีทางเลือก เขาเลยต้องตัดความคิดที่จะแต่งงานกับจางฉุ้ยเหลียนออกไป
อาจเป็นเพราะเซี่ยจวินอายุมากแล้ว เพราะอย่างนั้นคอของเขาเลยไม่แข็งเหมือนแต่ก่อน เขาเข้ามาคว้าตัวกัวเจี้ยนจวินไว้แล้วเริ่มบ่นให้อีกฝ่ายฟัง แถมยังระบายเรื่องราวในช่วงหลายวันนี้ให้อีกฝ่ายฟังอีกด้วย
กัวเจี้ยนจวินถึงได้รู้ว่า ที่แท้จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้รังเกียจที่เขานั้นเป็นทหารจน ๆ คนหนึ่ง แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าคนรักของจางฉุ้ยเหลียนจะเป็นเพื่อนทหารของเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยเจอกับเพื่อนทหารคนนี้มาก่อน
หลังจากที่เขาได้ฟังว่าเธอไปเจออะไรมาบ้าง เขาก็เริ่มเหงื่อตกแทนเพื่อนทหารที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนคนนั้นขึ้นมาในทันที อย่าว่าแต่ครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะของผู้ชายคนนั้นเลย เพราะแม้แต่หญิงชราในชนบทอย่างแม่ของเขาก็ไม่ชอบการกระทำพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของจางฉุ้ยเหลียนเช่นกัน
กัวเจี้ยนจวินเห็นชายชราดื่มจนเมามายแล้ว เขาก็เลยเดินไปทักทายคนรู้จัก และบอกหัวหน้าเก่าของเขาว่าเขาจะพาเซี่ยจวินไปส่งที่บ้าน คนส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานแต่งในครั้งนี้ก็ล้วนแล้วแต่ใส่ชุดทางการหรือไม่ก็ชุดทหารสีเขียวกันทั้งนั้น และไม่มีใครบ่นหรือพูดจาไร้สาระออกมาแต่อย่างใด
หลังจากที่กัวเจี้ยนจวินรู้ที่อยู่ของเซี่ยจวินแล้ว และเขาก็คิดว่ามันอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก เพราะอย่างนั้นเขาจึงตัดสินใจพาเซี่ยจวินที่สติเริ่มกลับมาค่อย ๆ เดินพาเขากลับไปที่บ้าน และเขาก็ยังต้องคอยจัดการกับคำพูดที่เกิดจากความมึนเมาของเซี่ยจวินอีกด้วย
เซี่ยจวินเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความไม่พอใจในครอบครัวของกู้จื้อเฉิงออกมาอย่างช้า ๆ จากนั้นก็เปลี่ยนไปพูดถึงความไม่น่าเชื่อถือและความน่ารำคาญของเช่าหวาและจางกว่างฝูและสุดท้ายเขาก็เริ่มบ่นว่ากัวเจี้ยนจวินไม่มีโชคเอาเสียเลย อีกทั้งยังบ่นอีกว่าลูกสาวของเขาจางฉุ้ยเหลียนนั้นเป็นคนดีอย่างโน้นดีอย่างนี้
ก่อนหน้านี้กัวเจี้ยนจวินก็คิดว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นเพียงแต่นักศึกษาธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ถึงแม่ว่าเธอจะเก่งแค่ไหน ก็คงจะเป็นแค่คนที่อ่านหนังสือมากกว่าเขาสองสามเล่มเท่านั้น
แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าเซี่ยจวินจะเล่าถึงเรื่องราวชีวิตช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ของจางฉุ้ยเหลียนออกมาให้เขาฟังอย่างหมดเปลือก ในตอนแรกเธอถักเสื้อไหมพรมขายเพื่อหาเงิน ต่อมาเธอก็หาเงินด้วยการเขียนบทความและเขียนนิยายเรื่องสั้น อีกทั้งตอนนี้นิยายของเธอก็ได้รับการตีพิมพ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่บ้านของเขาในตอนนี้ก็มีหนังสือของจางฉุ้ยเหลียนอยู่หลายเล่ม เซี่ยจวินยังบอกเขาอีกว่าจางฉุ้ยเหลียนนำเงินที่ได้จากการเขียนบทความและนิยายของตัวเองไปลงทุนเปิดโรงงานเหมืองทรายร่วมกับเพื่อนของเธอ ถึงแม้จะพูดไม่ได้ว่าจะมีเงินทองไหลมาเทมามากเท่าไหร่ แต่ในอนาคตมันก็จะเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน
