ตอนที่43 : ไม่รู้สึกอะไรเลย
วันถัดมา—ช่วงพักเที่ยงของวันพุธ
เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่าตามปกติและนั่งลงที่นั่งแบบสุ่มๆ ผมก็เตรียมหยิบแซนด์วิชที่เพิ่งซื้อมาเพื่อจะกิน แต่ทันใดนั้นเอง..
“…นายยังมากินข้าวกลางวันที่นี่อยู่อีกเหรอ?”
ทันทีที่ผมพยายามหยิบแซนด์วิชออกจากถุง ฮายาโตะก็พูดแทรกขึ้นมา
“แล้วจะทำไมเล่า…? ฉันก็กินที่นี่มาตลอดนี่นา จะมาทักเอาตอนนี้ทำไม?”
“ไม่ ไม่ ไม่ นายมีแฟนสาวสุดน่ารัก… ไม่สิ! แค่คำว่าน่ารักมันไม่พอด้วยซ้ำไป! นายมีแฟนระดับนั้นอยู่ทั้งคน ทำไมไม่ไปกินข้าวกับเธอล่ะ? อิจฉาชะมัด!”
“นั่นสินั่นสิ!”
ยูมะที่นั่งข้างๆก็เห็นด้วยกับฮายาโตะ เสียงของเขาแฝงไปด้วยอารมณ์ปนกันระหว่างความอิจฉากับการแสดงความยินดีในอัตรา 7:3
“พวกเราตกลงกันไว้ว่าให้ฉันมากินข้าวกับพวกนายไปก่อนสักพักน่ะ แล้วก็… เอ่อ… ฉันยังไม่ได้เป็นแฟนของเธอซะทีเดียวหรอก…”
“หาาาาาาา!? หมายความว่าไงที่บอกว่ายังไม่ได้เป็นแฟน!? เธอสารภาพรักกับนายแล้วไม่ใช่รึไง!?”
“ก็ใช่… แต่ฉันยังไม่ได้ให้คำตอบชัดๆเลย…”
“อาซาฮิ ฮิคารุ สารภาพรักกับแก แล้วแกก็ยังไม่ตอบกลับงั้นเหรอ!? เดี๋ยวๆๆ นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!? คนปกติที่ไหนจะใช้เวลาคิดเกิน 0.1 วินาทีวะเห้ย!?”
ฮายาโตะตะโกนออกมาอย่างเหลือเชื่อ ส่วนยูมะก็กำลังพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอยู่ข้างๆ
“ก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบเธอหรือไม่ได้รู้สึกอะไรหรอกนะ…”
“ก็แล้วทำไมไม่ตอบตกลงล่ะ?”
“นั่นมัน… ก็แบบว่า…”
ผมพ฿ดตะกุกตะกักไม่รู้จะตอบคำถามธรรมดาๆของฮายาโตะยังไงดี
“ไม่มีความมั่นใจใช่ไหมล่ะ? ไม่มีความมั่นใจพอที่จะยืนเคียงข้างฮิคารุได้อย่างเต็มภาคภูมิ?”
น้ำเสียงที่กล่าวออกมาเป็นสำเนียงคันไซ ไม่ใช่ของซาโต้หรือยูมะ แต่เป็นของโอกาตะซัง เธอกำลังนั่งกินข้าวอยู่กับพวกเราราวกับเป็นเรื่องปกติ
“ก็… พูดตามตรงก็ใช่…”
“ความมั่นใจเหรอ? เวลาคบกับใครสักคน มันต้องมีความมั่นใจด้วยรึไง? ถ้ามีคนมาสารภาพรัก แกก็แค่ตอบว่า ‘ชอบ’ หรือ ‘ไม่ชอบ’ ก็พอไม่ใช่เหรอ? จริงๆ แค่ตอบว่า ‘ลองคบกันดูก่อนมั้ย?’ ก็ยังได้เลย ไม่เห็นต้องคิดมากขนาดนี้นี่”
“แบบนั้นมันไม่ดูตื้นเขินเกินไปเหรอ?”
“แกคิดหนักเกินไปต่างหาก! ไม่รู้ว่าปาฏิหาริย์อะไรทำให้ อาซาฮิ ฮิคารุ มาชอบนายได้ แต่ในเมื่อเธอชอบนายแล้ว นายก็แค่ตอบรับสิ! รีบๆตอบตกลงก่อนที่เธอจะเปลี่ยนใจเถอะ จะได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้ม!”
