ตอนที่66 : แม่และลูกสาว
“อยู่ต่อหน้าฉันเหรอ… ไม่ๆๆ ฝ่ายตรงข้ามเป็นครอบครัวนะ ไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอก…”
“จริงๆเหรอ…?”
เธอวางมือลงบนเข่าผมอย่างไม่มั่นใจแล้วถามขึ้นมา
“จริงสิ การที่รักครอบครัวมันเป็นเรื่องดีนี่นา… หรือพูดให้ถูกคือ พอได้รู้จักมุมใหม่ๆของเธอแล้วฉันกลับดีใจซะมากกว่าอีก…”
ถ้าไม่นับพ่อ ผมก็คือรักแรกของเธอ นี่เป็นความจริงที่ทำเอาฉันแทบจะกระโดดดีใจมันซะตรงนี้เลยด้วยซ้ำ
แต่แน่นอนว่าผมไม่ทำแบบนั้นหรอก
“งั้น… ถึงมันก็น่าอายหน่อย แต่… ก็อยากให้นายได้รู้จักฉันมากกว่านี้อีก…”
เธอพูดพร้อมกับเบียดร่างเข้ามาอ้อน
“เอ่อ… คุณแม่เธอก็อยู่ตรงนี้ด้วยนะ ถ้าเป็นไปได้ช่วยเบาๆหน่อยสิ…”
“ไม่เอา ถ้าไม่ให้ทำก็ห้ามดูมองอัลบั้ม…”
“เรย์ยะคุงดูเหมือนจะลำบากกว่านาโอกิคุงเยอะเลยนะ…”
คุณแม่ของเธอพูดพลางหัวเราะออกมา ครึ่งหนึ่งก็เหนื่อยใจ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็ยินดี
หลังจากนั้น พวกเราก็นั่งดูอัลบั้มรูปพร้อมฟังเรื่องราวของฮิคารุจากมุมมองของแม่เธอ
เรื่องราวในช่วงเวลาที่ผมไม่รู้จักเธอมาก่อน รวมถึงเรื่องความสำเร็จต่างๆในวงการเทนนิสของเธอ
ถึงแม้ฮิคารุจะมีท่าทีเขินอายเป็นบางครั้ง แต่สุดท้ายแล้วเธอก็สนุกกับการเล่าเรื่องราวของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
“อ๊ะ เวลาตั้งขนาดนี้แล้ว… ต้องเตรียมอาหารเย็นแล้วล่ะ เรย์ยะคุงกินข้าวเย็นด้วยกันใช่ไหม?”
“เอ๊ะ? ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ครับ…”
“อย่าปฏิเสธเลยนะ คนเยอะๆมันสนุกกว่านี่นา? ช่วงนี้นาโอกิคุงออกไปทำงานต่างจังหวัด ส่วนไทจูก็ออกจากบ้านไปแล้วด้วย”
“งะ-งั้นก็… ขอรบกวนด้วยครับ…”
“งั้นฮิคารุช่วยแม่หน่อยนะ? อยากให้เขาได้ชิมฝีมือของเราใช่ไหมล่ะ?”
“อื้ม!”
ทั้งสองคนลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องครัว
“ฟู่…”
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วลูบหน้าอกตัวเองอย่างโล่งอก
ตื่นเต้นสุดๆเลย…
แต่ถึงจะตื่นเต้นมากขนาดนี้ ผมก็ได้รับการยอมรับ นั่นทำให้รู้สึกโล่งใจสุดๆ
คุณแม่ของฮิคารุก็ดูเป็นคนดี คิดว่าพวกเราน่าจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้แน่
“เฮ้อ… แต่ก็เหนื่อยใจสุดๆไปเลยวุ้ย…”
ผมผ่อนคลายตัวเองแล้วเอนหลังพิงโซฟาลึกๆ
หลังจากนั้น ผมก็ใช้เวลาว่างอยู่คนเดียวสักพักก่อนที่อาหารเย็นจะถูกเตรียมเสร็จ และสุดท้ายพวกเราก็ได้นั่งกินข้าวเย็นกันอย่างสนุกสนาน
ทุกครั้งที่ผมตักอาหารเข้าปาก ฮิคารุก็จะถามว่า
“อร่อยไหม?”