กัวเจี้ยนจวินใจเต้นแรงขึ้นมาทันที เขารู้สึกเหมือนมุมมองทั้งสามด้านของเขาโดนเซี่ยจวินทำลายจนหมด บ้านของเขามีฐานะยากจน อีกทั้งยังมีพี่น้องหลายคน แม่ของเขาเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง เพราะหล่อนสามารถแบ่งเงินหนึ่งก้อนออกมาเป็นแปดส่วนเพื่อนำมาใช้จ่ายได้
ผู้หญิงในอุดมคติของเขามีอยู่สองประเภท หากไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์และสงบเสงี่ยมพูดน้อยเหมือนภรรยาของเขา ก็คงจะเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยเด็ดเดี่ยวเหมือนกับแม่ของเขา เพราะหล่อนสามารถจัดการเรื่องภายในบ้านและนอกบ้านทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว
เขารู้ว่านักศึกษามหาวิทยาลัยก็ดี พอเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้วก็จะมีงานที่ดีทำ แต่แม่ของเขารอให้จางฉุ้ยเหลียนเรียนจบไม่ไหว และหล่อนก็กลัวว่าหลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเรียนจบแล้ว เธอจะไปทำงานในที่ห่างไกลและยืดเวลาที่จะได้แต่งงานของเขาออกไปอีก อีกทั้งเขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า คนที่มีนิสัยอยากควบคุมลูกชายทุกคนให้อยู่หมัดอย่างแม่ของเขา ถ้าหล่อนได้ลูกสะใภ้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย หล่อนก็กลัวว่าจะควบคุมลูกสะใภ้ไม่อยู่
ตอนนั้นเขาชอบจางฉุ้ยเหลียนจากใจจริง แต่หลังจากที่เขาได้แต่งงานกับภรรยาของเขาแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกชอบเธอในเชิงชู้สาวแบบนั้นอีก ความรู้สึกแบบนั้นมันคืออะไรอย่างนั้นหรือ? มันก็คงจะเหมือนกับได้เจอกับเด็กสาวที่เปล่งแสงออร่าออกมา แม้จะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย เธอก็ยังดูดีกว่าคนอื่น และเพียงแค่คิดถึงเธอ มันก็ทำให้ใจของเขารู้สึกมีความสุขและมีแรงทำงานขึ้นมาในทันที
แต่สิ่งที่เขากังวลกว่านั้นก็คือ ถ้าหากว่าเขาได้แต่งงานกับนักศึกษามหาวิทยาลัยในตัวเมืองที่ดูดีคนนี้ ในขณะที่เขาต้องทำงานอยู่แต่ในกรมทหาร แต่เธอกลับมีชีวิตที่สนุกสนานอยู่ข้างนอก ชีวิตคู่ของเขาและเธอจะสงบสุขไหม และพวกเขาทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกันได้นานแค่ไหนกัน ? กัวเจี้ยนจวินไม่มั่นใจเลยจริง ๆ เพราะอย่างนั้นหลังจากลองครุ่นคิดดูแล้ว เขาจึงตัดความคิดที่ไม่คู่ควรนี้ออกไป
และในขณะที่เขากำลังเดินไปส่งเซี่ยจวินที่บ้านอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเรื่องราวชีวิตของจางฉุ้ยเหลียน ในใจรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก เขามีความรู้สึกราวกับว่าลูกของตัวเองเทียบกับลูกของคนอื่นไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น
แต่สิ่งที่เขาคิดนั้นก็ไม่ใช่ลูก แต่เป็นภรรยาของเขา กัวเจี้ยนจวินไม่มีอารมณ์ที่จะฟังสิ่งที่เซี่ยจวินพูดแล้ว เขาเริ่มเสียใจที่ตอนนั้นตัวเองไม่มีความกล้ามากพอ หากเขาทนแรงกดดันจากแม่ของเขาได้ และรอดูสถานการณ์ในอีกสามปีข้างหน้า บางทีจางฉุ้ยเหลียนอาจจะกลายมาเป็นภรรยาของเขาไปแล้วก็ได้
แต่กัวเจี้ยนจวินกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนยังไม่คิดอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำ แม่ของเขาก็เห็นว่าเธอเป็นศัตรูตัวฉกาจของหล่อนแล้ว อีกทั้งตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็มีชีวิตที่ดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน แล้วแม่ของเขาจะยอมให้เธอแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ในบ้านได้อย่างไรล่ะ ?