“อืม… แต่ฉันก็พอเข้าใจความรู้สึกของคาเงยามะคุงนะ”
ระหว่างที่ผมกับฮายาโตะกำลังถกเถียงกัน โอกาตะซังก็เข้าข้างผม
“ผู้หญิงหลายคนก็รู้สึกประหม่าเวลาอยู่ใกล้ฮิคารุ เพราะรู้สึกเหมือนถูกเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา บางทีนายเองก็อาจจะรู้สึกกดดันจากเรื่องนั้นอยู่ลึกๆก็ได้นะ? แต่ในทางกลับกัน มิยาโกะ(ซากุระมิยะ) ก็พยายามแข่งกับเธออย่างเต็มที่เลยล่ะ”
โอกาตะซังพูดต่อไปด้วยรอยยิ้ม
“แล้วก็บางที เหตุผลที่ฮิคารุชอบนายอาจเป็นเพราะนิสัยจริงจังแบบนี้ของนายก็ได้ ไม่คิดงั้นเหรอ?”
“อะ-อันนั้นฉันก็ไม่รู้หรอกนะ…”
“อืม… เรื่องนั้นคงต้องถามฮิคารุเองล่ะนะ แต่มีอย่างนึงที่อยากจะเตือนเอาไว้”
เธอหยุดกินข้าวแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
“จะคิดมากก็ได้ แต่ก็อย่าลืมนะว่าตอนนี้นายกำลังอาศัยความรู้สึกดีๆที่เธอมอบให้ฝ่ายเดียวอยู่ ถ้าเธอพอใจกับแค่นั้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านานไปแล้วมันไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย เธอต้องรู้สึกเจ็บปวดแน่ๆ”
“อันนั้นฉันรู้ดีอยู่แล้ว…”
ผมตอบกลับเธอด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ส่วนฮายาโตะก็พึมพำว่า “ปัญหาเยอะชะมัด…”
ผมก็รู้ดีว่านี่มันเป็นปัญหาของคนที่โชคดีเกินไป
แต่ต่อให้รู้แบบนั้น มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะก้าวข้ามความรู้สึกต่ำต้อยที่ผมสะสมมาทั้งชีวิต
“ถ้านายเข้าใจก็ดีแล้ว… ว่าแต่ เรื่องของเรื่องคือนายอยากให้คนรอบตัวคิดว่านายกับฮิคารุเป็น ‘คู่ที่เหมาะสมกัน’ ใช่มั้ย?”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แค่อยากจะยืนข้างเธอได้อย่างเต็มภาคภูมิเท่านั้นเอง…”
การที่จะเป็นคนที่สามารถยืนข้างอาซาฮิ ฮิคารุ ได้—มันเป็นเรื่องยากแค่ไหน ผมรู้ดีอยู่แล้ว
แน่นอนว่าเธอเองคงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก
แต่ผมเองก็ไม่อยากรับความรู้สึกของเธอในแบบที่ผมยังคงแบกความรู้สึกต่ำต้อยนี้อยู่
“เหรอ… งั้นฉันช่วยอะไรได้นิดหน่อยล่ะมั้ง ถึงจะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็เถอะ อย่างเช่นช่วยกระจายข่าวลือว่านายเป็น ‘ผู้ชายที่ซื่อสัตย์และยอดเยี่ยมมาก’ อะไรแบบนั้นดีไหม? เผื่อว่าคนรอบข้างจะมองนายเปลี่ยนไปบ้าง”
“ขอบคุณนะ… แต่ทำไมโอกาตะซังถึงช่วยฉันขนาดนี้ล่ะ?”
ผมถามเธอออกไปเพราะนี่เป็นคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจตั้งแต่วันก่อน
ตั้งแต่ที่เธอเข้าหาผมเป็นครั้งแรก มันรู้สึกเหมือนว่าเธอไม่ได้ทำไปเพราะแค่ความใจดีหรือความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น
แน่นอนว่าการมีคนคอยช่วยเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง มันก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน
“อืม… ก็จริงนะ ถ้าถามแต่เรื่องของนายแต่ไม่บอกเรื่องของตัวเองบ้างก็คงไม่แฟร์แหละ…”
เธอเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“นายรู้จักคำว่า ‘Asexual’ ไหม?”
“เอ๋…?”
