ตอนที่57 : ความรู้สึกที่ท่วมท้น
—สามชั่วโมงหลังจากการเผชิญหน้ากับซากุระมิยะ มิยาโกะ—
“ไม่ได้ไปหามินาโมริซังตั้งนานแน่ะ รู้สึกตื่นเต้นจัง~”
พวกเรายังคงเดินไปตามทางเดินริมถนนด้วยกันโดยที่มือทั้งสองยังจับกันแน่น
“ขอโทษนะที่ต้องพาเธอมาด้วยเพราะเรื่องของฉัน”
จุดหมายของเราคือ “มินาโมริเทย์” ร้านอาหารที่ผมทำงานพาร์ทไทม์อยู่
ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่าได้รับคำสั่งให้พาฮิคารุมาที่ร้านพอดี เลยถือโอกาสทำตามซะเลย
“อื้ม ไม่เป็นไรเลย! ฉันก็อยากเจอมินาโมริซังเหมือนกัน”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ ทางนั้นก็บ่นอยากให้ฉันพาเธอมาเหมือนกัน วันนี้คงทุ่มสุดฝีมือทำอาหารให้เลยล่ะ”
“จริงเหรอ!? งั้นวันนี้จะกินอะไรดีน้า~… ออมไรซ์คราวก่อนไม่ใช่แค่สวยนะ อร่อยมากๆด้วย แต่ไหนๆก็มาแล้ว อยากลองเมนูอื่นบ้างจัง~”
ฮิคารุเดินแกว่งแขนไปมาราวกับเด็กประถมที่อารมณ์ดี
และแน่นอนว่ามือของผมที่ถูกเธอจับไว้ตั้งแต่เมื่อกี้ก็โดนแกว่งไปตามจังหวะด้วย
ใช่— ตั้งแต่เมื่อกี้พวกเรายังคงจับมือกันอยู่ตลอด
ทั้งตอนกินโดนัท ตอนเดินเล่นในห้างรอบสอง ตอนขึ้นรถไฟมาที่นี่ จนกระทั่งตอนนี้
แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่เคยปล่อยมือจากกัน
ที่สำคัญ จากการจับมือแบบธรรมดา ตอนนี้พวกเราก็เปลี่ยนมา “จับมือแบบคู่รัก” โดยไม่รู้ตัว
พื้นที่สัมผัสระหว่างเราสองคนมากขึ้นกว่าตอนแรกจนแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างนิ้วเลย มือที่อ่อนนุ่ม ผิวที่เรียบเนียน อุณหภูมิร่างกายที่อบอุ่น— ทุกอย่างส่งผ่านมาถึงผมอย่างเต็มเปี่ยม
และทั้งหมดนั้นทำให้ผมต้องพยายามกดอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูงขึ้นเอาไว้
ระหว่างที่พยายามควบคุมตัวเอง พวกเราก็มาถึงหน้าร้าน
“เอาล่ะ ถึงแล้วนะ…”
“อื้ม! ถึงแล้ว!”
“งั้น… เข้าไปกันเถอะ”
“อื้ม เข้าไปกัน!”
ผมลองทิ้งท้ายประโยคเหมือนจะถามเป็นนัยว่าเธอจะปล่อยมือไหม แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเธอจะทำแบบนั้นเลย
ทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าผมถูกสารภาพรักไปแล้ว แต่พอมาเห็นแบบนี้ตรงๆมันก็เขินไม่น้อยเลยแฮะ
แน่นอนว่าต้องโดนล้อแน่ๆ และอาจถึงหูพ่อแม่ผมด้วยซ้ำ
แต่ถึงจะเขินยังไง ผมก็รู้ดีว่าตัวเองอยากจะจับมือนี้ไว้นานๆให้มากที่สุดเหมือนกัน
ผมสูดหายใจ ตั้งสติ แล้วเปิดประตูเข้าไป
เสียงกระดิ่งประตูดังขึ้น ก่อนจะมีเสียงตะโกนต้อนรับดังมาจากด้านใน
“ยินดีต้อนรับค่า! กรุณารอสักครู่นะค้า!”
จากนั้นผู้หญิงร่างท้วมก็เดินออกมาอย่างกระฉับกระเฉง
“สวัสดีครับ…”
“อ้าว! เรย์ยะคุงนี่นา! จริงสิๆ วันนี้บอกว่าจะมาใช่ไหม!”
ทันทีที่เธอเห็นหน้าผม เสียงของเธอยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม
“ครับ ขอโทษนะครับที่บอกจะมากะทันหัน”
“เรย์ยะคุง คนนี้ญาติของนายเหรอ?”