และในเวลานี้เองจู่ ๆ คนตายยากก็ปรากฎตัวออกมา กู้จื้อเฉิงเดินออกมาจากร้านอาหารแห่งหนึ่ง และตอนนี้เขาก็กำลังยืนคุยกับผู้หญิงรูปร่างดีคนหนึ่ง ท่าทางของพวกเขาทั้งสองคนก็ดูสนิทสนมกันมาก
เมื่อเซี่ยจวินเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านอาหารพอดี ทั้งสองคนเดินไปยิ้มไป เมื่อเห็นดังนั้น เซี่ยจวินจึงอดที่จะถามออกไปอย่างไม่เชื่อสายตาไม่ได้ว่า “พ่อหนุ่ม นายเห็นนายทหารกับผู้หญิงตรงนั้นไหม ? ”
กัวเจี้ยนจวินพยักหน้าเป็นการตอบรับ “เห็นครับ ! ”
ทันใดนั้นจู่ ๆ เซี่ยจวินก็โมโหขึ้นมา “ฉันไม่ได้ตาฝาดไปเองใช่ไหม ! ”
กัวเจี้ยนจวินรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก เขาเลยมองไปที่แผ่นหลังของร่างสูงใหญ่ที่เดินอยู่ด้านหน้าของพวกเขา จากนั้นเขาก็หันไปถามเซี่ยจวินด้วยความแปลกใจว่า “คุณลุงครับ เขาเป็นใครหรือครับ ? ”
เซี่ยจวินบันดาลโทสะขึ้นมาทันที เขาถุยน้ำลายออกมาด้วยความร้อนรน “ใครอย่างนั้นหรือ ? ก็จะเป็นใครซะอีกล่ะ ก็คนรักของจางฉุ้ยเหลียนไง ฉันว่าแล้วทำไมถึงไม่ติดต่อมานานขนาดนี้ ที่แท้ก็ไปมีคนอื่นนี่เอง ! ”
กัวเจี้ยนจวินคลี่ยิ้ม เขาค่อย ๆ ขมวดคิ้วแล้วพูดตามสิ่งที่เขาคิดออกมา “อา ผู้ชายคนนั้นคือคนรักของน้องฉุ้ยเหลียนอย่างนั้นหรือครับ” เมื่อดูจากภายนอกแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรแตกต่างจากเขาเท่าไหร่เลย แล้วทำไมตอนนั้นเธอถึงไม่ชอบเขาล่ะ เขาคิดขึ้นมาโดยที่ตัวเองก็ลืมไปเลยว่า ในตอนนั้นครอบครัวของเขาก็คัดค้านเช่นกัน
กัวเจี้ยนจวินยังมีความคิดเหมือนกับคนในชนบท เขายังคิดว่าเรื่องภรรยาเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สำคัญอะไร ก็แค่คนซักผ้า ทำอาหาร ดูแลลูก และดูแลคนแก่เท่านั้น และการที่เขาได้ภรรยาที่หน้าตาดี มันก็แค่ทำให้เขารู้สึกดีมากขึ้นก็เท่านั้น ดังนั้นเขาเลยพูดออกไปประมาณว่าการแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคน ต้องเป็นแม่ที่สามารถดูแลและอบรมสั่งสอนลูกได้ หรือจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคู่อย่างการที่ทั้งสองคนจะต้องสามารถพูดคุยเข้าขากันได้
ความจริงแล้วมันก็เป็นแค่เรื่องไร้สาระ เพราะถ้าหากว่ากัวเจี้ยนจวินเป็นเหมือนกับกู้จื้อเฉิงที่เป็นคนจริงใจและห่วงใยฝ่ายหญิงจริง ๆ เขาก็จะไม่ถูกผู้เป็นแม่โน้มน้าวได้ด้วยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำแบบนี้หรอก
ในเวลานี้ที่กัวเจี้ยนจวินเมื่อได้ยินข้อดีต่าง ๆ ของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว เขาก็เริ่มปวดใจกับความคิดของตัวเอง ถ้าไปกันรอด ตอนนี้คนที่เขาแต่งงานด้วยก็อาจจะเป็นจางฉุ้ยเหลียนก็ได้
โดยเฉพาะเมื่อเขาได้เจอกับกู้จื้อเฉิงแล้ว เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีไปกว่าเขาเลย โดยเฉพาะยศทางการทหารของพวกเขาทั้งสองคนก็เท่ากัน และความสามารถด้านอื่น ๆ ก็คงจะไม่มีอะไรโดดเด่นเหมือนกัน