“อันเมื่อกี้กับอันนี้ อันไหนอร่อยกว่า?”
แต่สุดท้ายเธอก็ไม่บอกเลยว่าอาหารจานไหนเป็นฝีมือของเธอ
เมื่อมื้ออาหารจบลง ก็ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับบ้าน
คุณแม่ของฮิคารุอาสาขับรถไปส่งผม
“อื้อออ… ฉันก็อยากไปส่งด้วยแท้ๆ …!”
ในตอนที่ผมกำลังจะขึ้นไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ ฮิคารุก็ดึงชายแขนเสื้อผมไว้ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
“แม่เข้าใจนะ แต่ลูกต้องอยู่บ้าน! วันนี้กินอาหารเย็นเยอะไปแล้ว แถมยังกินเค้กด้วย เพราะงั้นต้องเพิ่มเวลาฝึกซ้อมกับยืดกล้ามเนื้อด้วย!”
“เดี๋ยวพอกลับมาจะทำให้หมดเลย~…”
“ไม่ได้! แม่อนุญาตให้ออกไปค้างข้างนอกทุกสัปดาห์แล้ว เพราะงั้นที่บ้านก็ต้องเชื่อฟังนะ!”
พอโดนพูดแบบนั้น ฮิคารุก็หน้ามุ่ยแล้วเงียบไป
“พอถึงบ้านแล้วฉันจะรีบติดต่อไปนะ คอมพิวเตอร์ก็เชื่อมต่อกันได้แล้วด้วย”
“…เข้าใจแล้ว งั้น… เดินทางปลอดภัยนะ… แล้วก็ อย่าให้แม่พูดอะไรแปลกๆใส่นะ?”
เธอปล่อยแขนเสื้อผมไปอย่างอ้อยอิ่ง
“อืม ไว้เจอกัน”
ผมปิดประตูรถ จากนั้นคุณแม่ของเธอก็ใส่ที่อยู่ที่ผมบอกลงไปใน GPS
รถออกตัวไป ผมมองออกไปทางหน้าต่างและโบกมือให้ฮิคารุ
เธอก็วิ่งออกมาจากโรงจอดรถแล้วโบกมือลาให้ผมด้วยเหมือนกันกัน แต่เมื่อรถเลี้ยวตรงหัวมุม เธอก็หายไปจากสายตา
ในจังหวะนั้น คุณแม่ของฮิคารุก็เอ่ยปากขึ้นมา
“ขอโทษนะที่ต้องแยกเธอออกมาแบบนี้ แต่ฉันอยากคุยกับเธอสองคนจริงๆ”
“เอ๊ะ…? ยังไงนะครับ…”
ผมรู้สึกถึงน้ำเสียงจริงจังบางอย่างทำให้ความผ่อนคลายที่มีเมื่อกี้หายไปจนหมดสิ้น
อย่าบอกนะว่าตอนนี้จะมาพูดว่า
‘เมื่อกี้ที่ไม่พูดเพราะมีฮิคารุอยู่ แต่จริงๆแล้วฉันอยากให้เธอเลิกคบกับลูกสาวฉัน’ น่ะ
อะไรแบบนั้นหรอ…!?
ในตอนที่ความคิดด้านลบเริ่มครอบงำจิตใจ—
“ไม่ต้องทำหน้าตาน่ากลัวขนาดนั้นหรอก ไม่ใช่เรื่องให้เธอเลิกกับฮิคารุแน่ๆ”
คุณแม่ของเธอยิ้มแล้วทำลายบรรยากาศตึงเครียดไปในทันที
“อะ… ครับ…”
เมื่อความกังวลถูกสลัดทิ้ง ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ตรงกันข้ามเลยล่ะ… ฉันแค่อยากบอกว่าฉันรู้สึกขอบคุณเธอจริงๆ”
“ขอบคุณ…?”