ฮิคารุที่เข้ามาทีหลังเอียงคอถาม
“เปล่าหรอก คนนี้คือคาวาเสะซัง พนักงานพาร์ทไทม์ที่มาช่วยวันที่ฉันไม่ได้เข้ากะน่ะ”
“อ๊ะ! งั้นเหรอ สวัสดีค่ะ ฉันอาซาฮิ ฮิคารุค่ะ”
“อาร่า สวัสดีจ้ะ แนะนำตัวได้น่ารักจัง ฉันคาวาเสะ เรียวโกะ แม่บ้านวัย 42 จ๊ะ”
คาวาเสะซังหันไปทางครัวก่อนจะตะโกนสุดเสียง
“เน่! ผู้จัดการ! เรย์ยะคุงมาแล้วค่า! แถมพาแฟนสุดน่ารักมาด้วยน้า~!”
ทันใดนั้นเอง เสียงโครมครามก็ดังมาจากในครัว
เสียงโลหะกระทบกันดังลั่น แถมยังมีเสียงของเหลวกระฉอกลงพื้นอีก
ในตอนที่ผมกำลังสงสัยว่าข้างในจะยังโอเคอยู่ไหม อยู่ๆผู้จัดการของร้านก็โผล่ออกมา
เธอใส่เสื้อเชฟสีขาวที่ตอนนี้เปรอะไปด้วยซอสสีแดงเต็มตัว มือก็กดหมวกที่เบี้ยวให้เข้าที่
สายตาของเธอกวาดมองไปมาระหว่างผม ฮิคารุ และมือที่ยังจับกันอยู่
เธอวนลูปมองภาพนั้นไปมาหลายรอบ
“อ๊ะ! มินาโมริซัง! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ—”
ทันทีที่ฮิคารุทักทาย น้ำตาก็พลันไหลออกจากดวงตาของเธอราวกับน้ำพุ
“เอ๊ะ… เอ๋!? เดี๋ยว! อิจิรุซัง!? ทำไมอยู่ดีๆถึงร้องไห้ล่ะ!?”
ผมตกใจหนักกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาโดยไร้คำอธิบาย
“ไม่… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน… แต่พอเห็นเรย์ยะคุงมีความสุขดีแบบนี้… น้ำตามันก็ไหลเองอ่าา…”
“เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องร้องไห้เลยเหรอ…?”
“ก็ฉันรู้สึกผิดมาตลอดเลยนี่… ฉันทำให้เรย์ยะคุงเดือดร้อนมาตั้งเยอะ…”
“ไม่หรอก เรื่องนั้นผมไม่คิดอะไรแล้ว…”
“ฉันยังเคยโทษตัวเองเลยนะ ว่าเธอเริ่มเก็บตัวเล่นเกมอยู่บ้านก็เพราะฉัน…”
“อันนั้นไม่เกี่ยวจริงๆครับ…”
…นั่นเป็นบาปที่ถูกสลักลงไปในจิตวิญญาณของผมเอง…
“ฮือ… แต่ก็ดีจริงๆนะ… ฉันดีใจเหมือนเป็นเรื่องของตัวเองเลย…”
น้ำตาเธอยังไหลออกมาไม่หยุดจนลูกค้าคนอื่นเริ่มหันมามอง
“ผู้จัดการคะ เข้าใจว่าเป็นเรื่องน่ายินดีนะคะ แต่ร้องไห้แบบนี้เดี๋ยวทำงานไม่ได้เอานะ”
“ขอโทษนะ… ฉันไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้เลยจริงๆ… แต่มันกลั้นไม่อยู่…”
“ก็เรย์ยะคุงเหมือนน้องชายแท้ๆของเธอนี่นา เข้าใจความรู้สึกดีเลยล่ะ”
คาวาเสะซังช่วยพยุงอิจิรุซังกลับเข้าไปในครัว
ต้องยกความดีความชอบให้เธอที่เป็นแม่ลูกสอง ช่างรับมือกับเด็กขี้แยได้ดีจริงๆ
หลังจากเห็นพวกเธอกลับเข้าไป เราสองคนก็เดินไปที่โต๊ะ
“…ขอโทษนะ”
พอนั่งลง ผมก็รีบพูดก่อนเลย
“หืม? เรื่องอะไรเหรอ?”
“ก็เรื่องอิจิรุซัง… คงทำให้เธอตกใจใช่ไหม?”
“ไม่หรอก… แค่รู้สึกอิจฉานิดๆที่เธอเป็นห่วงนายขนาดนี้น่ะ…”
ฮิคารุพูดยิ้มๆ
“งั้นก็ดีแล้ว… แต่ว่า นี่ถึงเวลาปล่อยมือได้แล้วมั้ง?”
ผมเหลือบมองมือที่ยังจับกันอยู่บนโต๊ะ
“…ทำไมล่ะ?”