เซี่ยจวินถูกกัวเจี้ยนจวินพาตัวกลับมาที่บ้านด้วยอาการมึนเมาเล็กน้อย โชคดีที่เซี่ยจวินยังไม่เมาถึงขนาดหมดสติ เขาไม่กล้าบอกจางฉุ้ยเหลียนว่าเมื่อกี้เขาเห็นอะไรมา ทำเพียงแค่ด่าทอกู้จื้อเฉิงออกไปเพียงเท่านั้น
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกประหลาดใจกับการปรากฎตัวอย่างกระทันหันของกัวเจี้ยนจวิน เธอจึงไม่ได้เอะใจกับคำด่าทอของเซี่ยจวินเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ในชาตินี้ กัวเจี้ยนจวินก็มาสารภาพรัก อีกทั้งยังสร้างความทรงจำที่แปลกใหม่ให้กับจางฉุ้ยเหลียน เพราะเธอมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับกู้จื้อเฉิงภายในใจอยู่แล้ว เธอจึงต้องปฏิเสธเขาไป และด้วยความที่เธอและกู้จื้อเฉิงเคยทะเลาะกันด้วยเรื่องของฟู่ซินมาแล้ว เธอจึงไม่อยากให้การปรากฏตัวของกัวเจี้ยนจวินในครั้งนี้มาทำลายความสัมพันธ์ของเธอกับกู้จื้อเฉิงอีก
และก็เป็นโชคดีที่ตงลี่หวาเป็นคนปากไว เพียงแค่หล่อนถามออกไปไม่กี่ประโยค พวกเธอก็ได้รู้ว่าตอนนี้กัวเจี้ยนจวินแต่งงานแล้ว เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และคุยกับเขาได้อย่างสบายใจมากขึ้นกว่าเดิม
กัวเจี้ยนจวินมองเรือนร่างจางฉุ้ยเหลียนในเวลานี้ เธอสวยยิ่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัว บางทีอาจเป็นเพราะการที่เธอได้เข้าเรียนวิทยาลัย อีกทั้งยังหาเงินได้ด้วยตัวเอง ออร่าที่เปล่งประกายออกมาจากตัวของเธอ จึงไม่เหมือนกับภรรยาที่บ้านของเขาเลยแม้แต่น้อย
ท่าทาง หน้าตา และการกระทำอันมั่นใจเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนที่สุด กัวเจี้ยนจวินคิดถึงภรรยาที่บ้านของตัวเอง หล่อนก็มีอายุห่างจากจางฉุ้ยเหลียนไม่มาก แต่คำพูดคำจากลับฟังดูบ้านนอก อีกทั้งท่าทางของหล่อนก็ดูไม่เหมือนกับคนเรียบร้อย เทียบไม่ได้กับผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้เลยแม้แต่น้อย พอคิดมาถึงตรงนี้กัวเจี้ยนจวินก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที
แต่เสียใจไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อเขาแต่งงานแล้ว เขาจะหย่าได้อย่างไร อีกอย่างพวกเขาก็มีลูกด้วยกันแล้ว เพราะอย่างนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้หรอก
กัวเจี้ยนจวินได้แต่กดความรู้สึกเสียดายนี้เอาไว้ จากนั้นเขาก็รีบเดินออกไปจากบ้านตระกูลเซี่ยทันที
ทางด้านเซี่ยจวินเขาก็ไม่ได้ลืมสิ่งที่เขาได้เห็นแต่อย่างใด เช้าวันรุ่งขึ้นเขาจึงไปพิสูจน์ในสิ่งที่เขาเห็นเมื่อวานตั้งแต่เช้าตรู่ นั่นก็คือเรื่องที่ว่ากู้จื้อเฉิงมีความสัมพันธ์อะไรกับผู้หญิงคนนั้น และเขาคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นอะไรสำหรับเขากันแน่?
MANGA DISCUSSION