“ใช่ ขอบคุณ”
“ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่เข้าใจเลย… ถ้าจะพูดถึงเรื่องบุญคุณล่ะก็ ผมเองต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ได้กินอาหารเย็น แถมยังมีคนมาส่งถึงบ้าน…”
“ฮะฮะฮะ! เข้าใจแล้วๆ น่าจะเป็นเพราะนิสัยของเธอนี่เองสินะ”
ผมยังคงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เธอหมายถึง แต่เธอกลับหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
“ลูกสาวฉันน่ะนะ เป็นอัจฉริยะล่ะ”
“…อัจฉริยะ?”
คำพูดที่อยู่ๆก็ถูกโพล่งขึ้นมาทำให้ผมเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“ใช่ ตอนฉันอายุเท่าฮิคารุ คนอื่นมักเรียกฉันว่า ‘เด็กอัจฉริยะ’ แต่พอเทียบกับฮิคารุแล้ว ฉันแทบจะเทียบไม่ติดเลยล่ะ”
“หมายถึงเรื่องเทนนิสสินะครับ?”
“อื้ม… ถึงแม้จะเล่นกีฬาอะไรก็คงประสบความสำเร็จได้หมด แต่พูดถึงตอนนี้ก็ต้องหมายถึงเทนนิสล่ะนะ เธอมีสายตาที่ยอดเยี่ยมและสัญชาตญาณที่เป็นพรสวรรค์โดยแท้จริง ถ้าจะพูดถึงสัญชาตญาณล่ะก็… บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องตีก็ได้ แต่เป็นการคว้าบอลแล้วขว้างกลับไปเลยด้วยซ้ำ… อ๊ะ แต่ฉันไม่ได้อยากคุยเรื่องเทคนิคแบบนี้หรอก…”
เธอหยุดเล่าด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้น ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“แต่เพราะเจ้าตัวอัจฉริยะเกินไป… รึเปล่านะ สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่าก็ต้องแบกรับความคาดหวังของทุกคนที่เกี่ยวข้องไปโดยไม่รู้ตัว ฉันเองก็มักจะสอนให้เธอเล่นเทนนิสเพื่อความสนุกของตัวเองเสมอ… แต่กลับกลายเป็นผลประโชน์ไปซะได้ หลังจากที่เขาบาดเจ็บที่เข่าเมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิ ก็เลยเข้าสู่ช่วงตกต่ำที่ร้ายแรงมาก…”
“เรื่องนั้น… ครับ ผมได้ยินมาจากฮิโนะซังแล้ว”
“งั้นเหรอ ตอนนั้นฮิคารุ… เอาแต่คิดมากตลอดเลย คิดว่า ‘ถ้าบาดเจ็บหนักกว่านี้แล้วคงเล่นเทนนิสไม่ได้อีกล่ะ’ หรือ ‘ถ้าฉันไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของทุกคนได้ ฉันจะกลายเป็นคนไร้ค่า’ คงมีแต่ความคิดแบบนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของเจ้าตัว ฉันกับอายากะจังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเธอ แต่ไม่ว่าเราจะพูดอะไร สุดท้ายแล้วความคาดหวังที่อยากให้เขากลับมาเล่นเทนนิสก็ยังคงกดดันเขาอยู่ดี มันเลยไม่ได้ผล”
เสียงของเธอแฝงไปด้วยความเศร้า ในขณะที่เสียงเครื่องยนต์ของรถดังกลบไป
“แล้วฮีโร่ที่เข้ามาช่วยเจ้าตัวก็คือเธอนั่นเอง!”
“ฮะ… ฮีโร่เหรอครับ?”