เธอเอียงคอถามอย่างจริงจัง
“ก็… ถ้าไม่ปล่อยจะกินยังไงเล่า”
“งั้นถ้าเรย์ยะคุงยืนยันว่าอยากปล่อย ฉันก็จะปล่อยนะ…”
“ทำไมต้องพูดแบบน้อยใจด้วยล่ะ…”
“ก็ฉันยังไม่อยากปล่อยนี่…”
ฮิคารุพูดพลางทำแก้มป่องเหมือนเด็กขี้งอน
“ก็นะ ฉันเองก็เหมือนกัน…”
ผมไม่ได้อยากปล่อยมือเลยสักนิด
แม้แต่ตอนนี้ ความรู้สึกที่ผมมีต่อฮิคารุก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกไหนที่จะเหนือไปกว่าความสุขอันล้นเหลือนี้อย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้น… ขออยู่แบบนี้อีกสักหน่อยได้ไหม…”
“งั้น… จนกว่าอาหารจะเสร็จก็แล้วกัน…”
เรานั่งตรงข้ามกันโดยมีโต๊ะคั่นกลาง
ไม่ใช่แค่มือที่ประสานกัน แต่แม้แต่สายตาที่เต็มไปด้วยความร้อนแรงก็กำลังพันเกี่ยวกัน
ในตอนที่ความต้องการตามสัญชาตญาณที่อยากเชื่อมโยงกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกำลังเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ—
“นี่จ๊ะ น้ำของพวกเธอ”
คาวาเสะซังนำแก้วน้ำมาวางลงบนโต๊ะ
สำหรับพวกเราที่เผลอจมหายเข้าไปในโลกของกันและกัน นั่นถือเป็นการขัดจังหวะอย่างสมบูรณ์ ทำเอาร่างกายสะดุ้งเฮือกโดยไม่รู้ตัว
“ตัดสินใจเลือกเมนูได้หรือยังเอ่ย?”
คาวาเสะซังมองมาที่เราด้วยสายตาเหมือนกำลังดูอะไรบางอย่างที่น่าเอ็นดู
“เอ่อ… หนูขอเป็นสตูว์เนื้อค่ะ!”
“งะ งั้นผมเอาข้าวหน้ากุ้งอบชีสก็แล้วกัน…”
“จ้าา~ สตูว์เนื้อกับกุ้งอบชีสเนอะ รับทราบค่า~”
เธอหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินจากไป
ผมจิบนน้ำหนึ่งอึกเพื่อสงบสติอารมณ์
วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายจนผมรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังได้ใจมากเกินไป
ทั้งที่รู้ตัวแท้ๆ แต่พอเผลอก็ลืมไปเลยว่ายังอยู่ในที่สาธารณะ
ก่อนที่จะได้พบกับฮิคารุ ถ้าเห็นคู่รักจู๋จี๋กันต่อหน้าผมคงจะเบือนหน้าหนีด้วยความรำคาญ แต่ตอนนี้ตัวฉันเองกลับค่อยๆกลายเป็นคู่รักที่ทำอะไรน่าขายหน้าแบบนั้นไปแล้ว
“ว่าแต่… เปลี่ยนเรื่องนิดนึงนะ มินาโมริซังมีแฟนรึยังอ่ะ?”
ในตอนที่ผมพยายามดึงสติกลับมาก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆจากอีกฝั่งของโต๊ะ
“แฟน… เท่าที่ฉันรู้ ตอนนี้ไม่น่าจะมีนะ”
ผมตอบไปเหมือนกับตอนที่มีใครสักคนเคยถามเรื่องนี้มาก่อน
“ทั้งสวย ทั้งใจดีขนาดนั้น ทำไมถึงไม่มีแฟนนะ?”
“จะให้ตอบแทนเธอคงไม่ได้หรอก… แต่ก็คงเป็นเพราะตอนนี้เธอยุ่งกับร้านมากเกินไปจนไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้นก็เท่านั้นเอง”
เท่าที่ผมรู้ มีคนที่มาจีบเธอมากมายจนแทบนับไม่ถ้วน
ในหมู่พวกเขามีแม้แต่คนที่ทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ใครๆก็รู้จัก
เธอไม่ได้ตั้งมาตรฐานสูงเกินไปและก็ไม่ได้ไม่มีตัวเลือกพิเศษอะไรเลยด้วยซ้ำ
“หืม… งั้นเหรอ… ก็จริงนะ การเปิดร้านเองคงจะวุ่นวายน่าดู”
แม้จะตอบรับเหมือนเข้าใจ แต่เธอก็ยังดูครุ่นคิดอยู่
ปลายนิ้วของเธอแตะลงบนขอบแก้วน้ำเบาๆราวกับกำลังใช้ความคิดอนู่
เธอเหมือนจะมีอะไรที่อยากพูด แต่ก็ดูลังเล
“อยู่ๆถามแบบนี้ทำไมเหรอ? มีอะไรรึเปล่า?”
ผมลองถามเพื่อกระตุ้นให้เธอพูดออกมา…
“อืม… เปล่าหรอก… แค่สงสัยว่า… แล้วกับพี่ชายล่ะ?”
ฮิคารุพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังหยั่งเชิง
MANGA DISCUSSION