ทั้งผมและฮายาโตะต่างก็เอียงคอด้วยความสงสัย ส่วนยูมะเป็นคนให้คำตอบแทน
“Asexual หรือก็คือ ‘ผู้ไร้แรงดึงดูดทางเพศ’ ใช่ไหม? หมายถึงคนที่ไม่รู้สึกถึงแรงดึงดูดทางเพศหรือความรักโรแมนติกเลย ไม่ว่าจะกับเพศไหนก็ตาม”
“ใช่ๆ นั่นแหละ—ฉันเป็นแบบนั้น”
อยู่ๆโอกาตะซังก็เปิดเผยเรื่องสำคัญออกมาแบบหน้าตาเฉย…
“เอ่อ… เรื่องนี้น่ะ บอกพวกเราได้จริงๆเหรอ?”
“ไม่เป็นไรๆ เพื่อนสนิทฉันก็รู้กันหมดแล้วเหมือนกัน”
ท่าทีสบายๆของโอกาตะซังทำให้พวกเราตะลึงไปเล็กน้อย
เธอเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศหรือแรงดึงดูดทางความรักกับใครเลย
ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับคนที่เป็นแบบนี้มาก่อน แต่ไม่เคยนึกเลยว่าคนใกล้ตัวจะเป็นแบบนี้ด้วย
พอคิดแบบนั้นแล้ว ผมก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมพวกเราถึงแม้จะไม่มีภูมิคุ้มกันกับผู้หญิงมากนักแต่ก็สามารถสนิทกับเธอได้อย่างรวดเร็ว
“แล้ว… เรื่องที่โอกาตะซังเป็นอเซ็กชวล? เกี่ยวอะไรกับเรื่องของฉันเหรอ?”
“อืม… ก่อนอื่นเลย ฉันจะบอกอะไรอีกอย่างให้พวกนายฟัง ถึงเรื่องนี้ฉันจะเคยบอกเพื่อนสนิทไปแล้วเหมือนกันก็เถอะ… จริงๆแล้วฉันมีเป้าหมายจะเป็นนักแสดงละครเวทีน่ะ”
“นักแสดง…!?”
ผมเผลออุทานออกมาเพราะไม่คาดคิด
ผมลองส่งสายตาถามฮายาโตะว่าเขารู้เรื่องนี้มาก่อนไหม แต่เขาก็ส่ายหัวเบาๆ
“ใช่แล้วล่ะ ฉันเข้าร่วมคณะละครเวทีอยู่ แถมก็ได้รับบทแสดงมาบ้างแล้วด้วย”
โอกาตะซังพูดด้วยท่าทีภาคภูมิใจเล็กๆ
แม้ว่าผมจะไม่ได้รู้จักวงการละครเวทีดีนัก แต่ก็พอจะเดาได้ว่านี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งไม่น้อย
“แต่ว่า… ฉันเป็นคนแบบนี้ แถมตัวก็เล็กใช่ไหมล่ะ? ที่ผ่านมาเลยได้รับแต่บทตัวประกอบที่เป็นสายฮาๆตลกๆซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าผู้กำกับดันเลือกว่าให้ฉันรับบทนางเอกในละครรักเรื่องถัดไปซะงั้น”
“เอ๋… แบบนั้นก็… ขอแสดงความยินดีด้วย?”
“ใช่ นั่นเป็นเรื่องที่น่าดีใจมากนะ แต่ปัญหาคือ… อย่างที่บอกไป ฉันไม่เข้าใจเรื่องของความรักเลยสักนิด การจะต้องแสดงเป็นนางเอกในละครรักนี่เป็นอะไรที่ยากมากจริงๆ…”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ขอให้เขาเปลี่ยนบทให้ไม่ได้เหรอ?”
“นักแสดงหน้าใหม่แบบฉันไม่มีสิทธิ์ขออะไรแบบนั้นหรอก ถ้าทำแบบนั้น ฉันอาจจะไม่ได้รับบทอีกเลย… อีกอย่าง การแสดงที่ทำให้เราได้เป็นตัวเองในแบบที่แตกต่างไปจากเดิมน่ะ มันเป็นเรื่องที่สนุกนะ การได้รับบทบาทที่ยากสำหรับตัวเองก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง”
“งั้นเหรอ… ฟังดูมีเหตุผลดีแฮะ”
แม้ผมจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับละครเวทีมากนัก แต่ก็เข้าใจถึงความรู้สึกนั้นดี
ความสนุกที่ได้สัมผัสกับโลกที่แตกต่างจากชีวิตจริงของตัวเอง…
มันก็เหตุผลเดียวกับที่ผมชอบเล่นเกม
“ทีนี้กลับมาที่ประเด็นหลัก… ฉันคิดว่าฮิคารุอาจจะเป็นคนประเภทเดียวกับฉันก็ได้ เพราะขนาดได้รับความนิยมขนาดนั้นแต่กลับไม่เคยคบกับใครเลย แถมดูเหมือนจะค่อนข้างหลีกเลี่ยงผู้ชายด้วยซ้ำใช่ไหมล่ะ?”