อยู่ๆ บรรยากาศของบทสนทนาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้ผมรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“ถูกต้อง นี่เป็นแค่การคาดเดาของฉันนะ แต่ฉันคิดว่าฮิคารุมีความสุขมากที่ได้อยู่กับเธอ และเพราะแบบนั้น… เจ้าตัวเลยนึกภาพตัวเองที่ ‘ถึงไม่ต้องเล่นเทนนิสก็ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้’ เป็นครั้งแรก นั่นทำให้ฮิคารุสามารถกลับมาเผชิญหน้ากับเทนนิสอีกครั้งได้ ฉันเลยรู้สึกขอบคุณเธอมากเลยนะ”
“แต่… ผมก็แค่โชคดีที่อยู่ตรงนั้นพอดีเท่านั้นเอง…”
“ช่างมันเถอะ ผลลัพธ์ออกมาดีก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เธอพูดอย่างร่าเริง ทำให้ผมเผลอถอนหายใจออกมา
“จะ… จะดีเหรอครับ…? ถ้าเกิดว่าเธอเลิกเล่นเทนนิสแล้วกลายเป็นเด็กติดบ้านขี้เหงาแบบผมขึ้นมาล่ะ…”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันอยากให้ลูกสาวที่น่ารักของฉันมีความสุขในแบบของตัวเอง ไม่ว่าในรูปแบบไหนก็เถอะ”
“ขะ… เข้าใจแล้วครับ…”
ผมนึกถึงคำพูดของไทจูซังที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้
‘ตอนที่ฉันเลิกเล่นเทนนิส แม่ฉันก็แค่บอกให้ทำตามที่อยากทำ’
อืม… เข้าใจเลยว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ
“แต่สิ่งที่เธอต้องเจอจริงๆน่ะ พึ่งจะเริ่มต้นจากนี้ไปต่างหาก”
“…หมายความว่ายังไงครับ?”
“ตอนนี้ฮิคารุอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า ‘ไร้เทียมทาน’ เลยนะ ถ้าจะให้เปรียบเทียบแบบที่เธอเข้าใจง่ายๆก็คือ… เจ้าตัวเหมือนอยู่ในโหมดที่ได้ดาวในเกมมาริโอ้น่ะ”
เธอหัวเราะพลางยกตัวอย่างจากเกมชื่อดัง
“เมื่อก่อนฮิคารุเป็นคนอารมณ์แปรปรวนง่าย ถ้าไม่มีอารมณ์อยากชนะก็แพ้แบบง่ายๆได้เลย แต่ตอนนี้ฉันนึกภาพที่เจ้าตัวแพ้ไม่ออกเลยล่ะ อาจจะเป็นเพราะเธอมีอิทธิพลกับเขามากก็ได้นะ ในระหว่างการแข่งขันฮิคารุจะอยู่ในสภาพจิตใจที่ดีที่สุดเสมอ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ…?”
“ใช่ ขนาดนั้นเลย เพราะฉะนั้น ฉันว่าฮิคารุคงคว้าแชมป์ US Junior ได้แน่ แล้วจากนั้นก็คงผ่านการแข่งขันระดับล่างของทัวร์โปรได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็เดบิวต์ใน Japan Open… ไต่อันดับขึ้นไปติดท็อป 10 ของโลกได้ภายในไม่กี่ปีแน่ๆ”
ถ้าผมคิดในฐานะคนธรรมดา ก็พอจะจินตนาการออกว่าน่าจะเป็นแบบนั้นได้ แต่คำพูดของอดีตนักกีฬามืออาชีพทำให้มันหนักแน่นและเป็นจริงมากขึ้น
“แต่เธอรู้ไหมว่าเทนนิสอาชีพมันโหดแค่ไหน?”
“ครับ… ผมเคยหาข้อมูลมาบ้าง”
“ฉันเองก็เริ่มคบกับนาโอกิซัง—สามีของฉันตอนที่ยังเล่นอาชีพอยู่ แต่ถึงจะรักกัน แต่เราก็แทบไม่มีเวลาพบกันเลย ถ้าเธอจะคบกับฮิคารุก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วยนะ… เธอพร้อมไหมล่ะ?”
บรรยากาศในรถกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
เธอบอกว่าไม่ได้คิดจะขัดขวางความสัมพันธ์ของเรา… แต่จากบรรยากาศตอนนี้ ผมรู้สึกว่าคำตอบของผมอาจจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง
แต่ว่า… ผมตัดสินใจเรื่องนี้มานานแล้ว
“……ไม่เลยครับ”
“เอ๊ะ…? ไม่เลยเหรอ…?”
เธอดูแปลกใจที่คำตอบของผมไม่เหมือนที่เธอคาดไว้
“ครับ ไม่มีทางที่ผมจะยอมรับเรื่องที่ต้องอยู่ห่างจากคนที่ผมรักเป็นเวลานานขนาดนั้นได้หรอก”
“งั้น… หมายความว่ายังไง? จะเลิกกันตอนนั้นเหรอ?”
“ไม่ครับ อันนั้นก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน”
เธอดูสับสนกับคำตอบของผม
“ผมน่ะ… ชอบเธอมาก มากกว่าที่ตัวเองคิดไว้ซะอีก ผมเลยไม่ได้เตรียมใจที่จะ ‘อดทนอยู่ห่างๆ’ แต่เตรียมใจที่จะ ‘ตามไปด้วย’ ต่างหาก”
“ตามไป…? อ๊ะ ไฟเขียวแล้วแฮะ…”
เธออึ้งไปชั่วขณะก่อนจะออกรถต่อ
“หมายความว่าไงนะ? หรือว่าเธอจะเดินทางไปกับทัวร์ด้วย?”
“ครับ… ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากทำให้ได้แบบนั้น”
“อืม… จริงๆแล้ว ทีมของเราก็มีที่ว่างพอจะเพิ่มคนอีกสักคนอยู่หรอกนะ ถ้าตั้งตำแหน่งใหม่ให้เป็น ‘ที่ปรึกษาด้านจิตใจ’ หรืออะไรทำนองนั้นก็น่าจะได้อยู่หรอก…”
“ไม่ล่ะครับ ผมตั้งใจจะใช้เงินตัวเองน่ะ”
“เอ๊ะ? ค่าใช้จ่ายของทัวร์เป็นล้านเยนต่อปีเลยนะ?”
“ครับ มันโหดมาก แล้วผมก็ไม่ได้คิดว่าจะทำได้แค่ด้วยความตั้งใจอย่างเดียว… แต่ต่อให้ยากแค่ไหน ผมก็จะไม่ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มหรอกครับ”
“งั้นก็ ลองให้ฮิคารุช่วยก็ได้นะ? เจ้าตัวเองก็คงอยากให้เธออยู่ด้วยอยู่แล้ว อีกอย่าง… สปอนเซอร์ที่อยากเซ็นสัญญากับเธอมีเป็นแถว เงินไม่ใช่ปัญหาหรอก”
“ต่อให้ฮิคารุอยากช่วย ผมก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นแบบนั้นครับ”
“เข้าใจล่ะ… ถ้าเธอแน่วแน่ขนาดนี้ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ จริงๆถ้าเธอตอบว่าจะเป็น ‘กาฝาก’ ฉันก็กะจะไล่ลงจากรถอยู่หรอกนะ”
“เอ๊ะ!?”
“……ล้อเล่นน่า”
เธอพูดเสียงเรียบจนผมไม่รู้เลยว่าจริงหรือเล่น
“แต่ก็ดีใจนะ ที่ได้รู้ว่าเธอเป็นเด็กแบบไหน… ทั้งโตเกินวัยและบ้าบิ่นใช้ได้เลย”
“ขอโทษนะครับ…”
“ไม่หรอกๆ ลูกฉันก็ไม่ต่างกันนักหรอก”
เธอหัวเราะเบาๆพลางจอดรถ
“ตรงนี้โอเคไหม?”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”
“ไม่เป็นไร หวังว่าครั้งหน้าเราจะได้เชียร์เธอจาก Family Box ที่วิมเบิลดันนะ”
รถแล่นออกไป ท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาว
“…ต้องพยายามให้มากกว่านี้แล้วล่ะ”
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะก้าวเดินต่อไป
MANGA DISCUSSION