ผมกับอีกสองคนพยักหน้ารับฟังสิ่งที่โอกาตะซังพูด
“…ฉันเคยคิดแบบนั้นนะ จนกระทั่งฉันก็ได้เห็นกับตาว่าฮิคารุสารภาพรักอย่างเร่าร้อนขนาดไหน”
“เรย์ยะคุง… การสารภาพรักของอาซาฮิมันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เอ่อ… ก็… จะว่าไปแล้วก็นะ…”
ยูมะที่อยู่ข้างๆถาม ผมเลยตอบไปแบบเลี่ยงๆ
มันอาจจะเป็นการสารภาพรักที่เร่าร้อนจริงๆก็ได้ แต่การพูดแบบนั้นออกจากปากตัวเองมันน่าอายเกินไป
“ยังไงก็ตาม นั่นแหละคือเหตุผลที่ฉันสนใจในความสัมพันธ์ของพวกนาย ฉันอยากรู้ว่าทำไมฮิคารุถึงไดด้ตกหลุมรัก แล้วถ้าฉันได้ฟังเรื่องนี้ ฉันอาจจะเข้าใจเรื่องของ ‘ความรัก’ ขึ้นมาบ้างก็ได้”
“ฉันเข้าใจเหตุผลแล้วล่ะ… แต่ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ฉันว่าเรื่องของพวกเราไม่ได้มีอะไรพิเศษขนาดนั้น แล้วก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ช่วยให้เข้าใจอะไรได้ด้วย…”
“ไม่หรอก! เซ้นส์ของฉันมันบอกว่าต้องมีอะไรแน่ๆ!”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ…”
ผมเริ่มลำบากใจเมื่อเห็นเธอมั่นใจสุดๆขนาดนี้โดยไม่ฟังอะไรเลย
“อย่าปฏิเสธเลยนะ! ฉันเองก็จะช่วยนายหลายๆอย่างเหมือนกัน!”
เธอยกมือขึ้นพนมขอร้องอย่างหนักแน่น
…ละครเวที
แม้ว่าฉันจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับมันเลย แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าเธอจริงจังกับมันมากแค่ไหน
“ก็ได้… ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันสามารถเล่าได้โดยที่ไม่เป็นปัญหาก็โอเค แต่ไม่รับประกันว่าจะช่วยอะไรได้นะ”
บางทีนี่อาจเป็นนิสัยของผมเอง พอได้เห็นความตั้งใจของเธอแล้วก็ปฏิเสธไม่ลง
“จริงเหรอ!? หวาา— ดีใจสุดๆเลย! ขอบคุณมาก!”
“เดี๋ยวๆโอกาตะซัง…!”
เธอจับมือผมแน่นแล้วเขย่าขึ้นลงด้วยความดีใจ
“นี่แหละ— อย่างแรกที่เป็นปัญหาล่ะมั้ง…”
“…หืม? อ่า เข้าใจละ… ปกติผู้หญิงควรจะเขินเวลาจับมือผู้ชายสินะ… ให้ตายสิ~! ฉันนี่ไม่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ชายหญิงเลยจริงๆ!”
เธอเหมือนจะทำไปตามธรรมชาติของตัวเองก่อนจะกุมหัวด้วยความกังวล
พอมาคิดดูแล้ว ท่าทางโอเวอร์เกินจริงของเธอก็ดูจะเข้ากับภาพของนักแสดงละครเวทีจริงๆ
“เอาเถอะ คราวหน้าฉันจะลองระวังเรื่องนี้มากขึ้นละกัน… ว่าแต่ ฉันเองก็มีข้อเสนอหนึ่งเป็นการตอบแทนที่นายช่วยฉันนะ”
“ข้อเสนอ…?”
“ใช่ คาเงยามะคุงอยากจะมีความมั่นใจพอที่จะยืนเคียงข้างฮิคารุได้ใช่ไหม? พูดง่ายๆคือต้องการเพิ่มความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น”
“อืม… ก็… ประมาณนั้น…”
พอถูกพูดออกมาตรงๆ ผมก็รู้สึกเขินขึ้นมาแปลกๆ
แล้วเธอก็พูดต่อว่า—
“ถ้างั้น… ลองเริ่มจากการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองดูก่อนไหม?”
(TL : หายไป3วัน พอดีธุระเยอะมากกก เดี๋ยวพน.ลงให้3ตอนนะ!)
MANGA DISCUSSION